ช่วงฤดูใบไม้ผลิของปี ค.ศ. 1844 ซึ่งคาดไว้แต่แรกว่าเป็นเวลาที่องค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จมา และเมื่อเวลานั้นผ่านไป ผู้ที่รอคอยด้วยความเชื่อในเรื่องการเสด็จมาปรากฏของพระองค์จึงรู้สึกสงสัยและไม่มั่นใจไปชั่วขณะหนึ่ง ในขณะที่โลกถือว่าพวกเขาพ่ายแพ้อย่างยับเยินและผ่านการพิสูจน์ว่าเป็นพวกที่ยึดมั่นอยู่กับความเชื่อที่ผิดๆ แต่แหล่งปลอบประโลมใจของพวกเขาก็ยังคงเป็นพระวจนะของพระเจ้า หลายคนศึกษาพระคัมภีร์ต่อไป พวกเขานำสิ่งที่พวกเขาเชื่อออกมาตรวจสอบอีกครั้งเพื่อหาหลักฐานของความเชื่อและศึกษาคำพยากรณ์อย่างละเอียดเพื่อค้นหาแสงสว่างให้มากขึ้น คำพยานในพระคัมภีร์ที่สนับสนุนจุดยืนของพวกเขานั้นชัดเจนและเด็ดขาด หมายสำคัญที่ไม่อาจเข้าใจเป็นอื่นใดชี้ให้เห็นว่าการเสด็จมาของพระคริสต์นั้นใกล้มากแล้ว พระพรพิเศษของพระเจ้าที่ทำให้คนบาปกลับใจและทำให้คริสเตียนฟื้นฟูจิตวิญญาณต่างยืนยันว่า ข่าวสารนี้มาจากสวรรค์ และแม้ผู้เชื่อจะอธิบายความผิดหวังของพวกเขาไม่ได้ พวกเขาต่างรู้สึกมั่นใจว่า เหตุการณ์ที่ผ่านไปแล้วนั้นพระเจ้าทรงนำพวกเขาอยู่ {GC 391.1} GCth17 337.1
คำสอนหนึ่งที่สานอยู่กับคำพยากรณ์ต่างๆ ที่พวกเขาถือว่าใช้ประยุกต์เข้าได้ดีกับช่วงเวลาของการเสด็จมาครั้งที่สองคือ คำสอนซึ่งปรับเข้าได้อย่างดีเป็นพิเศษกับสภาพของความไม่แน่นอนและความหวาดหวั่นของพวกเขา และหนุนใจพวกเขาให้รอคอยอย่างอดทนในความเชื่อว่าสิ่งที่บัดนี้มืดมนเข้าใจไม่ได้จะถูกทำให้กระจ่างชัดแจ้งในเวลาอันสมควร {GC 391.2} GCth17 337.2
ในบรรดาคำพยากรณ์ต่างๆ ที่พวกเขาไม่เข้าใจมีพระธรรมฮาบากุก 2:1-4 รวมอยู่ด้วย “ข้าพเจ้าจะยืนเฝ้าดูอยู่ ข้าพเจ้าจะยืนที่หอคอย และเฝ้ารอเพื่อจะดูว่าพระองค์จะตรัสอะไรแก่ข้าพเจ้า และข้าพเจ้าจะทูลตอบอย่างไร ในเรื่องการร้องทุกข์ของข้าพเจ้า แล้วพระยาห์เวห์ตรัสตอบข้าพเจ้าว่า ‘จงเขียนนิมิตนั้นลงไป จงเขียนไว้บนแผ่นป้ายให้ชัดเจนเพื่อให้คนที่วิ่งอ่านได้คล่อง เพราะว่านิมิตนั้นยังรอเวลาของมันอยู่ มันกำลังรีบไปถึงความสำเร็จ มันจะไม่มุสา ถ้าดูช้าไปก็จงคอยสักหน่อย มันจะมาถึงแน่นอน คงไม่ล่าช้านัก ดูเถิด คนหยิ่งจองหอง จิตใจภายในเขาไม่ซื่อตรง แต่ว่าคนชอบธรรมจะดำรงชีวิตอยู่ด้วยความซื่อสัตย์’” {GC 392.1} GCth17 338.1
ย้อนกลับไปตั้งแต่แรกในปี ค.ศ. 1842 คำแนะนำในคำพยากรณ์นี้ที่บอกให้ “เขียนนิมิตนั้นลงไป จงเขียนไว้บนแผ่นป้ายให้ชัดเจนเพื่อให้คนที่วิ่งอ่านได้คล่อง” ทำให้ ชาร์ลส์ ฟิทช์ [Charles Fitch] วาดผังคำพยากรณ์เพื่อใช้อธิบายนิมิตของพระธรรมดาเนียลและวิวรณ์ การตีพิมพ์แผนผังนี้ถือว่าทำให้คำสั่งของฮาบากุกสำเร็จ ในเวลานั้นไม่มีผู้ใดสังเกตว่าในคำพยากรณ์เดียวกันนี้กล่าวถึงการล่าช้าที่จะเกิดขึ้นก่อนที่นิมิตนี้จะสำเร็จ ซึ่งนั่นก็คือเวลาที่พวกเขาต้องรอคอย หลังจากช่วงเวลาแห่งความผิดหวัง ข้อพระคัมภีร์นี้จึงโดดเด่นขึ้นมา “นิมิตนั้นยังรอเวลาของมันอยู่ มันกำลังรีบไปถึงความสำเร็จ มันจะไม่มุสา ถ้าดูช้าไปก็จงคอยสักหน่อย มันจะมาถึงแน่นอน คงไม่ล่าช้านัก.....คนชอบธรรมจะดำรงชีวิตอยู่ด้วยความซื่อสัตย์” {GC 392.2} GCth17 338.2
ข้อความตอนหนึ่งในคำพยากรณ์ของเอเสเคียลทำให้ผู้เชื่อมีกำลังและได้รับความประเล้าประโลมใจ “พระวจนะของพระยาห์เวห์มาถึงข้าพเจ้าว่า ‘บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย สุภาษิตบทนี้ของพวกเจ้าซึ่งกล่าวถึงแผ่นดินอิสราเอลที่ว่า ‘วันเหล่านั้นก็ไกลออกไปและนิมิตทุกเรื่องก็เหลว’ นั้น หมายความว่าอะไร เพราะฉะนั้น จงบอกเขาว่า .... วันเหล่านั้นก็ใกล้และนิมิตทุกเรื่องก็จะสำเร็จ......เราจะพูด และคำพูดนั้นจะต้องเป็นไปตามนั้น โดยไม่ล่าช้าอีกต่อไป’” “พงศ์พันธุ์อิสราเอลกล่าวว่า ‘นิมิตที่เขาเห็นเป็นเรื่องของอีกหลายวันข้างหน้า และเขาเผยพระวจนะถึงช่วงเวลาที่อยู่ห่างไกลโน้น’ เพราะฉะนั้น จงกล่าวกับพวกเขาว่า พระยาห์เวห์องค์เจ้านายตรัสดังนี้ว่า บรรดาถ้อยคำของเราจะไม่ล่าช้าอีกต่อไป และวาจาที่เราลั่นออกมานั้นจะต้องเป็นไปตามนั้น” เอเสเคียล 12:21-25, 27, 28 {GC 392.3} GCth17 338.3
คนทั้งหลายที่เฝ้ารออยู่ต่างปีติยินดี พวกเขาเชื่อว่าพระองค์ผู้ทรงทราบบั้นปลายตั้งแต่ต้นได้ทอดพระเนตรผ่านยุคต่างๆ ลงมา และทรงมองเห็นความผิดหวังของพวกเขา พระองค์ประทานพระดำรัสที่หนุนใจและให้ความหวังแก่พวกเขา หากไม่ใช่พระวจนะส่วนนี้ที่ชี้แนะให้พวกเขารอคอยอย่างอดทนและให้ความเชื่อยึดมั่นในพระวจนะของพระเจ้าไว้แล้ว พวกเขาคงสูญเสียความเชื่อในช่วงเวลาแห่งการทดลองนั้นแน่ {GC 393.1} GCth17 339.1
อุปมาเรื่องหญิงพรหมจารีสิบคนของพระธรรมมัทธิวบทที่ 25 แสดงให้เห็นประสบการณ์ของบรรดาผู้ที่รอคอยการเสด็จกลับมาของพระคริสต์ ในพระธรรมมัทธิวบทที่ 24 พระคริสต์ทรงตอบคำถามของสาวกเรื่องหมายสำคัญของการเสด็จมาของพระองค์และหมายสำคัญของวาระสุดท้ายของโลก พระองค์ทรงเน้นย้ำเหตุการณ์สำคัญที่สุดบางประการของประวัติศาสตร์โลกและของคริสตจักรตั้งแต่การเสด็จมาครั้งแรกจนถึงการเสด็จมาครั้งที่สองของพระองค์ กล่าวคือ การทำลายกรุงเยรูซาเล็ม ความทุกข์ยากยิ่งใหญ่ของคริสตจักรภายใต้การกดขี่ของพวกนอกศาสนาและของเปปาซี ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์มืดไปและดวงดาวตกจากท้องฟ้า หลังจากนี้ พระองค์ตรัสถึงอาณาจักรของพระองค์ที่กำลังจัดตั้งขึ้น และพระองค์ทรงเล่าอุปมาผู้รับใช้สองประเภทที่รอคอยการเสด็จมาของพระองค์ พระธรรมมัทธิวบทที่ 25 เริ่มต้นด้วยข้อความดังนี้ว่า “แผ่นดินสวรรค์จะเปรียบเหมือนหญิงพรหมจารีสิบคน” พระวจนะในบทนี้ทำให้เรามองเห็นคริสตจักรในวาระสุดท้าย ซึ่งมีลักษณะคล้ายคลึงกับที่เน้นให้เห็นในตอนท้ายของบทที่ 24 อุปมานี้อธิบายประสบการณ์ของพวกเขาด้วยพิธีสมรสของคนในโลกตะวันออก {GC 393.2} GCth17 339.2
