Go to full page →

บท 1 - ความพินาศของกรุงเยรูซาเล็ม GCth17 14

“โอ เราอยากให้เจ้ารู้ในเวลานี้ว่าสิ่งใดสร้างสันติ แต่เดี๋ยวนี้สิ่งนั้นถูกซ่อนไว้จากตาของเจ้าแล้ว เพราะว่าเวลานั้นจะมาถึงเจ้า เมื่อพวกศัตรูของเจ้าจะก่อเชิงเทินต่อสู้เจ้า และล้อมขังเจ้าไว้ทุกด้าน แล้วจะเหวี่ยงเจ้าลงให้ราบบนพื้นดิน ทั้งตัวเจ้าและลูกๆ ที่อยู่ข้างในเจ้า และพวกเขาจะไม่ปล่อยให้ศิลาซ้อนทับกันไว้ข้างในเจ้า เพราะเจ้าไม่รับรู้วันเวลาที่พระองค์เสด็จมาเยี่ยมเจ้า” ลูกา 19:42-44 {GC 17.1} GCth17 14.1

จากยอดเขามะกอกเทศ พระเยซูทอดพระเนตรกรุงเยรูซาเล็ม ทัศนียภาพอันงดงามและเงียบสงบปรากฏอยู่เบื้องพระพักตร์พระองค์ ขณะนั้นเป็นช่วงเทศกาลปัสกา [เทศกาลเฉลิมฉลองของชาวอิสราเอลที่เริ่มตั้งแต่วันที่ 14 ของเดือนที่ 7 ตามปฏิทินยิว เพื่อระลึกถึงการที่พระเจ้าทรงนำชาวอิสราเอลออกจากการเป็นทาสในแผ่นดินอียิปต์] และบุตรหลานทั้งหลายของยาโคบจากทั่วทุกสารทิศต่างมาร่วมชุมนุมกันที่นั่นเพื่อเฉลิมฉลองเทศกาลแห่งชาติครั้งใหญ่นี้ ในท่ามกลางเรือกสวน ไร่องุ่น และที่ลาดชันอันเขียวขจีที่รายล้อมไปด้วยเต็นท์ของบรรดาผู้ที่เดินทางมาร่วมงาน ซึ่งบริเวณสถานที่แห่งนี้มีพระราชวังอันโอ่อ่าและป้อมปราการอันแข็งแกร่งแห่งเมืองหลวงของประเทศอิสราเอลตั้งตระหง่านสูงเด่นอยู่บนเนินเขาอันสลับซับซ้อนนั้น ดูราวกับบุตรีแห่งศิโยนจะเอ่ยอย่างเย่อหยิ่งว่า เราคือราชินีและเราจะไม่ประสบกับความเศร้าโศกระทมทุกข์ใดๆ เลย เธอถือว่าตนเองเป็นที่โปรดปรานของสวรรค์ เธอนั้นงดงามดั่งเช่นที่ผู้เล่นเครื่องสายในพระราชวังสมัยโบราณเคยร้องขนานนามไว้ว่า “สูงตระหง่านงามตระการตา เป็นความชื่นบานของแผ่นดินโลกทั้งสิ้น คือภูเขาศิโยน.....เป็นนครของกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่” สดุดี 48:2 ภาพที่มองเห็นอย่างเด่นชัดคือตัวอาคารพระวิหารอันตระการยิ่ง ลำแสงจากดวงอาทิตย์ที่กำลังเคลื่อนลับขอบฟ้าขับกับสีขาวดั่งหิมะของผนังหินอ่อนให้เจิดจ้าขึ้น ทั้งยังสะท้อนแสงแวววับจากประตูหอคอยและยอดพระวิหารทองคำ พระวิหารหลังนี้ “งามหมดจด” และเป็นความภาคภูมิใจของชนชาติยิว จะมีลูกหลานคนใดในอิสราเอลบ้างเล่าเมื่อได้ประจักษ์ในภาพนี้แล้วใจจะไม่มีความชื่นบานปีติยินดีจนเนื้อเต้น แต่กระนั้นก็ยังมีอีกความคิดหนึ่งซึ่งแตกต่างที่เกาะกุมอยู่ในพระหทัยของพระเยซู “เมื่อพระองค์เสด็จมาใกล้และทอดพระเนตรเห็นกรุงแล้ว ก็ทรงกันแสงสงสารกรุงนั้น” ลูกา 19:41 ท่ามกลางความชื่นชมยินดีเป็นล้นพ้นที่พระองค์เสด็จเข้ากรุงอย่างผู้มีชัย ในขณะที่ใบอินทผลัมโบกสะบัดไปมา ขณะที่เสียงร้องสรรเสริญโฮซันนาดังก้องสะท้อนทั่วเนินเขา และขณะที่เสียงของผู้คนนับพันๆ ต่างประกาศว่าพระองค์ทรงเป็นพระมหาราชา แต่พระผู้ช่วยให้รอดของโลกกลับทรงท่วมท้นไปด้วยความทุกข์อย่างฉับพลันและล้ำลึก พระองค์ผู้ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า ผู้ทรงเป็นองค์พระสัญญาของอิสราเอล ผู้ทรงมีอำนาจเหนือความตายและทรงเรียกผู้ที่ถูกจำจองออกจากหลุมฝังศพ พระองค์ทรงกำลังกันแสง ไม่ใช่ด้วยความโศกเศร้าตามธรรมดาแต่ด้วยความทุกข์ระทมอย่างถึงที่สุดซึ่งยากที่จะทำให้สงบลงได้ {GC 17.2} GCth17 14.2

