ลำหรับคนที่ตามใจตนเอง คนที่รักความสนุกสนานเพลิดเพลิน และใฝ่ใจในกามารมณ์ ลัทธิทรงวิญญาณไม่จำเป็นต้องใช้การหลอกลวง มากนัก เพราะมีลักษณะที่เด่นชัดสอดคล้องกับที่พวกเขามีความโน้มเอียง อยู่แล้ว ชาตานวางความบาปที่แต่ละคนมีใจโน้มเอียงประพฤติ และคอย จ้องหาโอกาสต่างๆ ไม่ปล่อยให้เขาอยู่ว่างต้องการทำในสื่งที่ตนชอบ มัน ล่อลวงมนุษย์ไม่ให้ประมาณตนในการกินดื่ม เพื่อทำให้พลังของร่างกาย สมองและศีลธรรมเสื่อมลง มันทำลายคนนับไม่ถ้วนโดยการซักจูงให้คน เหล่านั้นทำตามกิเลสตัณหา ทำลายธรรมชาติของเขาอย่างโหดร้าย เพื่อ ทำให้งานของมันสำเร็จ วิญญาณเหล่านี้บอกว่า “ความรู้จริงทำให้มนุษย์ อยู่เหนือกฎบัญญ้ติ” และ “สิ่งใดที่ถูกต้อง” “พระเจ้าจะไม่ลงโทษ” และ “ความบาปทุกอย่างไม่ไต้เจตนาทำ” ตังนั้นเมื่อประชาชนเชื่อว่า ความ ปรารถนาเป็นกฎสูงสุดและเสรีภาพเป็นสิทธิพึงมี มนุษย์เท่านั้นรับผิดชอบ ตัวของเขาเอง ผู้ใดจะมาสงลัยว่าใครมีความทุจริตอยู่จนล้นมือ ฝูงชน จำนวนมากมายพร้อมที่จะรับการกระตุ้นของราคะตัณหา ซาตานจึงใช้ แหของมันกวาดต้อนคนจำนวนนับพันๆ ที่อ้างตัวว่าเป็นผู้ติดตามพระคริสต์ GrHTh 54.1
แต่พระเจ้าไต้ประทานความสว่างที่เพียงพอเพื่อจะค้นหาบ่วงแร้ว จนพบรากฐานที่แท้จริงของลัทธิทรงวิญญาณนั้นชัดแย้งอย่างรุนแรงกับ คำสอนของพระคัมภีร์ พระคัมภีร์กล่าวว่าคนตายไม่รู้อะไรเลยความคิด ของเขาก็สูญสิ้นไป เขาไม่มีส่วนในความชื่นชมยินดีหรือความโศกเศร้า ของคนที่อยู่ในโลก GrHTh 54.2
ยิ่งกว่านั้น พระเจ้าทรงห้ามการทำทีติดต่อกับวิญญาณของผู้ที่ ตายไปแล้ว “เหล่าวิญญาณที่รู้จักดี” ของผู้มาเยี่ยมจากโลกอื่น พระคัมภีร์ เรียกว่าเป็น “วิญญาณชั่ว” (กันดารวิถี 25:1-3; สดุดี 106:28; 1 โครินธ์ 10:20; วิวรณ์ 16:14) การติดต่อกับภูตผีเหล่านี้มีข้อห้ามไว้ ผู้ใดฝ่าฟืน ต้องได้รับโทษถึงตาย (เลวีนิติ 19:31; 20:27) แต่ลัทธิทรงวิญญาณไต้ หาทางสอดแทรกเข้ามาในวงการวิทยาศาสตร์ บุกเข้ามาในคริสตจ้กร และเป็นที่นิยมของผู้ออกกฎหมายบ้านเมือง แม้แต่ในราชสำนักของ กษ้ตริย์ การล่อลวงครั้งใหญ่หลวงนี้เป็นการฟืนฟูการล่อลวงในรูปแบบ ใหม่ของไสยศาสตร์ที่ถูกห้ามมาตั้งแต่สมัยโบราณ GrHTh 54.3
โดยการล่อลวงมนุษย์ให้เชื่อว่าในสวรรค์มีคนชั่วเช่นกัน มันกล่าว แก่คนทั้งหลายในโลกว่า “ไม่ว่าท่านจะเชื่อพระเจ้าและพระค้มภีร์หรีอไม่ ก็ตาม จงใช้ชีวิตอยู่อย่างที่ท่านพอใจ สวรรค์คือบ้านของท่าน” พระวจนะ ของพระเจ้ากล่าวว่า “วิบัติแก่คนเหล่านี้นที่เรียกความชั่วร้ายว่าความดี และความดีว่าความชั่วร้าย ผู้ถีอเอาว่าความมืดเป็นความสว่างและความ สว่างเป็นความมืด” (อิสยาห์ 5:20) GrHTh 55.1