“เวลานั้น แผ่นดินสวรรค์จะเปรียบเหมือนหญิงพรหมจารีสิบคนถือตะเกียงของตนออกไปรับเจ้าบ่าว เป็นคนโง่ห้าคน และเป็นคนมีปัญญาห้าคน คนโง่เหล่านั้นเอาตะเกียงของตนไปแต่ไม่ได้เอาน้ำมันไปด้วย คนที่มีปัญญานั้นเอาน้ำมันใส่ขวดไปกับตะเกียงของตนด้วย เมื่อเจ้าบ่าวมาช้า ก็พากันง่วงเหงาและหลับไป เมื่อถึงเวลาเที่ยงคืนก็มีเสียงร้องว่า ‘เจ้าบ่าวมาแล้ว จงออกมารับท่านเถิด’” {GC 393.3} GCth17 339.3
เป็นที่เข้าใจว่า การเสด็จมาของพระคริสต์ตามข่าวที่ทูตสวรรค์องค์ที่หนึ่งประกาศนั้นหมายถึงการมาของเจ้าบ่าว การปฏิรูปที่เกิดขึ้นอย่างกว้างขวางภายใต้การประกาศข่าวการใกล้เสด็จมาในเร็ววันของพระองค์ได้รับการตอบสนองด้วยหญิงพรหมจารีที่ออกไปต้อนรับ เรื่องนี้มีลักษณะคล้ายคลึงกับอุปมาในพระธรรมมัทธิว 24 ที่ชี้ให้เห็นคนสองจำพวก ทุกคนถือตะเกียงของตนเองซึ่งคือพระคัมภีร์ และพวกเขาออกไปต้อนรับพระองค์ผู้ทรงเป็นเจ้าบ่าวพร้อมกับแสงไฟจากตะเกียง แต่ในขณะที่ “คนโง่เหล่านั้นเอาตะเกียงของตนไปแต่ไม่ได้เอาน้ำมันไปด้วย คนที่มีปัญญานั้นเอาน้ำมันใส่ขวดไปกับตะเกียงของตนด้วย” คนกลุ่มที่สองได้รับพระคุณของพระเจ้า ได้รับอำนาจแห่งการเกิดใหม่และความเข้าใจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ทำให้พระวจนะของพระองค์เป็นตะเกียงแก่เท้าและเป็นความสว่างแก่ทาง พวกเขาศึกษาพระคัมภีร์ด้วยความยำเกรงพระเจ้าเพื่อเรียนรู้ความจริงและแสวงหาด้วยความจริงใจเพื่อจะให้จิตใจและชีวิตของพวกเขาบริสุทธิ์ คนเหล่านี้มีประสบการณ์ของตนเอง มีความเชื่อในพระเจ้าและในพระวจนะของพระองค์ที่ความผิดหวังและความล่าช้าไม่อาจทำลายได้ ส่วนคนอื่นๆ นั้น “เอาตะเกียงของตนไปแต่ไม่ได้เอาน้ำมันไปด้วย” พวกเขาทำตามแรงหุนหัน ข่าวสารที่น่าเกรงขามกระตุ้นให้พวกเขากลัว แต่ความเชื่อของพวกเขายึดติดอยู่กับพวกพี่น้องของพวกเขา พวกเขาพอใจกับแสงริบหรี่ของความรู้สึกดีๆ โดยไม่ทำความเข้าใจกับความจริงอย่างถ่องแท้ หรือกับพระคุณที่กระทำการอยู่ในจิตใจอย่างแท้จริง คนเหล่านี้ออกไปต้อนรับพระเจ้าด้วยความหวังอย่างเต็มล้นที่จะได้รับรางวัลตอบแทนในทันที แต่พวกเขาไม่ได้เตรียมพร้อมสำหรับความล่าช้าและความผิดหวัง เมื่อการทดลองเกิดขึ้น ความเชื่อของพวกเขาก็หายไปและแสงสว่างของพวกเขาก็มอดลง {GC 393.4} GCth17 340.1
“ด้วยเมื่อเจ้าบ่าวมาช้า ก็พากันง่วงเหงาและหลับไป” ความล่าช้าของเจ้าบ่าวหมายถึงช่วงเวลาที่องค์พระผู้เป็นเจ้าจะมาปรากฏนั้นผ่านพ้นไป เวลาของความผิดหวังและดูเหมือนเกิดการล่าช้า ในช่วงเวลาแห่งความไม่แน่นอนนี้ ผู้ที่สนใจเรื่องนี้อย่างผิวเผินและไม่ตั้งใจอย่างเต็มที่ก็เริ่มสั่นคลอนและความตั้งใจของพวกเขาก็เริ่มคลายลง แต่สำหรับผู้ที่วางรากฐานความเชื่อบนความรู้ในพระคัมภีร์ มีศิลาอยู่ใต้เท้าของพวกเขา ซึ่งคลื่นแห่งความผิดหวังไม่อาจซัดพาออกไป พวกเขา “พากันง่วงเหงาและหลับไป” คนกลุ่มหนึ่งไม่สนใจและละทิ้งความเชื่อไป ส่วนคนอีกกลุ่มหนึ่งรอคอยด้วยความอดทนจนกระทั่งได้รับแสงสว่างที่ชัดเจนขึ้น แต่กระนั้น ในยามค่ำคืนของการทดลอง ดูประหนึ่งว่าคนกลุ่มหลังสูญเสียความทะเยอทะยานและความตั้งใจไประดับหนึ่ง คนที่เชื่อไม่จริงและเชื่ออย่างผิวเผินจึงพึ่งพาความเชื่อของพี่น้องไม่ได้ ทุกคนต้องยืนขึ้นหรือล้มลงด้วยตัวของเขาเอง {GC 394.1} GCth17 340.2
ประมาณช่วงเวลานี้ ความคลั่งศาสนาเริ่มเกิดขึ้น บางคนที่เคยอ้างตนว่าเป็นผู้เชื่อเรื่องการเสด็จกลับมาด้วยใจร้อนรนกลับปฏิเสธพระวจนะของพระเจ้าว่าเป็นเครื่องชี้ทางที่ไม่มีวันผิดพลาด และโดยการอ้างว่าได้รับการทรงนำจากพระวิญญาณได้ปล่อยตัวพวกเขาเองไปอยู่ภายใต้การควบคุมของความรู้สึก ความนึกคิดและจินตนาการของตนเอง มีบางคนแสดงออกถึงความกระตือรือร้นอย่างไม่มีเหตุผลและดันทุรัง และปรักปรำทุกคนที่ไม่ยอมรับแนวทางของพวกเขา ความคิดและการดำเนินกิจกรรมอย่างคลั่งไคล้ของพวกเขาไม่ได้รับความเห็นใจจากคนส่วนใหญ่ของชาวแอ๊ดเวนตีส [Adventists ผู้รอคอยการเสด็จมาครั้งที่สองของพระคริสต์] ยิ่งกว่านั้นพวกเขาดำเนินกิจเพียงเพื่อนำการตำหนิมาสู่เป้าหมายของความจริง {GC 395.1} GCth17 341.1
ซาตานใช้วิธีเหล่านี้เพื่อต่อต้านและทำลายพันธกิจของพระเจ้า ขบวนการประกาศการเสด็จกลับมาของพระเยซูปลุกเร้าประชาชนให้ตื่นตัวขึ้นอย่างมากยิ่ง คนบาปนับพันกลับใจ และคนซื่อสัตย์ต่างถวายตนเองทำงานประกาศความจริงแม้กระทั่งในช่วงเวลาที่ล่าช้าออกไป เจ้าชายแห่งความชั่วกำลังสูญเสียคนที่เคยอยู่ใต้อำนาจของมัน และเพื่อจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่พระราชกิจของพระเจ้าได้นั้น มันจึงหลอกใช้ผู้ที่อ้างตนว่ามีความเชื่อและผลักดันให้พวกเขาไปจนสุดกู่ แล้วตัวแทนทั้งหลายของมันก็เตรียมพร้อมคอยจับผิดในทุกเรื่อง ความล้มเหลวทั้งหลาย การกระทำที่ไม่ถูกต้องทุกอย่าง และชูสิ่งนั้นขึ้นต่อหน้าคนเหล่านี้ด้วยความสว่างที่เกินความเป็นจริง เพื่อทำให้ชาวแอ๊ดเวนตีสและความเชื่อของพวกเขาเป็นที่น่ารังเกียจ ดังนั้น ยิ่งมันผลักดันคนที่มันควบคุมจิตใจได้ให้เข้าไปรวมกลุ่มกับผู้ที่เชื่อในการเสด็จกลับมาของพระคริสต์ได้มากยิ่งขึ้นเท่าไหร่ มันก็จะได้เปรียบมากยิ่งขึ้นเท่านั้น เพราะคนเหล่านี้จะถูกนับว่าเป็นส่วนหนึ่งของผู้เชื่อทั้งหลาย {GC 395.2} GCth17 341.2