แม้พระองค์จะทรงทราบดีว่าพระบาทของพระองค์กำลังจะก้าวไปสู่ที่ใด กระนั้นพระองค์ก็ไม่ได้ทรงหลั่งน้ำตาเพื่อตัวพระองค์เอง เบื้องหน้าพระองค์คือสวนเกทเสมนี ที่ซึ่งฉากแห่งความทุกข์ระทมของพระองค์กำลังจะมาถึง พระองค์ทรงแลเห็นประตูแกะนั้นด้วย ซึ่งเหยื่อที่ถูกนำมาถวายเป็นเครื่องบูชาจะต้องถูกนำผ่านประตูนี้ไปนับเป็นเวลาหลายศตวรรษมาแล้ว และประตูนี้เองที่จะถูกเปิดออกไว้สำหรับพระองค์เมื่อพระองค์จะทรงเป็น “เหมือนลูกแกะที่ถูกนำไปฆ่า” อิสยาห์ 53:7 ห่างออกไปไม่ไกลนักคือภูเขาคาลวารี สถานที่แห่งการตรึงกางเขน บนเส้นทางที่พระคริสต์จะทรงย่างก้าวไปในอีกไม่ช้านั้นจะเต็มไปด้วยความน่าสยดสยองของความมืดมิดอย่างที่สุด เมื่อพระองค์จะทรงมอบวิญญาณจิตของพระองค์เป็นเครื่องบูชาไถ่บาป ถึงกระนั้นเงามืดที่ทอดอยู่เหนือพระองค์ในช่วงเวลาแห่งความชื่นชมยินดีเช่นนี้ หาได้เกิดจากการใคร่ครวญถึงภาพเหตุการณ์เหล่านี้ไม่ มิใช่ด้วยการสังหรณ์ถึงความทุกข์ระทมที่เกินขนาดของความเป็นมนุษย์ปุถุชนของพระองค์เอง ที่อาจบดบังวิญญาณแห่งการเสียสละนั้นได้ พระองค์ทรงกันแสงให้ผู้คนจำนวนมากมายในกรุงเยรูซาเล็มที่จะต้องพินาศไปเนื่องด้วยความมืดบอดและความดื้อรั้นของคนทั้งหลายเหล่านั้นที่พระองค์เสด็จมาเพื่อทรงอำนวยพระพรและทรงช่วยให้รอด {GC 18.1} GCth17 15.1

ประวัติศาสตร์กว่าหนึ่งพันปีภายใต้พระพรแห่งการพิทักษ์รักษาและความโปรดปรานเป็นพิเศษของพระเจ้าที่ทรงมีต่อประชากรที่พระองค์ทรงเลือกสรรปรากฏสู่สายพระเนตรของพระเยซู ณ ภูเขาโมริยาห์ที่ซึ่งอิสอัคบุตรแห่งพันธสัญญาผู้เป็นเหยื่อที่อยู่ในโอวาทได้ถูกมัดไว้บนแท่นบูชา ซึ่งเป็นสัญลักษณ์เล็งถึงการถวายตัวเป็นเครื่องบูชาของพระบุตรของพระเจ้า ที่นั่นเอง ที่พระสัญญาแห่งพระพรอันรุ่งโรจน์เกี่ยวกับพระเมสสิยาห์ถูกยืนยันต่อบิดาแห่งความเชื่อ (ปฐมกาล 22:9, 16-18) ณ ที่นั่นที่เปลวไฟจากการถวายบูชาที่ลอยขึ้นสู่สวรรค์จากลานนวดข้าวของโอรนันได้หันเหทิศทางดาบของทูตมรณะเสีย (1 พงศาวดาร 21) อันเป็นสัญลักษณ์ที่เหมาะเจาะเล็งถึงการที่พระผู้ช่วยให้รอดได้ทรงถวายพระองค์เองเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป และทรงทำหน้าที่เป็นผู้ไกล่เกลี่ยของมวลมนุษย์ผู้หลงผิดทั้งหลาย กรุงเยรูซาเล็มเคยได้รับเกียรติจากพระเจ้าเหนือเมืองอื่นใดบนแผ่นดินโลก “พระยาห์เวห์ทรงเลือกศิโยน พระองค์มีพระประสงค์จะให้เป็นที่ประทับของพระองค์” สดุดี 132:13 ณ เมืองนั้นเองที่บรรดาผู้เผยพระวจนะบริสุทธิ์ได้ประกาศข่าวคำเตือนมาเป็นเวลาหลายยุคหลายสมัย ณ ที่นั่น ปุโรหิตเคยแกว่งกระถางเครื่องหอม และเป็นที่ซึ่งควันเครื่องหอมลอยขึ้นสู่เบื้องพระพักตร์พระเจ้าพร้อมด้วยคำอธิษฐานของผู้เข้าร่วมนมัสการ ที่นั่นเคยมีการถวายเลือดของลูกแกะที่ถูกนำมาฆ่าอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน อันเป็นการเล็งถึงพระเมษโปดกของพระเจ้า ที่นั่นพระยาห์เวห์ทรงสำแดงการทรงร่วมสถิตของพระองค์ในหมู่เมฆแห่งพระสิริเหนือพระที่นั่งกรุณานั้น ที่นั่นเป็นที่ตั้งของฐานบันไดลึกลับที่เชื่อมแผ่นดินโลกเข้ากับสวรรค์ ปฐมกาล 28:12 ยอห์น 1:51 บันไดอันนั้นที่ทูตทั้งหลายของพระเจ้าเคยขึ้นลง และเป็นบันไดที่เปิดทางให้โลกมุ่งตรงสู่อภิสุทธิสถาน หากชนชาติอิสราเอลคงไว้ซึ่งความจงรักภักดีของเธอที่มีต่อสวรรค์แล้ว กรุงเยรูซาเล็มก็คงจะดำรงอยู่เป็นนิตย์ในฐานะเมืองที่พระเจ้าทรงเลือกสรร เยเรมีย์ 17:21-25 แต่ประวัติศาสตร์แห่งประชากรของพระเจ้ากลับเป็นบันทึกที่จารึกถึงเรื่องราวความกลับสัตย์และการกบฏ พวกเขาหมิ่นต่อพระคุณของสวรรค์ บิดเบือนสิทธิพิเศษและดูแคลนโอกาสต่างๆ ของตน {GC 18.2} GCth17 15.2

ถึงแม้ชนชาติอิสราเอลจะ “เย้ยหยันบรรดาทูตของพระเจ้าอยู่เสมอและดูหมิ่นพระวจนะของพระองค์ ทั้งเยาะเย้ยบรรดาผู้เผยพระวจนะของพระองค์” 2 พงศาวดาร 36:16 แต่พระองค์ก็ยังทรงสำแดงพระองค์เองให้พวกเขาเห็นว่าพระองค์ทรงเป็น “พระยาห์เวห์ เป็นพระเจ้าผู้เปี่ยมด้วยพระกรุณา และพระคุณ พระองค์กริ้วช้า ทรงบริบูรณ์ด้วยความรักมั่นคงและความสัตย์จริง” อพยพ 34:6 แม้พวกเขาจะปฏิเสธพระองค์ซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็ตามที แต่คำวิงวอนด้วยพระเมตตาคุณของพระองค์ยังคงมีอย่างไม่ขาดสาย ยิ่งกว่าความรักความสงสารของบิดาที่มีต่อบุตรที่เขาห่วงใย พระยาห์เวห์ “ทรงกล่าวโดยทูตของพระองค์อย่างไม่หยุดยั้ง เพราะพระองค์ทรงเมตตาสงสารประชากรและที่ประทับของพระองค์” 2 พงศาวดาร 36:15 เมื่อคำทัดทาน คำอ้อนวอน และคำตำหนิไร้ผล พระองค์จึงทรงมอบของประทานอันล้ำค่าจากสรวงสวรรค์ให้กับพวกเขา ไม่ใช่เพียงแค่นี้ แต่พระองค์ยังทรงเททั้งสวรรค์ลงมาในของประทานชิ้นเดียวกันนั้นด้วย {GC 19.1}พระบุตรของพระเจ้าเองเสด็จมาเพื่อวิงวอนนครที่ไม่ยอมกลับใจ พระคริสต์เองผู้ทรงนำอิสราเอลดั่งนำเถาองุ่นออกจากอียิปต์ (สดุดี 80:8) พระหัตถ์ของพระองค์ทรงขับไล่คนนอกศาสนาออกไปต่อหน้าต่อตาพวกเขา พระองค์ทรงปลูกเถาองุ่นนั้นไว้ “บนเนินเขาอันอุดมยิ่ง” พระองค์ทรงล้อมรั้วดูแลมัน พระองค์ทรงรับสั่งใช้คนงานไปคอยรดน้ำพรวนดิน พระองค์ทรงอุทานขึ้นมาว่า “มีอะไรที่จะทำได้อีกเพื่อสวนองุ่นของเรา ซึ่งเรายังไม่ได้ทำให้” อิสยาห์ 5:1-4 แม้พระองค์ทรงมุ่งหวังว่ามันจะเกิดผลลูกองุ่นแท้ ไฉนมันจึงเกิดผลองุ่นเปรี้ยว ถึงกระนั้นพระองค์ก็ยังทรงมุ่งหวังว่ามันจะผลิดอกออกผล พระองค์จึงเสด็จมายังสวนองุ่นของพระองค์ด้วยตัวพระองค์เองเผื่อว่าจะช่วยเถาองุ่นให้รอดจากความพินาศได้บ้าง พระองค์ทรงสกัดบ่อย่ำองุ่นไว้ พระองค์ทรงตัดแต่งและทะนุถนอมดูแลมัน พระองค์ไม่ทรงลดละความพยายามที่จะช่วยเถาองุ่นนี้ที่พระองค์เองทรงปลูกไว้ {GC 19.2} GCth17 16.1