ซาตานเป็น “ผู้ที่กล่าวโทษพวกพี่น้อง” และวิญญาณเช่นนี้ของมันก็ดลใจมนุษย์ให้คอยจับผิดและหาจุดบกพร่องในประชากรขององค์พระผู้เป็นเจ้าและประจานสิ่งนั้นให้คนอื่นดู ในขณะที่สิ่งดีๆ ที่พวกเขาทำนั้นจะถูกปล่อยไว้โดยไม่กล่าวถึง เมื่อพระเจ้าทรงประกอบกิจเพื่อช่วยจิตวิญญาณให้รอด ซาตานก็จะทำงานของมันด้วยอย่างขันแข็ง เมื่อเหล่าบุตรของพระเจ้ามาชุมนุมเบื้องพระพักตร์พระเจ้า ซาตานจะมาอยู่ท่ามกลางพวกเขาด้วย ในทุกการประชุมฟื้นฟู มันจะนำผู้ที่จิตใจยังไม่ได้รับการชำระและมีความคิดที่ไม่สมดุลเข้ามา เมื่อมีคนรับความจริงบางประการและได้เข้ามาอยู่ร่วมกับผู้เชื่อ มันทำงานผ่านคนเหล่านี้ นำทฤษฎีมาลวงผู้ที่ไม่ระวังตัว การเข้าร่วมชุมนุมกับเหล่าบุตรของพระเจ้าไม่ได้เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าบุคคลนั้นเป็นคริสเตียนที่แท้จริง แม้กระทั่งในวิหารนมัสการหรือที่โต๊ะเสวยขององค์พระผู้เป็นเจ้า บ่อยครั้งซาตานมักจะไปอยู่ในโอกาสที่สำคัญที่สุดโดยทำงานผ่านพฤติกรรมของบุคคลเหล่านั้นที่มันสามารถใช้เป็นตัวแทนของมันได้ {GC 395.3} GCth17 341.3
เจ้าชายแห่งความชั่วแย่งชิงพื้นที่ทุกกระเบียดนิ้วที่ประชากรของพระเจ้าย่างก้าวไปในเส้นทางเดินที่มุ่งสู่เมืองสวรรค์ ในประวัติศาสตร์ทั้งหมดของคริสตจักรนั้น ไม่มีการปฏิรูปใดที่ดำเนินไปโดยปราศจากการเผชิญหน้ากับอุปสรรคที่รุนแรง เป็นเช่นนี้ในสมัยของเปาโลด้วย ไม่ว่าอัครสาวกเปาโลจะจัดตั้งคริสตจักรขึ้นในสถานที่แห่งใดก็ตาม จะมีบางคนที่อ้างตนว่ารับเชื่อ แต่คนเหล่านี้ก็นำความเชื่อผิดๆ เข้ามาด้วย ซึ่งหากรับความเชื่อผิดๆ เหล่านี้เข้าไปแล้ว ความเชื่อเหล่านี้ก็จะเบียดความรักที่มีให้กับความจริงจนออกไปในที่สุด ลูเธอร์เองก็ต้องทนกับความสับสนและความกังวลใจยิ่งใหญ่จากแนวทางปฏิบัติของพวกคลั่งศาสนาที่อ้างว่าพระเจ้าตรัสโดยตรงกับพวกเขา และพวกเขาจึงวางแนวคิดและทัศนะของตนเองไว้อยู่เหนือคำพยานของพระคัมภีร์ หลายคนที่ขาดความเชื่อและประสบการณ์ แต่คิดว่าตนเองรู้พอแล้วและเป็นผู้ที่ชอบฟังและพูดถึงสิ่งใหม่ๆ จะถูกการอวดอ้างของครูใหม่ๆ เหล่านี้หลอก และพวกเขาเข้าร่วมกับตัวแทนของซาตานในการทำงานของการทำลายสิ่งที่พระเจ้าทรงดลบันดาลให้ลูเธอร์สร้างขึ้นมา และพี่น้องตระกูลเวสเล่ย์รวมทั้งคนอื่นๆ ที่เป็นพระพรให้แก่โลกด้วยอิทธิพลและความเชื่อของพวกเขา ในทุกย่างก้าวก็ต้องเผชิญกับเล่ห์ของซาตานที่คอยผลักดันคนที่กระตือรือร้นเกินขอบเขต ที่ไม่สมดุลและไม่ได้ชำระตนให้บริสุทธิ์ให้กลายเป็นคนคลั่งศาสนาทุกระดับ {GC 396.1} GCth17 342.1
วิลเลียม มิลเลอร์ไม่เห็นใจกับอิทธิพลต่างๆ ที่นำไปสู่การคลั่งศาสนา เหมือนเช่นลูเธอร์ เขาเปิดเผยว่าจะต้องเอาพระวจนะของพระเจ้ามาทดสอบทุกวิญญาณ มิลเลอร์กล่าวว่า “ในวันนี้ พวกผีร้ายมีอำนาจยิ่งใหญ่เหนือความนึกคิดของบางคน และเราจะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นวิญญาณของพวกไหน พระคัมภีร์ตอบว่า “พวกท่านจะรู้จักเขาได้เพราะผลของพวกเขา” มัทธิว 7:20……มีวิญญาณมากมายออกไปในโลก และเราได้รับบัญชาให้ทดสอบวิญญาณเหล่านี้ ในโลกทุกวันนี้ หากวิญญาณที่ไม่ทำให้เรามีชีวิตอยู่อย่างสงบสุข อยู่อย่างชอบธรรมและอยู่ด้วยการมีพระเจ้า วิญญาณนั้นไม่ได้เป็นพระวิญญาณที่มาจากพระคริสต์ ข้าพเจ้ามั่นใจมากขึ้นทุกทีว่า ซาตานมีส่วนร่วมอย่างมากในขบวนการที่บ้าคลั่งเหล่านี้......มีหลายคนท่ามกลางพวกเราที่ทำตัวประหนึ่งว่าได้รับการชำระตนให้บริสุทธิ์แล้วที่ยังคงดำเนินตามธรรมเนียมของมนุษย์และแสดงออกอย่างชัดเจนว่าพวกเขาไม่รู้เรื่องความจริงพอๆ กับกลุ่มคนที่ไม่ได้แสร้งทำตัวเลย” Bliss หน้า 236, 237 “วิญญาณแห่งความผิดจะนำเราออกไปจากความจริง และพระวิญญาณของพระเจ้าจะทรงนำเราให้เข้าไปถึงความจริง แต่ท่านโต้ว่ามีบางคนที่อาจทำผิดและคิดว่าตนเองมีความจริง แล้วจะเป็นเช่นไรต่อไป เราตอบว่า พระวิญญาณและพระวจนะจะต้องเห็นพ้องกัน ถ้ามีคนหนึ่งที่ตัดสินตนเองด้วยพระวจนะของพระเจ้าและพบว่าทุกอย่างที่เขาทำสอดคล้องกับพระวจนะทั้งหมด แล้วเขาจะต้องเชื่อว่าเขามีความจริงอยู่ แต่หากเขาพบว่าวิญญาณที่นำเขาอยู่นั้นไม่สอดคล้องกับคำสอนทั้งหมดในธรรมบัญญัติหรือหนังสือของพระเจ้าแล้ว ขอให้เขาเดินด้วยความระมัดระวัง เกลือกว่าเขาจะตกลงสู่กับดักของผีมาร” The Advent Herald and Signs of the Times Reporter เล่มที่ 8 หมายเลขที่ 23 (วันที่ 15 มกราคม ค.ศ. 1845) “บ่อยครั้งข้าพเจ้าพบหลักฐานของความศรัทธาจากดวงตาที่ลุกเป็นแวว แก้มที่เปียกโชกและคำพูดที่สะอื้นมากกว่าจากเสียงอึกทึกทั้งปวงของโลกคริสเตียน” Bliss หน้า 282 {GC 396.2} GCth17 342.2
ในสมัยของการปฏิรูปศาสนา ศัตรูของพวกเขานำความชั่วทั้งหมดที่เกิดจากการคลั่งศาสนามาป้ายใส่คนที่ทำงานต่อต้านความคลั่งไคล้ศาสนาด้วยความจริงใจ พวกคนที่ต่อต้านขบวนการประกาศข่าวการเสด็จกลับมาก็ใช้วิธีการที่คล้ายคลึงกันนี้ และพวกเขาไม่เพียงไม่พอใจกับการเป็นตัวแทนที่ผิดๆ และขยายความผิดของพวกหัวรุนแรงและพวกคลั่งไคล้ศาสนาอย่างไร้เหตุผลเท่านั้น พวกเขายังกระจายข่าวที่แทบจะไม่มีมูลความจริงหลงเหลืออยู่ คนเหล่านี้ทำไปด้วยอคติและความเกลียดชัง ข่าวที่ประกาศว่าพระคริสต์เสด็จมาถึงหน้าประตูแล้วกวนใจความสงบสุขของพวกเขา พวกเขากลัวว่าเรื่องนี้จะเป็นความจริง แต่กระนั้นก็ยังหวังว่าไม่เป็นเช่นนั้น และนี่คือความลับที่เป็นเหตุให้คนเหล่านี้ต่อสู้กับชาวแอ๊ดเวนตีสและความเชื่อของพวกเขา {GC 397.1} GCth17 342.3
ข้อเท็จจริงที่ว่า มีคนคลั่งศาสนาหลายคนไต่เต้าขึ้นไปจนอยู่ในระดับผู้นำของชาวแอ๊ดเวนตีสนั้น ก็ไม่ใช่เป็นเหตุผลที่นำมาตัดสินว่าขบวนการนี้ไม่ได้มาจากพระเจ้า หรือการมีคนคลั่งศาสนาและคนหลอกลวงเข้ามาสู่คริสตจักรในสมัยของเปาโลหรือสมัยของลูเธอร์ก็ไม่อาจใช้เป็นข้ออ้างในการประณามผลงานของพวกเขา จงให้ประชากรของพระเจ้าตื่นขึ้นจากการหลับใหล และเริ่มต้นลงแรงในงานของกลับใจและการปฏิรูปด้วยความจริงใจ ให้พวกเขาศึกษาพระคัมภีร์เพื่อเรียนรู้ความจริงตามที่มีอยู่ในพระเยซู ให้พวกเขาอุทิศตนทั้งหมดให้พระเจ้า และจะไม่ขาดหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าซาตานยังคงว่องไวขันแข็งและตื่นตัวอยู่ มันจะแสดงอำนาจด้วยการหลอกลวงทั้งหมดที่เป็นไปได้ เรียกสมุนทั้งหมดที่ล้มลงให้เข้ามาช่วยงานของมัน {GC 398.1} GCth17 343.1