เป็นเวลาสามปีที่องค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งความสว่างและพระสิริเสด็จเข้าออกท่ามกลางประชากรของพระองค์ พระองค์ “เสด็จไปทำคุณประโยชน์และรักษาคนทั้งหลายที่ถูกมารเบียดเบียน” เล้าโลมคนที่ชอกช้ำระกำใจ ร้องประกาศอิสรภาพแก่บรรดาเชลย ทำให้คนตาบอดมองเห็น คนง่อยเดินได้ และคนหูหนวกได้ยิน คนโรคเรื้อนหายสะอาด คนตายแล้วเป็นขึ้นมา และประกาศข่าวประเสริฐแก่คนอนาถา กิจการ 10:38 ลูกา 4:18 มัทธิว 11:5 พระองค์ทรงร้องเรียกชนทุกชั้นด้วยถ้อยคำอันกอปรด้วยพระคุณอย่างเดียวกันว่า “บรรดาผู้เหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนัก จงมาหาเรา และเราจะให้ท่านทั้งหลายได้หยุดพัก” มัทธิว 11:28 {GC 20.1} GCth17 16.2

แม้พวกเขาสนองตอบพระองค์ด้วยความชั่วแทนความดี และความเกลียดชังแทนความรักของพระองค์ก็ตามที (สดุดี 109: 5) แต่พระองค์ก็ยังคงดำเนินพระราชกิจแห่งพระเมตตาคุณของพระองค์อย่างไม่หยุดยั้ง พระองค์ไม่ทรงเคยขับไล่ผู้ใดที่เข้ามาแสวงหาพระคุณของพระองค์เลย พระองค์ทรงเป็นคนพเนจรไร้บ้าน แม้ว่าพระองค์ต้องเผชิญกับคำตำหนิติเตียนและความอัตคัดขัดสนเป็นอาจิณ ถึงกระนั้นพระองค์กลับทรงดำรงชีวิตอยู่เพื่อคนยากไร้และแบ่งเบาความทุกข์ของเพื่อนมนุษย์ ทรงวิงวอนให้พวกเขารับของประทานแห่งชีวิต คลื่นแห่งความเมตตาที่ถูกซัดกลับไปเนื่องด้วยใจที่แข็งดั่งหินของคนเหล่านั้น ซัดกลับมาใหม่ด้วยกระแสธารแห่งความสงสารอันเป็นคลื่นแห่งรักที่สูงเหนือคำบรรยาย แต่อิสราเอลหันหลังให้กับพระสหายเลิศและพระผู้ช่วยเพียงองค์เดียวของเธอเสีย คำอ้อนวอนด้วยความรักของพระองค์ถูกดูแคลน คำปรึกษาของพระองค์ถูกเหยียดหยาม และคำตักเตือนของพระองค์ถูกเย้ยหยัน {GC 20.2} GCth17 17.1

ชั่วโมงแห่งความหวังและการให้อภัยกำลังจะผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว ถ้วยแห่งพระพิโรธที่ถูกหน่วงไว้มาช้านานจวนจะเต็มล้น เมฆหมอกแห่งการละทิ้งความเชื่อและการกบฏที่ตั้งเค้ามาตลอดหลายยุคหลายสมัย และบัดนี้ดำทะมึนไปด้วยความหม่นหมองก็ใกล้จะโหมเข้าใส่ผู้ที่หลงผิด และพระองค์เพียงผู้เดียวที่สามารถช่วยพวกเขาให้รอดพ้นจากผลลัพธ์ที่กำลังจะมาถึงกลับถูกดูหมิ่น ถูกกล่าวร้าย และถูกปฏิเสธและจะถูกตรึงในอีกไม่ช้า เมื่อพระคริสต์จะถูกตรึงไว้บนกางเขนแห่งคาลวารี วันเวลาของอิสราเอลในฐานะชนชาติที่พระเจ้าทรงโปรดปรานและทรงอำนวยพระพรก็จะสิ้นสุดลง การสูญเสียแม้เพียงจิตวิญญาณดวงเดียวนั้น นับเป็นหายนะที่ไม่อาจประเมินค่าได้ซึ่งมีมูลค่ามากยิ่งกว่าผลกำไรและทรัพย์สิ่งของใดๆ ในฝ่ายโลก แต่เมื่อพระคริสต์ทรงเพ่งดูกรุงเยรูซาเล็ม - เมืองนั้น ชนชาตินั้น ที่ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นประชากรที่ทรงเลือกสรร และเป็นสมบัติอันล้ำค่าของพระองค์ - วิบัติของเมืองทั้งเมือง ชนชาติทั้งชนชาติก็ปรากฏอยู่ต่อเบื้องพระพักตร์พระองค์ {GC 20.3} GCth17 17.2

ผู้เผยพระวจนะเคยคร่ำครวญร่ำไห้ให้กับการละทิ้งความเชื่อของชนชาติอิสราเอลและความเริศร้างอย่างน่าสะพรึงกลัวอันเป็นผลสืบเนื่องมาจากบาปของพวกเขา เยเรมีย์อยากให้ดวงตาของเขาเป็นบ่อน้ำพุ เพื่อว่าเขาจะร้องไห้ทั้งกลางวันและกลางคืน เพราะบุตรีของชนชาติของเขาที่ถูกฆ่า และเพราะฝูงแกะของเขาที่ถูกต้อนเอาไปเป็นเชลย (เยเรมีย์ 9:1; 13:17) แล้วสิ่งใดเล่าที่เป็นความระทมทุกข์ของพระองค์ ผู้ทรงชำเลืองดูภาพเหตุการณ์ผ่านทางคำพยากรณ์ ไม่ใช่แค่เพียงชั่วข้ามปี แต่เป็นระยะเวลาตลอดชั่วอายุคน พระองค์ทอดพระเนตรเห็นทูตมรณะถือดาบชูขึ้นเหนือเมืองนั้น ซึ่งเคยเป็นที่ประทับของพระยาห์เวห์มาช้านาน จากสันเขามะกอกเทศตรงตำแหน่งเดียวกับที่นายพลทิตัสและกองทัพของเขาเข้าบุกยึด พระองค์ทอดพระเนตรข้ามหุบเขาไปยังลานและมุขศักดิ์สิทธิ์ ทรงมองเห็นภาพเหตุการณ์อันน่าสะพรึงกลัวด้วยน้ำพระเนตรคลอ คือกำแพงเมืองที่ถูกล้อมด้วยกองทหารต่างชาติ พระองค์ทรงได้ยินเสียงฝีเท้าของกองทหารที่พร้อมจะออกศึก ทรงได้ยินเสียงร้องขออาหารอย่างกระจองอแงของทั้งแม่และเด็กๆ ภายในเมืองที่ถูกปิดล้อม ทรงเห็นพระนิเวศอันงดงามและศักดิ์สิทธิ์ พระราชวังและป้อมปราการต่างๆ ของเมืองถูกคลอกในเปลวไฟ และที่ซึ่งอาคารเหล่านี้เคยตั้งอยู่ คงเหลือไว้แค่เพียงกองซากปรักหักพังที่กำลังคุกรุ่นอยู่ {GC 21.1} GCth17 17.3

เมื่อทอดพระเนตรต่อไปยังยุคต่างๆ ที่ตามมา พระองค์ทรงเห็นประชากรแห่งพันธสัญญากระจัดกระจายไปทั่วทุกดินแดน “เหมือนซากปรักหักพังบนชายฝั่งทะเลทราย” ในการลงโทษเพียงชั่วขณะที่จวนจะตกลงบนลูกหลานของเธอ พระองค์ทรงเห็นแค่การลิ้มรสเพียงจอกแรกที่เทออกมาจากถ้วยแห่งพระพิโรธนั้น ซึ่งเธอจักต้องดื่มจนเหลือไว้แค่เพียงกากตะกอนในการพิพากษาครั้งสุดท้าย ความเมตตาสงสารและความรักความอาทรของพระผู้เป็นเจ้าสะท้อนออกให้เห็นด้วยพระดำรัสอันสุดแสนคร่ำครวญที่ว่า “โอ เยรูซาเล็ม เยรูซาเล็ม เมืองที่ฆ่าบรรดาผู้เผยพระวจนะ และเอาหินขว้างพวกที่ถูกส่งให้มาหาเจ้าถึงตาย บ่อยครั้งที่เราปรารถนาจะรวบรวมลูกๆ ของเจ้าไว้เหมือนแม่ไก่กกลูกอยู่ใต้ปีกของมัน แต่เจ้าไม่ยอม” โอ เจ้าผู้เป็นชนชาติที่ได้รับความโปรดปรานเหนือประชาชาติอื่น ไฉนเจ้าจึงจะรู้เวลาที่พระองค์เสด็จมาเยี่ยมเจ้าและสิ่งอะไรที่จะให้สันติสุขแก่เจ้า เราได้ห้ามทูตสวรรค์แห่งความยุติธรรมไว้ เราได้ร้องเรียกให้เจ้ากลับใจ แต่ก็ไร้ผล เจ้าไม่ได้เพียงปฏิเสธและปัดบรรดาผู้รับใช้ ผู้แทน และผู้เผยพระวจนะทั้งสิ้นทิ้งเสีย แต่เจ้ายังปฏิเสธและหันหลังให้กับองค์บริสุทธิ์แห่งอิสราเอล พระผู้ไถ่ของเจ้าอีกด้วย หากเจ้าจะต้องพินาศไป เจ้าเองจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบ “แต่พวกท่านก็ยังไม่ยอมมาหาเราเพื่อจะได้ชีวิต” มัทธิว 23:37 ยอห์น 5:40 {GC 21.2} GCth17 18.1