การประกาศเรื่องการเสด็จมาครั้งที่สองของพระเยซูไม่ใช่เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการคลั่งไคล้ทางศาสนาและการแตกแยก เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ปรากฏให้เห็นในช่วงฤดูร้อนของปี ค.ศ. 1844 เมื่อผู้ที่รอคอยการเสด็จกลับมาของพระคริสต์ตกอยู่ในความสงสัยและความสับสนในเรื่องสถานภาพที่แท้จริงของพวกตน การประกาศข่าวของทูตสวรรค์องค์ที่หนึ่งและ “เสียงร้องในยามเที่ยงคืน” มีไว้เพื่อสกัดพวกที่คลั่งไคล้ศาสนาและความไม่ลงรอยกัน ผู้ที่เข้าร่วมในขบวนการอันสำคัญนี้ปรองดองกันอย่างดี จิตใจของพวกเขาเปี่ยมล้นด้วยความรักที่มีให้ต่อกันและมีให้กับพระเยซูที่พวกเขาหวังว่าจะได้เข้าเฝ้าในไม่ช้า ความเชื่อเดียวและความหวังใจเดียวยกพวกเขาขึ้นไปอยู่เหนือระดับอิทธิพลของมนุษย์และเป็นโล่ต่อต้านการจู่โจมของซาตานได้อย่างดี {GC 398.2} GCth17 343.2
“เมื่อเจ้าบ่าวมาช้า ก็พากันง่วงเหงาและหลับไป เมื่อถึงเวลาเที่ยงคืนก็มีเสียงร้องว่า เจ้าบ่าวมาแล้ว จงออกมารับท่านเถิด หญิงพรหมาจารีทั้งหมดนั้นก็ลุกขึ้นตกแต่งตะเกียงของตน” มัทธิว 25:5-7 ในช่วงฤดูร้อนของปี ค.ศ. 1844 ซึ่งเป็นเวลากึ่งกลางระหว่างเวลาเดิมที่มีการสอนว่าเป็นเวลาสิ้นสุดของคำพยากรณ์ 2300 วันกับช่วงฤดูใบไม้ร่วงของปีเดียวกันซึ่งภายหลังเป็นกำหนดเวลาใหม่ที่ยืดออกไป ข่าวสารตามคำของพระคัมภีร์ที่ว่า “เจ้าบ่าวมาแล้ว” ได้ถูกประกาศออกไป {GC 398.3} GCth17 343.3
สิ่งที่นำไปสู่ขบวนการนี้เกิดขึ้นเนื่องจากมีการค้นพบว่า กฤษฎีกาของกษัตริย์อารทาเซอร์ซีสที่ทรงสั่งให้บูรณะกรุงเยรูซาเล็ม ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของช่วงเวลา 2300 วันนั้น คำสั่งนี้มีผลบังคับใช้ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงของปี ก.ค.ศ. [ก่อนคริสตศักราช] 457 คำสั่งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นในช่วงต้นปีตามที่เคยเชื่อกัน ดังนั้นเมื่อคำนวณจากฤดูใบไม้ร่วงของปี ก.ค.ศ. 457 แล้ว ช่วง 2300 ปีจะไปสิ้นสุดที่ช่วงฤดูใบไม้ร่วงของปี ค.ศ. 1844 (โปรดดู Appendix ของหน้า 329) {GC 398.4} GCth17 343.4
ข้อคิดเห็นที่ได้จากแบบจำลองต่างๆ ในพระคริสตธรรมคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมก็ชี้แนะไปที่ฤดูใบไม้ร่วงว่าเป็นเวลาที่เหตุการณ์ซึ่งแสดงถึง “การชำระสถานนมัสการ” [Cleansing of the sanctuary] จะต้องเกิดขึ้น เรื่องนี้มีความชัดเจนมากขึ้นเมื่อมีการศึกษาอย่างเอาใจใส่ถึงแบบจำลองต่างๆ ที่สัมพันธ์กับการเสด็จมาครั้งแรกของพระคริสต์ซึ่งเกิดขึ้นจริงตรงตามคำพยากรณ์ {GC 399.1} GCth17 344.1
การฆ่าลูกแกะปัสกาเป็นสัญลักษณ์เล็งถึงความตายของพระคริสต์ เปาโลกล่าวว่า “พระคริสต์ผู้ทรงเป็นปัสกาของเราถูกถวายบูชาแล้ว” 1 โครินธ์ 5:7 พิธีโบกถวายพืชผลรุ่นแรกที่เก็บเกี่ยวได้ซึ่งเป็นพิธีที่ประกอบในช่วงเทศกาลปัสกานั้นเป็นแบบจำลองที่เล็งไปถึงการเป็นขึ้นมาจากความตายของพระคริสต์ เปาโลกล่าวถึงเรื่องการเป็นขึ้นจากความตายขององค์พระผู้เป็นเจ้าและการเป็นขึ้นมาจากความตายของประชากรทั้งหลายของพระองค์ว่า “พระคริสต์ทรงเป็นผลแรก ต่อจากนั้นก็คือคนทั้งหลายที่เป็นของพระคริสต์ในเวลาที่พระองค์เสด็จมา” 1 โครินธ์ 15:23 ดั่งการโบกถวายพืชผลซึ่งเป็นต้นข้าวสุกที่ถูกเก็บรวบรวมก่อนถึงเวลาแห่งการเก็บเกี่ยว พระคริสต์ทรงเป็นผลแรกของการเก็บเกี่ยวชีวิตอมตะของผู้ที่จะได้รับความรอดในวันที่เป็นขึ้นจากความตายที่จะเกิดขึ้นในอนาคตซึ่งพวกเขาจะถูกรวบรวมไว้เพื่อเก็บเข้ายุ้งฉางของพระองค์ {GC 399.2} GCth17 344.2
แบบจำลองต่างๆ ที่เป็นสัญลักษณ์เหล่านี้ได้สำเร็จจริง ไม่ใช่เพียงแต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเท่านั้น แต่รวมถึงเกิดขึ้นตรงตามเวลาที่กำหนดไว้ด้วย วันที่ 14 ของเดือนที่หนึ่งของชาวยิว ในวันเดียวกันและเดือนเดียวกันตลอดช่วงเวลา 15 ศตวรรษอันยาวนานนี้ ลูกแกะปัสกาถูกฆ่า พระคริสต์ทรงเสวยปัสการ่วมกับสาวกของพระองค์ พระองค์ทรงสถาปนาการเลี้ยงนี้เพื่อระลึกถึงความตายของพระองค์เองที่ทรงเป็น “พระเมษโปดกของพระเจ้า ผู้ทรงรับบาปของโลกไป” ยอห์น 1:29 ในคืนเดียวกันนั้น พระองค์ถูกมือของคนชั่วจับไปตรึงกางเขนและฆ่าเสีย และในฐานะพระต้นแบบที่แท้จริงของการโบกถวายพืชผล องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราทรงเป็นขึ้นจากความตายในวันที่สาม “ทรงเป็นผลแรกของพวกที่ได้ล่วงหลับไป” ทรงเป็นตัวอย่างของคนชอบธรรมทั้งหมดที่จะเป็นขึ้นจากความตาย “ร่างกายอันต่ำต้อย” จะถูกเปลี่ยนแปลง และจะเป็น “เหมือนพระกายของพระองค์ที่เต็มด้วยพระรัศมี” 1 โครินธ์ 15:20 ฟีลิปปี 3:21 {GC 399.3} GCth17 344.3
ในทำนองเดียวกัน แบบจำลองต่างๆ ที่เป็นสัญลักษณ์เรื่องการเสด็จมาครั้งที่สองจะต้องเกิดขึ้นตรงตามเวลาที่กำหนดไว้ในพิธีการที่เป็นสัญลักษณ์ ในระบบของโมเสสนั้น การชำระสถานนมัสการหรือวันยิ่งใหญ่ของการลบมลทินบาปจะถูกจัดให้มีขึ้นในวันที่สิบของเดือนที่เจ็ดของชาวยิว (เลวีนิติ 16:29-34) เมื่อมหาปุโรหิตลบมลทินบาปของอิสราเอลทั้งปวงและนำบาปของพวกเขาออกไปจากสถานนมัสการแล้ว มหาปุโรหิตจะก้าวออกมาและอวยพรประชาชน พวกเขาจึงเชื่อว่าพระคริสต์ผู้ทรงเป็นมหาปุโรหิตของเราจะทรงมาปรากฏตัวเพื่อชำระโลกด้วยการทำลายบาปและคนบาป และอวยพระพรผู้ที่รอคอยพระองค์ด้วยการประทานชีวิตอมตะให้ สำหรับวันที่สิบของเดือนที่เจ็ดซึ่งเป็นวันยิ่งใหญ่สำคัญของการลบมลทินบาปคือเป็นวันชำระสถานนมัสการนั้น วันดังกล่าวของปี ค.ศ. 1844 ตรงกับวันที่ 22 เดือนตุลาคม วันดังกล่าวจึงถูกคาดการณ์ว่าเป็นวันที่องค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จมา เรื่องทั้งหมดนี้สอดคล้องกับข้อพิสูจน์ที่ยอมรับกันว่า ช่วงเวลา 2300 วันจะสิ้นสุดในช่วงฤดูใบไม้ร่วง และเป็นบทสรุปที่ดูประหนึ่งว่าไม่มีใครโต้แย้งได้ {GC 399.4} GCth17 344.4
ในอุปมาของพระธรรมมัทธิวบทที่ 25 หลังจากช่วงเวลาแห่งการรอคอยและการหลับใหลแล้ว เจ้าบ่าวก็มา การมานี้เข้าได้ดีกับเหตุและผลที่นำเสนอไว้ข้างต้นนี้ทั้งในแง่ของคำพยากรณ์และในแบบจำลองต่างๆ ที่เป็นสัญลักษณ์ คนเหล่านี้มีความเชื่อมั่นคงในความจริงและผู้เชื่อนับพันป่าวประกาศ “เสียงร้องในยามเที่ยงคืน” ด้วยเสียงอันดัง {GC 400.1} GCth17 345.1
ขบวนการนี้โหมกระหน่ำไปทั่วทุกแดนดินราวกับคลื่นใหญ่สึนามิ จากเมืองหนึ่งไปยังอีกเมืองหนึ่ง จากหมู่บ้านหนึ่งไปยังอีกหมู่บ้านหนึ่ง และเข้าไปถึงที่ห่างไกลความเจริญ จนประชากรของพระเจ้าที่รอคอยการกลับมาของพระองค์ตื่นตัวกันอย่างเต็มที่ การประกาศข่าวนี้ทำให้ความคลั่งศาสนาหายไปเหมือนกับหมอกในยามเช้าตรู่ก่อนดวงอาทิตย์ขึ้น ผู้เชื่อทั้งหลายมองเห็นความสงสัยและความกังวลใจของพวกเขาถูกกำจัดทิ้งไป และจิตใจของพวกเขาก็เต็มล้นด้วยความหวังและกำลังใจ การงานที่พวกเขาทำก็ไม่ได้มีลักษณะบ้าคลั่งซึ่งจะเห็นได้เป็นประจำเมื่อมนุษย์เกิดตื่นเต้นขึ้นโดยไม่มีอิทธิพลจากพระวจนะและพระวิญญาณของพระเจ้าควบคุม เป็นเหตุการณ์ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับห้วงเวลาที่ชนชาติอิสราเอลในอดีตถ่อมใจและหันกลับไปหาพระเจ้าเมื่อพวกเขาได้รับข่าวตักเตือนจากผู้รับใช้ของพระองค์ สิ่งที่เกิดขึ้นนี้มีลักษณะชัดเจนที่ชี้ให้เห็นเหมือนกันในทุกๆ ยุคว่าเป็นพระราชกิจของพระเจ้า มีความสุขปลาบปลื้มใจไม่มาก แต่มีการตรวจสอบจิตใจอย่างลึกซึ้ง มีการสารภาพบาปและละทิ้งสิ่งของทางโลก การเตรียมตัวเพื่อพบกับองค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นภาระของจิตวิญญาณที่ปวดร้าว มีการอธิษฐานอย่างร้อนรนและการมอบถวายชีวิตทั้งหมดให้พระเจ้า {GC 400.2} GCth17 345.2
มิลเลอร์บรรยายถึงลักษณะของเหตุการณ์นั้นว่า “ไม่มีการแสดงออกอย่างยิ่งใหญ่ถึงความสุข กล่าวคือ ความสุขเหล่านั้นถูกระงับไว้สำหรับโอกาสในอนาคต เมื่อทั้งสวรรค์และโลกจะร่วมกันชื่นชมกับความสุขที่ไม่อาจบรรยายด้วยคำพูดใดๆ และเป็นความสุขที่เต็มล้นด้วยรัศมีภาพ ไม่มีเสียงตะโกนโห่ร้อง เพราะนั่นก็เก็บถนอมไว้เพื่อร้องให้ดังออกจากสวรรค์ นักร้องทั้งหลายพากันเงียบ พวกเขารอคอยที่จะเข้าร่วมร้องเพลงกับหมู่ทูตสวรรค์ กับคณะนักร้องแห่งสรวงสวรรค์.....ไม่มีการปะทะความรู้สึกกัน ทุกคนมีใจเดียวกันและความคิดเดียวกัน” Bliss หน้า 270, 271 {GC 401.1} GCth17 345.3
มีอีกคนหนึ่งที่ร่วมอยู่ในเหตุการณ์นี้เป็นพยานว่า “ในทุกหนทุกแห่งมีการสำรวจจิตใจอย่างจริงจังและมีวิญญาณแห่งการถ่อมใจต่อพระเจ้าแห่งสวรรค์สูงสุด สิ่งเหล่านี้ทำให้เกิดการละทิ้งสิ่งของฝ่ายโลกนี้ การประสานรอยร้าวและความเป็นปรปักษ์กัน การสารภาพความผิด การยอมมอบถวายตัวต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้าและสารภาพความผิด การทูลขอพระเจ้าด้วยหัวใจที่แตกสลายเพื่อการอภัยและให้พระเจ้าทรงยอมรับ สิ่งเหล่านี้ทำให้เกิดการถ่อมตัวและมอบถวายจิตวิญญาณอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนเลย ตามที่พระเจ้าทรงบัญชาผ่านโยเอลว่า เมื่อวันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าใกล้จะมาถึง จะเกิดการฉีกใจ ไม่ใช่ฉีกเสื้อผ้า (โยเอล 2:13) และต่างหันเข้ามาหาพระเจ้าด้วยการอดอาหารและการร้องไห้และการคร่ำครวญ ตามที่พระเจ้าตรัสผ่านเศคาริยาห์ว่า วิญญาณแห่งพระคุณและการวิงวอนได้เทลงมายังบุตรทั้งหลายของพระเจ้า พวกเขามองมายังพระองค์ที่เขาได้แทง มีการร่ำไห้คร่ำครวญอย่างยิ่งใหญ่ในแผ่นดิน......และผู้ที่มองหาองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ถ่อมจิตวิญญาณของพวกเขาต่อเบื้องพระพักตร์พระองค์” โดย Bliss ในหนังสือ Advent Shield and Review เล่มที่ 1 หน้า 271 (มกราคม ค.ศ. 1845) {GC 401.2} GCth17 346.1
ในบรรดาความเคลื่อนไหวทางศาสนาที่สำคัญๆ ตั้งแต่สมัยของอัครทูตยังไม่เคยมีการเคลื่อนไหวครั้งใดที่ไม่พบความไม่บกพร่องของมนุษย์และเล่ห์ของซาตานมากเท่ากับสิ่งที่เกิดขึ้นในฤดูใบไม้ร่วงของปี ค.ศ. 1844 ถึงแม้ในเวลานี้ หลังจากเหตุการณ์ผ่านพ้นไปหลายปีแล้วก็ตาม ทุกคนที่มีส่วนร่วมกับขบวนการในครั้งนั้นและยังคงยืนหยัดอยู่บนความจริง พวกเขายังคงรู้สึกได้ถึงอิทธิพลอันศักดิ์สิทธิ์ของพระราชกิจที่ให้เกิดสุข และต่างก็เป็นพยานว่า เหตุการณ์ครั้งนั้นมาจากพระเจ้า {GC 401.3} GCth17 346.2
เมื่อเสียงร้องดังขึ้นว่า “เจ้าบ่าวมาแล้ว จงออกมารับท่านเถิด” ผู้ที่รอคอย “ก็ลุกขึ้นตกแต่งตะเกียงของตน” พวกเขาศึกษาพระวจนะของพระเจ้าด้วยความสนใจอย่างแรงกล้าอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ทูตสวรรค์ได้รับบัญชาจากสวรรค์ให้ไปปลุกผู้ที่ท้อถอยและตระเตรียมพวกเขาให้พร้อมที่จะรับข่าวสาร งานนี้ไม่ได้พึ่งปัญญาหรือความรอบรู้ของมนุษย์ แต่พึ่งในฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า คนกลุ่มแรกที่รับฟังและปฏิบัติตามการทรงเรียกไม่ใช่คนที่เก่งที่สุด แต่กลับเป็นคนที่ถ่อมและทุ่มเทที่สุด ชาวไร่ทิ้งต้นพืชไว้ในท้องทุ่ง นายช่างทิ้งเครื่องมือ พวกเขาออกไปประกาศคำเตือนพร้อมกับน้ำตาและความปีติยินดี ส่วนคนที่เมื่อก่อนหน้านี้เคยเป็นผู้นำในขบวนการ กลับเป็นคนกลุ่มสุดท้ายที่เข้าร่วมขบวนการเคลื่อนไหวนี้ คริสตจักรโดยทั่วไปไม่ต้อนรับข่าวสารนี้ และคนกลุ่มใหญ่ที่ยอมรับข่าวนี้ต่างต้องถอนตัวออกจากการข้องเกี่ยวกับโบสถ์ ภายใต้การทรงนำของพระเจ้า ข่าวนี้ถูกประกาศออกไปพร้อมกับข่าวของทูตสวรรค์องค์ที่สองและทำให้ขบวนการนี้มีพลัง {GC 402.1} GCth17 346.3