พระคริสต์ทรงเห็นกรุงเยรูซาเล็มเป็นสัญลักษณ์เล็งถึงโลกที่แข็งกระด้างในความไม่เชื่อและการกบฏ และกำลังเร่งรุดเข้าสู่การพิพากษาโทษของพระเจ้าตามผลแห่งการกระทำของเธอ วิบัติของเผ่าพันธุ์มนุษย์ผู้ล้มลงในบาปซึ่งทับถมลงบนวิญญาณจิตของพระองค์กดดันให้พระโอษฐ์ของพระองค์ต้องเปล่งเสียงร่ำไห้อย่างขมขื่นสุดที่จะพรรณนา พระองค์ทรงมองเห็นบันทึกแห่งรอยเปื้อนความผิดบาปในความทุกข์ยาก หยาดน้ำตาและโลหิตของมวลมนุษย์ พระองค์ทรงรู้สึกสะเทือนพระทัยด้วยความสงสารอย่างเหลือคณนาต่อคนทั้งหลายเหล่านั้นที่ต้องประสบกับความทุกข์ทรมานบนแผ่นดินโลก พระองค์ทรงปรารถนาที่จะช่วยปลดปล่อยพวกเขาสิ้นทุกคน แต่ถึงแม้พระหัตถ์ของพระองค์ไม่อาจที่จะหันกลับคลื่นแห่งความวิบัติของมนุษยชาติได้ กระนั้นก็มีเพียงน้อยคนนักที่จักแสวงหาพระองค์ผู้ทรงเป็นแหล่งแห่งความช่วยเหลือเดียวของพวกเขา พระองค์ทรงเต็มพระทัยที่จะสละวิญญาณจิตของพระองค์กระทั่งถึงซึ่งความมรณาเพื่อนำความรอดมาอยู่ใกล้พวกเขาแค่เอื้อม ถึงกระนั้นก็ดียังมีเพียงน้อยคนเหลือเกินที่จะเข้ามาหาพระองค์เพื่อจะได้ชีวิต {GC 22.1} GCth17 18.2

ผู้ทรงเดชานุภาพแห่งสรวงสวรรค์กำลังทรงกันแสง พระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงเป็นองค์นิรันดร์ทรงอยู่ในห้วงทุกข์ พระองค์ทรงก้มพระพักตร์ลงด้วยความปวดร้าว เป็นภาพที่ทำให้ทั่วฟ้าสวรรค์พิศวง ภาพนั้นชี้ให้เราเห็นถึงความชั่วช้าอย่างมหันต์ของบาป เป็นภาพที่แสดงให้เห็นถึงภารกิจอันยากยิ่ง-แม้กระทั่งสำหรับพระองค์ผู้ทรงฤทธานุภาพอันอุดม-ในการที่จะช่วยผู้หลงผิดให้รอดพ้นจากผลแห่งการล่วงละเมิดพระบัญญัติของพระเจ้า พระเยซูทอดพระเนตรต่อไปยังคนในชั่วอายุสุดท้าย ทรงเห็นโลกที่ตกอยู่ในการล่อลวงที่คล้ายคลึงกับการล่อล่วงซึ่งเป็นเหตุแห่งความพินาศของกรุงเยรูซาเล็ม บาปยิ่งใหญ่ของชาวยิวคือการปฏิเสธพระคริสต์ ส่วนบาปอันใหญ่ยิ่งของชาวคริสเตียนนั้นคือการปฏิเสธพระบัญญัติของพระเจ้า ซึ่งเป็นบรรทัดฐานแห่งการปกครองของพระองค์ทั้งในฟ้าสวรรค์และบนแผ่นดินโลก ข้อบังคับของพระยาห์เวห์จะถูกดูหมิ่นและปัดทิ้งไปอย่างไร้ค่า ผู้คนนับล้านที่ติดโซ่ตรวนแห่งบาปเป็นทาสของซาตานและถูกกำหนดวาระสุดท้ายให้ประสบความทุกข์ทรมานในความตายครั้งที่สอง พวกเขาจะปฏิเสธไม่ยอมรับฟังพระวจนะแห่งความจริงในวันที่พระองค์จะเสด็จมาเยือน ช่างเป็นความมืดบอดที่น่ากลัว และเป็นความลุ่มหลงที่น่าประหลาดยิ่งนัก {GC 22.2} GCth17 18.3