ข่าวสารที่ว่า “เจ้าบ่าวมาแล้ว” ไม่ได้เป็นข่าวที่ต้องถกเถียงกันมากนัก แม้กระทั่งข้อพิสูจน์ของพระคัมภีร์ก็ชัดเจนและแน่นอน ข่าวนี้ถูกประกาศออกไปด้วยพลังผลักดันที่เคลื่อนไหวในจิตวิญญาณ ไม่มีอะไรต้องสงสัย ไม่มีอะไรต้องไต่ถาม เมื่อครั้งที่พระคริสต์เสด็จเข้ากรุงเยรูซาเล็มอย่างมีชัยชนะ ประชาชนที่เดินทางมาชุมนุมจากทั่วทุกหนทุกแห่งเพื่อฉลองเทศกาลพากันแห่ไปยังภูเขามะกอกเทศ และขณะที่พวกเขาเข้าร่วมกับฝูงชนที่ติดตามพระเยซูอยู่นั้น พวกเขาได้รับแรงบันดาลใจในช่วงเวลานั้น พวกเขาจึงได้ร่วมร้องกันด้วยเสียงอันดังพร้อมกับคนอื่น ๆ ว่า “ขอให้ท่านผู้ที่เสด็จมาในพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระเจริญ” มัทธิว 21:9 ในลักษณะที่คล้ายคลึงกัน ก็มีผู้ไม่เชื่อได้เข้าไปร่วมการประชุมกับพวกแอ๊ดเวนตีส บางคนมาเข้าร่วมด้วยความอยากรู้อยากเห็น บ้างก็ด้วยการเยาะเย้ย คนเหล่านี้ต่างรู้สึกได้ถึงอำนาจที่น่าเชื่อถือซึ่งมาพร้อมกับข่าวสาร “เจ้าบ่าวมาแล้ว” {GC 402.2} GCth17 347.1
ในเวลานั้น มีความเชื่อที่ทำให้การอธิษฐานได้รับคำตอบ เป็นความเชื่อที่ทำให้ได้รับรางวัลตอบแทน ดั่งฝนที่ตกลงมายังโลกที่แห้งผาก พระวิญญาณแห่งพระคุณเสด็จลงมายังผู้ที่แสวงหาด้วยความจริงใจ คนทั้งหลายที่หวังว่าอีกไม่นานนักพวกเขาจะยืนอยู่ต่อเบื้องพระพักตร์ของพระผู้ไถ่ของเขา คนเหล่านี้เต็มไปด้วยความสุขอันยิ่งใหญ่ที่ไม่อาจกล่าวออกมาเป็นคำพูดได้ อำนาจที่นุ่มนวลและทำให้อ่อนลงของพระวิญญาณบริสุทธิ์หลอมจิตใจของคนเหล่านี้ ในขณะที่พระเจ้าประทานพระพรของพระองค์อย่างเต็มขนาดให้แก่ผู้ที่ซื่อสัตย์และผู้เชื่อ {GC 402.3} GCth17 347.2
ด้วยความระมัดระวังและความเคร่งขรึม บรรดาผู้ที่รับข่าวสารนี้ได้เดินก้าวเข้ามายังเวลาที่พวกเขาหวังว่าจะได้พบองค์พระผู้เป็นเจ้าของพวกเขา ทุกเช้า พวกเขารู้สึกว่าหน้าที่อันดับแรกคือการหาหลักฐานเพื่อให้แน่ใจว่าพระเจ้าทรงยอมรับพวกเขา จิตใจของพวกเขาสานเข้าหากันอย่างใกล้ชิด และพวกเขาอธิษฐานร่วมกันและเผื่อซึ่งกันและกัน พวกเขามักประชุมร่วมกันในที่สงบเพื่อสนทนากับพระเจ้า และเสียงร้องทูลขอเหล่านี้ดังขึ้นไปจากท้องทุ่งและไร่นาไปสู่สวรรค์ สำหรับพวกเขาแล้ว ความมั่นใจว่าพระผู้ช่วยให้รอดทรงยอมรับพวกเขากลายเป็นสิ่งที่จำเป็นมากยิ่งกว่าอาหารประจำวันของพวกเขาเสียอีก และหากมีเมฆหมอกมาบดบังความคิดของเขา พวกเขาจะไม่ยอมหยุดพักจนกระทั่งเมฆหมอกเหล่านั้นถูกปัดกวาดทิ้งไปหมด ในขณะที่พวกเขาตระหนักถึงพระคุณแห่งการอภัย พวกเขาต้องการมองเห็นพระพักตร์ของพระองค์ที่จิตวิญญาณพวกเขารักยิ่ง {GC 403.1} GCth17 347.3
แต่เป็นอีกครั้งหนึ่งที่พวกเขาถูกกำหนดมาให้ต้องพบกับความผิดหวัง เวลาที่ถูกกำหนดไว้ผ่านไปและพระผู้ช่วยให้รอดก็ไม่ได้เสด็จมา พวกเขาได้มองไปข้างหน้าถึงการเสด็จมาของพระองค์ด้วยความเชื่อมั่นที่ไม่หวั่นไหว และบัดนี้ พวกเขาก็รู้สึกเหมือนนางมารีย์เมื่อเธอมาถึงอุโมงค์ฝังศพของพระผู้ช่วยให้รอดและพบว่าว่างเปล่า เธอร้องไห้พร้อมกับพูดว่า “เขาเอาองค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้าไป และข้าพเจ้าไม่ทราบว่าเอาไปไว้ที่ไหน” ยอห์น 20:13 {GC 403.2} GCth17 347.4
ความรู้สึกกลัวเกรง ความกลัวว่าข่าวสารนี้อาจจะเป็นจริงทำหน้าที่ควบคุมอยู่เหนือโลกของผู้ที่ไม่เชื่อไว้ได้ช่วงระยะหนึ่ง เมื่อเวลาที่กำหนดเลยผ่านไป ความรู้สึกดังกล่าวไม่ได้หายไปทันที ในช่วงแรกพวกเขาไม่กล้าฉลองชัยชนะทับถมต่อผู้ที่ผิดหวัง แต่เมื่อไม่มีเครื่องหมายแห่งพระพิโรธของพระเจ้าปรากฏให้เห็น คนเหล่านี้ก็หายกลัว และกลับไปตำหนิและหัวเราะเยาะอีก คนกลุ่มใหญ่ที่เคยอ้างว่าตนเชื่อเรื่องการเสด็จมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าก็ประกาศละทิ้งความเชื่อของพวกเขา บางคนที่เคยมีความเชื่อมั่นสูง ความภาคภูมิใจของพวกเขาก็ต้องพบกับความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสจนพวกเขาอยากจะหลบหนีออกไปจากโลก เหมือนเช่นโยนาห์ พวกเขาบ่นต่อว่าพระเจ้าและอยากตายมากกว่าอยากมีชีวิตอยู่ต่อไป ส่วนผู้ที่ยึดความเชื่อไว้บนความคิดเห็นของผู้อื่นและไม่ได้ยึดมั่นอยู่กับพระวจนะของพระเจ้า คนเหล่านี้ก็พร้อมที่จะเปลี่ยนแนวคิดของตน พวกคนเย้ยหยันชักนำคนที่อ่อนแอและคนที่ขี้ขลาดให้มาเป็นพวกตนและพวกเขาร่วมกันประกาศว่าไม่มีอะไรต้องกลัวหรือต้องมาให้คาดหวังอีกแล้ว เวลาผ่านไปแล้ว องค์พระผู้เป็นเจ้าก็ไม่ได้เสด็จมาและโลกก็จะเป็นเช่นนี้ต่อไปอีกหลายพันปี {GC 403.3} GCth17 348.1
ผู้เชื่อที่ร้อนรนและจริงใจยอมสละทุกสิ่งเพื่อพระคริสต์ และมีส่วนร่วมในการสถิตอยู่ด้วยของพระองค์อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน พวกเขาเชื่อว่าพวกเขาประกาศคำเตือนสุดท้ายให้โลกแล้วและคาดหวังว่าในเวลาอีกไม่ช้าจะเข้าร่วมในแวดวงสังคมกับพระอาจารย์และเหล่าทูตสวรรค์ และพวกเขาถอนตัวออกไปจากสังคมของผู้ที่ไม่ยอมรับข่าวประเสริฐเสียเป็นส่วนใหญ่ ด้วยความปรารถนาอย่างแรงกล้า พวกเขาอธิษฐานว่า “พระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้า เชิญเสด็จมาเถิด” วิวรณ์ 22:21 แต่พระองค์ไม่ได้เสด็จมา และบัดนี้พวกเขาต้องกลับมาแบกรับภาระหนักและความสับสนในชีวิตอีกครั้งหนึ่ง และทนอยู่กับการเหน็บแนมและการถากถางของโลกที่คอยเย้ยหยัน สิ่งเหล่านี้เป็นการทดสอบความเชื่อและความอดทนอย่างรุนแรง {GC 404.1} GCth17 348.2
แต่กระนั้นความผิดหวังครั้งนี้ไม่ได้ยิ่งใหญ่ไปกว่าความผิดหวังที่สาวกทั้งหลายได้รับในสมัยที่พระคริสต์เสด็จมาครั้งแรก เมื่อพระเยซูทรงลูกลาเข้ากรุงเยรูซาเล็มอย่างผู้มีชัย ผู้ติดตามของพระองค์เชื่อมั่นว่าพระองค์กำลังจะทรงขึ้นครองบัลลังก์ของกษัตริย์ดาวิดและปลดปล่อยอิสราเอลจากอำนาจการกดขี่ พวกเขาตั้งความหวังไว้อย่างเต็มที่และเต็มไปด้วยความสุข พวกเขาแข่งกันถวายพระเกียรติกษัตริย์ของพวกเขา มีหลายคนถอดเสื้อนอกของตนเองออกมาปูเป็นพรมตามทางที่พระองค์ทรงดำเนินผ่าน หรือโปรยใบตาลต่อเบื้องพระพักตร์พระองค์ ด้วยความสุขอย่างแรงกล้า พวกเขาร่วมกันเปล่งเสียงด้วยความยินดีว่า “โฮซันนา แก่บุตรของดาวิด” เสียงร้องชื่นชมนี้ดังกวนใจพวกฟาริสีและทำให้พวกเขาโกรธ พวกเขาอยากจะให้พระเยซูตำหนิสาวกของพระองค์ แต่พระองค์ตรัสตอบว่า “แม้คนพวกนี้จะนิ่งเงียบ แต่ศิลาทั้งหลายก็ยังจะส่งเสียงร้อง” ลูกา 19:40 คำพยากรณ์จะต้องสำเร็จ สาวกทั้งหลายจะทำให้พระประสงค์ของพระเจ้าสำเร็จ แต่กระนั้นพวกเขาถูกกำหนดให้ต้องพบกับความผิดหวังที่ขมขื่น เพียงไม่กี่วันผ่านไป พวกเขาต่างมองดูพระผู้ช่วยให้รอดสิ้นพระชนม์อย่างแสนทรมาน และฝังพระองค์ไว้ในอุโมงค์ สิ่งที่พวกเขาคาดหวังไว้ไม่ได้เกิดขึ้นอย่างที่พวกเขาคิดแม้เพียงนิดเดียว และความหวังของพวกเขาก็ตายไปพร้อมกับพระเยซู จวบจนกระทั่งองค์พระผู้เป็นเจ้าของพวกเขาเสด็จออกมาจากอุโมงค์ฝังศพอย่างผู้มีชัย พวกเขาจึงเข้าใจสิ่งที่ถูกทำนายไว้ล่วงหน้าในคำพยากรณ์ว่า “จำเป็นที่พระคริสต์จะต้องทรงทนทุกข์และเป็นขึ้นจากตาย” กิจการ 17:3 {GC 404.2} GCth17 348.3
ห้าร้อยปีก่อนหน้านี้ องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงประกาศผ่านทางผู้เผยพระวจนะเศคาริยาห์ว่า “ธิดาแห่งศิโยนเอ๋ย จงร่าเริงอย่างยิ่งเถิด โอ บุตรีแห่งเยรูซาเล็มเอ๋ย จงโห่ร้อง นี่แน่ะ กษัตริย์ของเธอเสด็จมาหาเธอ ทรงความยุติธรรมและความรอด พระองค์ทรงอ่อนสุภาพและทรงลูกลา” เศคาริยาห์ 9:9 หากเหล่าสาวกรับรู้ได้ก่อนว่าพระคริสต์จะทรงถูกพิพากษาและต้องสิ้นพระชนม์แล้ว พวกเขาคงทำให้คำพยากรณ์นี้สำเร็จไม่ได้ {GC 405.1} GCth17 349.1
ในทำนองเดียวกัน มิลเลอร์และมิตรสหายของเขาทำให้คำพยากรณ์สำเร็จและประกาศข่าวที่พระคัมภีร์บอกไว้ล่วงหน้าว่าจะต้องประกาศให้โลกทราบ แต่หากพวกเขาเข้าใจอย่างเต็มที่ถึงคำพยากรณ์ที่ชี้ถึงความผิดหวังที่พวกเขาจะได้รับแล้ว พวกเขาคงจะประกาศข่าวนี้ให้แก่โลกไม่ได้ พวกเขาคงจะประกาศข่าวอื่นให้แก่ชนทุกชาติก่อนที่องค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จมา ข่าวของทูตสวรรค์องค์ที่หนึ่งและองค์ที่สองถูกประกาศในเวลาที่เหมาะสม และก่อให้เกิดผลตามที่พระเจ้าทรงจัดวางให้พวกเขาทำให้สำเร็จ {GC 405.2} GCth17 349.2
ชาวโลกต่างจ้องดูและคาดว่าเมื่อเวลาที่กำหนดผ่านไปและพระคริสต์ไม่ได้เสด็จมาปรากฏ ความเชื่อเรื่องการเสด็จกลับมาของพระคริสต์จะถูกปล่อยทิ้งไป ในขณะที่มีคนมากมายที่ต้องเผชิญกับการทดลองอย่างหนักและละทิ้งความเชื่อไป แต่ก็มีบางคนที่ยังยืนหยัดอย่างมั่นคง ผลที่เกิดขึ้นจากขบวนการรอคอยการเสด็จกลับมาของพระคริสต์อันประกอบด้วยวิญญาณแห่งความถ่อมตนและการตรวจสอบจิตใจ การละทิ้งทางฝ่ายโลกและเกิดการปฏิรูปในชีวิตนั้นต่างเป็นพยานให้เห็นว่าขบวนการนี้มาจากพระเจ้า พวกเขาไม่กล้าปฏิเสธว่าอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นพยานให้กับการเทศนาเรื่องการเสด็จมาครั้งที่สองและพวกเขาหาข้อผิดพลาดในการคำนวณเวลาของคำพยากรณ์ไม่ได้ ผู้ต่อต้านที่มีความสามารถสูงสุดยังไม่อาจเอาชนะการแปลความหมายเรื่องระบบในคำพยากรณ์ของพวกเขาได้ หากไม่มีหลักฐานในพระคัมภีร์มายืนยัน พวกเขาจะไม่ยอมปฏิเสธจุดยืนของพวกเขาที่ได้มาด้วยการศึกษาพระคัมภีร์อย่างจริงจังและการอธิษฐาน จุดยืนที่สติปัญญาของพวกเขาได้มาด้วยความกระจ่างจากพระวิญญาณของพระเจ้าและจิตใจเร่าร้อนด้วยอำนาจที่มีชีวิต จุดยืนที่ทนได้กับการวิจารณ์ที่รุนแรงที่สุดและการต่อต้านอย่างขมขื่นจากครูสอนศาสนาที่มีชื่อเสียงและนักปราชญ์ของโลก และที่ยืนหยัดต้านแรงกดดันจากผู้มีความรู้และคล่องแคล่วที่สุด และการตำหนิและดุด่าของผู้มีเกียรติและของคนต่ำช้า {GC 405.3} GCth17 349.3
จริงอยู่ สิ่งที่พวกเขาคาดหวังไว้เกิดการผิดพลาดขึ้น แต่เหตุการณ์นี้ก็ไม่อาจสั่นคลอนความเชื่อที่พวกเขามีในพระวจนะของพระเจ้า เมื่อโยนาห์ออกไปประกาศตามถนนของเมืองนีนะเวห์ว่า เมืองนีนะเวห์จะถูกทำลายภายในสี่สิบวัน องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงยอมรับการถ่อมใจของชาวเมืองนี้ และทรงขยายเวลาแห่งพระกรุณาธิคุณออกไป กระนั้นสิ่งที่โยนาห์ประกาศนั้นเป็นข่าวสารมาจากพระเจ้า และเมืองนีนะเวห์ก็ถูกทดสอบตามพระประสงค์ของพระองค์ ในทำนองเดียวกัน ชาวแอ๊ดเวนตีสเชื่อว่าพระเจ้าทรงนำพวกเขาให้ประกาศคำเตือนเรื่องการพิพากษา พวกเขาประกาศว่า “ข่าวนี้ทดสอบจิตใจของผู้ที่ได้รับฟังทุกคน และกระตุ้นให้เกิดความรักในการเสด็จมาปรากฏขององค์พระผู้เป็นเจ้า หรือไม่ ข่าวสารนี้ก็สร้างความเกลียดชังไม่น้อยไปกว่ากัน ซึ่งมีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่จะทรงรับรู้ได้ ข่าวสารนี้ขีดเส้นแบ่งแยก.......เพื่อให้ตรวจสอบจิตใจของตนเองเพื่อจะได้รู้ว่า หากองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมาแล้วนั้นจะพบพวกเขาอยู่ฝ่ายไหน เพื่อพวกเขาจะอุทานว่า ‘ดูสิ นี่คือพระเจ้าของเรา เรารอคอยพระองค์ เพื่อพระองค์จะทรงช่วยเราให้รอด’ อิสยาห์ 25:9 หรือพวกเขาจะร้องขอให้ก้อนหินและภูเขาล้มลงทับพวกเขาเพื่อจะหนีให้พ้นไปจากพระพักตร์ของพระองค์ผู้ประทับอยู่บนบัลลังก์ และหนีให้พ้นจากพระพิโรธของพระเมษโปดก ดังนั้น เราเชื่อว่าพระเจ้าทรงทดลองประชากรของพระองค์ และทดสอบความเชื่อของพวกเขาและพิสูจน์เขาเหล่านั้นและทรงเห็นว่าพวกเขาจะหดถอยไปจากหน้าที่การงานที่พระองค์ทรงเห็นว่าเหมาะสำหรับพวกเขาในเวลาแห่งการทดลองหรือไม่ หรือว่าพวกเขาจะสละสิ่งของในโลกนี้และพึ่งพิงในพระวจนะของพระเจ้าด้วยความมั่นใจอย่างแน่วแน่” The Advent Herald and Signs of the Times Reporter ฉบับที่ 14 เล่มที่ 8 (13 พฤศจิกายน 1844) {GC 406.1} GCth17 350.1