ก่อนถึงเทศกาลปัสกาสองวัน เมื่อพระคริสต์เสด็จออกจากพระวิหารเป็นครั้งสุดท้าย หลังจากทรงประณามความหน้าซื่อใจคดของบรรดาผู้นำชาวยิว พระองค์เสด็จพร้อมสาวกทั้งหลายไปยังภูเขามะกอกเทศอีก และประทับร่วมกับพวกเขาบนเนินเขาเขียวขจี เมื่อมองลงไปจะเห็นเมืองอยู่ตรงเบื้องล่าง พระองค์ทรงเพ่งพินิจกำแพงเมือง ป้อมปราการ และพระราชวังต่างๆ ของเมืองนั้นอีกครั้ง และทอดพระเนตรพระวิหารอันวิจิตรตระการดั่งมงกุฎงามประดับบนยอดเขาอันศักดิ์สิทธิ์อีกครั้งหนึ่ง {GC 23.1} GCth17 19.1

หนึ่งพันปีก่อนหน้านี้ ผู้ประพันธ์เพลงสดุดีร้องสรรเสริญถึงความโปรดปรานของพระเจ้าที่ทรงมีต่อชนชาติอิสราเอลด้วยการทำให้เธอเป็นพระนิเวศอันศักดิ์สิทธิ์โดยการร่วมสถิตของพระองค์ว่า “ที่ประทับของพระองค์อยู่ในซาเล็ม ที่พำนักของพระองค์อยู่ในศิโยน” พระองค์ “ทรงเลือกเผ่ายูดาห์ ภูเขาศิโยนซึ่งพระองค์ทรงรัก พระองค์ทรงสร้างสถานนมัสการของพระองค์อย่างกับฟ้าสวรรค์สูง” สดุดี 76:2; 78:68, 69 พระวิหารหลังแรกก่อสร้างขึ้นในยุคที่อิสราเอลรุ่งเรืองที่สุดในประวัติศาสตร์แห่งชนชาติของเธอ กษัตริย์ดาวิดทรงเป็นผู้จัดเตรียมทรัพย์สมบัติมหาศาลไว้เพื่อการนี้ ส่วนแผนการก่อสร้างนั้นก็ได้รับการดลใจจากพระผู้เป็นเจ้า (1 พงศาวดาร 28:12, 19) ซาโลมอน พระราชาผู้ชาญฉลาดเลิศล้ำเหนือกษัตริย์องค์ใดแห่งอิสราเอลทรงเป็นผู้สร้างพระนิเวศจนสำเร็จบริบูรณ์ พระวิหารหลังนี้เป็นอาคารโอ่อ่าตระการตาอย่างที่สุดเท่าที่โลกเคยมีมา แต่กระนั้นก็ดีพระเจ้ายังทรงประกาศผ่านทางผู้เผยพระวจนะฮักกัยในเรื่องของพระวิหารหลังที่สองไว้ว่า “ศักดิ์ศรีของพระนิเวศหลังนี้จะยิ่งใหญ่กว่าหลังก่อน” “เราจะเขย่าประชาชาติทั้งหมดและทรัพย์สมบัติของประชาชาติทั้งหมดจะเข้ามา แล้วเราจะบรรจุนิเวศนี้ให้เต็มด้วยศักดิ์ศรี พระยาห์เวห์จอมทัพตรัสเช่นนี้” ฮักกัย 2:9, 7 {GC 23.2} GCth17 19.2

ภายหลังจากที่กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ทำลายพระวิหารลง ก็ได้มีการสร้างพระวิหารขึ้นใหม่ในช่วงราวๆ ห้าร้อยปีก่อนการเสด็จมาบังเกิดของพระคริสต์ โดยพวกที่ตกไปเป็นเชลยมาชั่วชีวิตซึ่งได้เดินทางกลับสู่ภูมิลำเนาอันรกร้างว่างเปล่าจนแทบไร้ผู้คนอาศัย ในท่ามกลางคนเหล่านั้น มีพวกคนเฒ่าคนแก่ผู้เคยเห็นสง่าราศีของพระวิหารในสมัยของกษัตริย์ซาโลมอน และได้ร้องไห้อยู่ที่รากฐานของพระวิหารหลังใหม่ซึ่งด้อยกว่าวิหารหลังเดิมมาก ผู้เผยพระวจนะพรรณนาถึงความรู้สึกนี้ไว้อย่างจับใจว่า “ในพวกเจ้าที่เหลืออยู่มีใครบ้างที่เคยเห็นพระนิเวศนี้ประกอบด้วยศักดิ์ศรีเมื่อครั้งก่อน และบัดนี้พวกเจ้าเห็นเป็นอย่างไร มองดูแล้วเหมือนไม่มีอะไรเลยใช่ไหม” ฮักกัย 2:3 เอสรา 3:12 แล้วจึงทรงมีพระสัญญาประทานมาให้ว่า สง่าราศีของพระนิเวศครั้งหลังนี้จะยิ่งกว่าครั้งเดิมนั้น {GC 23.3} GCth17 19.3