ความรู้สึกของผู้ที่ยังเชื่อว่าพระเจ้าทรงนำพวกเขาในเหตุการณ์ที่ผ่านมาถูกบรรยายไว้ในคำพูดของวิลเลียม มิลเลอร์ว่า “หากข้าพเจ้าสามารถย้อนเวลากลับไปในอดีตได้อีกครั้งหนึ่งและข้าพเจ้ามีหลักฐานอันเดียวกันกับที่ข้าพเจ้ามีอยู่นี้ ข้าพเจ้าจะตอบอย่างจริงใจทั้งต่อหน้าพระเจ้าและต่อหน้ามนุษย์ว่า ข้าพเจ้าก็จะทำเหมือนที่ทำมาแล้ว” “ข้าพเจ้าหวังว่า ข้าพเจ้าได้ชำระเสื้อผ้าให้สะอาดจากเลือดของวิญญาณจิตพวกนั้น ข้าพเจ้ารู้ว่าเท่าที่กำลังอำนาจของข้าพเจ้าจะทำได้ ข้าพเจ้าปลดปล่อยตัวเองให้พ้นจากการปรับโทษของความผิดของพวกเขาแล้ว” คนของพระเจ้าท่านนี้เขียนต่อไปว่า “แม้ข้าพเจ้าจะต้องพบกับความผิดหวังถึงสองครั้ง แต่ข้าพเจ้าไม่หดหู่หรือท้อถอย.....ความหวังของข้าพเจ้าเรื่องการเสด็จมาของพระคริสต์ก็ยังมั่นคงเหมือนเดิม ข้าพเจ้ากระทำแต่สิ่งที่ข้าพเจ้าไตร่ตรองมาแล้วหลายปีและตระหนักว่าเป็นหน้าที่ที่ข้าพเจ้าจะต้องทำ หากข้าพเจ้าทำผิดไป ก็คงเป็นมาจากความกรุณาและความรักที่ข้าพเจ้ามีให้กับเพื่อนมนุษย์และสำนึกในหน้าที่ที่มีต่อพระเจ้า” “สิ่งหนึ่งที่ข้าพเจ้าทราบดีคือ ข้าพเจ้าไม่เคยเทศนาเรื่องอื่นใดนอกจากเรื่องที่ข้าพเจ้าเชื่อ และพระเจ้าสถิตอยู่กับข้าพเจ้า อำนาจของพระองค์สำแดงออกในผลงานเหล่านั้นและก่อให้เกิดผลดีมากมาย” “จากบรรดาคนที่เรามองเห็นได้ การเทศนาในครั้งนั้นทำให้มีคนนับพันๆ คนศึกษาพระคัมภีร์ ซึ่งหมายความว่าด้วยความเชื่อและการชำระด้วยพระโลหิตของพระคริสต์มีคนมากมายกลับคืนดีกับพระเจ้า” Bliss หน้า 256, 255, 277, 280, 281 “ข้าพเจ้าไม่เคยเข้าหารอยยิ้มของคนยโส หรือสะทกสะท้านเมื่อโลกไม่พอใจ บัดนี้ ข้าพเจ้าไม่ต้องการซื้อความพอใจของพวกเขา หรือทำเกินหน้าที่เพื่อยั่วโทสะของพวกเขา ข้าพเจ้าหวังว่า ข้าพเจ้าจะไม่ร้องขอชีวิตจากมือของพวกเขา หรือกลัวจะต้องสูญเสียชีวิต ถ้าหากนั่นเป็นพระประสงค์ที่ดีของพระองค์” J. White, Life of Wm. Miller หน้า 315 {GC 406.2} GCth17 350.2
พระเจ้าไม่ได้ทรงทอดทิ้งประชากรของพระองค์ พระวิญญาณของพระองค์ยังคงสถิตอยู่กับผู้ที่ไม่ได้รีบปฏิเสธแสงสว่างที่ทรงโปรดประทานมาให้และประณามขบวนการต้อนรับการเสด็จมาของพระเยซู ในจดหมายที่เขียนถึงชาวฮีบรู มีคำหนุนใจและคำเตือนสำหรับผู้ที่ถูกทดลองและกำลังรอคอยขณะที่อยู่ในวิกฤตการณ์นี้ว่า “เพราะฉะนั้น อย่าละทิ้งความไว้วางใจของท่าน อันจะนำมาซึ่งบำเหน็จยิ่งใหญ่ ท่านทั้งหลายจำเป็นต้องมีความทรหดอดทนเพื่อท่านจะสามารถทำตามพระทัยได้ แล้วท่านก็จะได้รับสิ่งที่ทรงสัญญาไว้นั้น เพราะอีกเพียงไม่นาน พระองค์ผู้จะเสด็จมาก็จะเสด็จมาและจะไม่ทรงชักช้า แต่คนชอบธรรมของเรานั้นจะดำรงชีวิตอยู่ด้วยความเชื่อ และถ้าเขาหันกลับ เราจะไม่มีความพอใจในคนนั้นเลย แต่พวกเราเองไม่ใช่พวกที่หันกลับและถึงซึ่งความพินาศ แต่เป็นพวกที่เชื่อมั่นจึงทำให้ชีวิตปลอดภัย” ฮีบรู 10:35-39 {GC 407.1} GCth17 351.1
หลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าคำสอนนี้พูดโดยตรงกับคริสตจักรที่อยู่ในวาระสุดท้ายมาจากพระวจนะข้อที่ชี้ไปยังการใกล้เสด็จมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า “อีกเพียงไม่นานพระองค์ผู้จะเสด็จมาก็จะเสด็จมาและจะไม่ทรงชักช้า” ฮีบรู 10:37 และข้อพระคัมภีร์นี้ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ดูเสมือนหนึ่งว่าจะเกิดการล่าช้าขึ้นและดูประหนึ่งว่าการเสด็จมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าจะถูกเลื่อนออกไป ข้อชี้แนะนี้ช่างเหมาะสมกับประสบการณ์ของชาวแอ๊ดเวนตีสในเวลานี้ ความเชื่อของเหล่าคนทั้งหลายที่พระคัมภีร์กล่าวถึงนี้กำลังตกอยู่ในสภาพอันตรายที่จะอับปางลง พวกเขาปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระเจ้าภายใต้การทรงนำของพระวิญญาณของพระองค์และพระวจนะของพระองค์ แต่ถึงกระนั้น พวกเขาไม่เข้าใจพระประสงค์ของพระองค์ในประสบการณ์ที่ผ่านพ้นมาของพวกเขา หรือไม่เข้าใจหนทางที่อยู่ข้างหน้า และพวกเขาถูกทดลองให้สงสัยว่าพระเจ้าทรงนำพวกเขาอยู่จริงหรือไม่ ข้อพระคัมภีร์ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับพวกเขาในเวลานี้คือ “คนชอบธรรมของเรานั้นจะดำรงชีวิตอยู่ด้วยความเชื่อ” ฮีบรู 10:38 ในขณะที่แสงสว่างอันเจิดจ้าของ “เสียงร้องยามเที่ยงคืน” ส่องมายังเส้นทางเดินของพวกเขา และพวกเขาได้เห็นคำพยากรณ์ถูกเปิดเผยออก และหมายสำคัญต่างๆ ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วตามคำพยากรณ์ก็กำลังบอกว่าพระคริสต์ใกล้จะเสด็จมาแล้วนั้น พวกเขาก็ได้เดินราวกับว่ามองเห็นจริงๆ แต่บัดนี้เมื่อพวกเขาตกอยู่ภายใต้ความหวังที่สิ้นสลาย พวกเขาจะสามารถยืนอยู่ได้ก็ด้วยความเชื่อในพระเจ้าและในพระวจนะของพระองค์เท่านั้น เสียงเยาะเย้ยของชาวโลกกำลังบอกกับพวกเขาว่า “พวกท่านถูกหลอก ทิ้งความเชื่อของท่านเสียและยอมรับว่าขบวนการรอคอยการเสด็จกลับมาของพระคริสต์นั้นมาจากซาตาน” แต่พระวจนะของพระเจ้าเปิดเผยว่า “ถ้าเขาหันกลับ เราจะไม่มีความพอใจในคนนั้นเลย” ฮีบรู 10:38 หากพวกเขาประกาศละทิ้งความเชื่อในเวลานี้และปฏิเสธไม่ยอมรับอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่มาพร้อมกับข่าวสารนี้ ก็จะเป็นการถอยหลังกลับไปสู่ความหายนะ เปาโลหนุนใจให้พวกเขายืนหยัดต่อไปว่า “เพราะฉะนั้น อย่าละทิ้งความไว้วางใจของท่าน” “ท่านทั้งหลายจำเป็นต้องมีความทรหดอดทน” “อีกเพียงไม่นาน พระองค์ผู้จะเสด็จมาก็จะเสด็จมาและจะไม่ทรงชักช้า” หนทางเดียวที่ปลอดภัยคือถนอมรักษาแสงสว่างที่พวกเขาได้รับจากพระเจ้า ยึดมั่นในพระสัญญา และศึกษาพระคัมภีร์ต่อไป และเฝ้ารอด้วยความอดทนจนได้รับแสงสว่างเพิ่มเติมมากขึ้น {GC 408.1} GCth17 351.2
*****