แต่พระวิหารหลังที่สองหามีความสง่างามเทียบเท่าพระวิหารหลังแรก หรือมีความศักดิ์สิทธิ์ด้วยหมายสำคัญแห่งการร่วมสถิตที่ประจักษ์แจ้งดั่งเช่นที่มีในพระวิหารหลังแรกไม่ ไม่มีอำนาจเหนือธรรมชาติใดแสดงให้เห็นเป็นสัญลักษณ์ในระหว่างพิธีมอบถวายพระวิหาร ไม่มีเมฆแห่งพระสิริปกคลุมสถานศักดิ์สิทธิ์ที่เพิ่งสร้างเสร็จใหม่ๆ ไม่มีไฟจากสวรรค์ลงมาเผาเครื่องถวายบูชาบนแท่นนั้น ไม่มีหมู่เมฆแห่งพระสิริเหนือพระที่นั่งกรุณาปรากฏอยู่ระหว่างเครูบในอภิสุทธิสถานอีกต่อไป หีบพันธสัญญา พระที่นั่งกรุณา และแผ่นพระโอวาทก็ไม่ได้อยู่ที่นั่น ทั้งยังไม่มีพระสุรเสียงดังมาจากสวรรค์เพื่อเผยให้ทราบน้ำพระทัยของพระยาห์เวห์ที่มีต่อปุโรหิตผู้ทูลถามอีกด้วย {GC 24.1} GCth17 19.4

ชาวยิวบากบั่นอย่างไร้แก่นสารนานเป็นเวลาหลายศตวรรษเพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่าพระสัญญาของพระเจ้าที่มีไว้กับฮักกัยได้สำเร็จลงแล้ว ถึงกระนั้นก็ดีความเย่อหยิ่งและความไม่เชื่อบดบังความนึกคิดของพวกเขาไม่ให้เข้าใจถึงความหมายอันแท้จริงแห่งถ้อยคำของผู้เผยพระวจนะ พระวิหารหลังที่สองหาได้รับเกียรติด้วยเมฆแห่งพระสิริของพระยาห์เวห์ไม่ แต่ด้วยการเสด็จมาประทับอยู่ของพระองค์ผู้ทรงดำรงสภาพของพระเจ้าอย่างสมบูรณ์ เป็นพระเจ้าเองที่ทรงปรากฏเป็นมนุษย์ แท้จริง “ผู้พึงปรารถนาแห่งปวงชน” เสด็จมายังพระวิหารของพระองค์แล้ว ในคราที่บุรุษแห่งนาซาเร็ธทรงเทศนาสั่งสอนและเยียวยารักษาอยู่ที่ลานพระวิหารศักดิ์สิทธิ์ และด้วยการทรงร่วมประทับอยู่ของพระคริสต์เพียงเหตุผลเดียวนี้แหละ ที่ทำให้พระวิหารหลังที่สองมีสง่าราศีเหนือกว่าพระวิหารหลังแรก แต่ชนชาติอิสราเอลกลับสลัดของประทานแห่งสรวงสวรรค์ที่ทรงหยิบยื่นให้ทิ้งเสีย ในวันนั้นเองที่พระอาจารย์ผู้ถ่อมสุภาพเสด็จดำเนินออกจากประตูพระวิหารทองคำ สง่าราศีก็ได้ละจากพระวิหารไปตลอดกาล พระดำรัสของพระผู้ช่วยให้รอดที่ว่า “นิเวศของเจ้าจะถูกทอดทิ้งให้ร้างเปล่า” มัทธิว 23:38 จึงสำเร็จลงด้วยประการฉะนี้ {GC 24.2} GCth17 20.1

สาวกทั้งหลายเต็มไปด้วยความหวาดหวั่นและประหลาดใจยิ่งนักกับคำทำนายของพระคริสต์ในเรื่องพระวิหารที่จะถูกทำลายลง พวกเขาอยากเข้าใจความหมายในพระดำรัสของพระเจ้าให้ลึกซึ้งมากกว่าเดิม ในการเสริมแต่งพระวิหารให้วิจิตรตระการตายิ่งขึ้นนั้นต้องใช้ทรัพย์สมบัติ แรงงาน และความเชี่ยวชาญด้านสถาปัตยกรรมอย่างเต็มที่ และใช้เวลานานมากกว่าสี่สิบปี กษัตริย์เฮโรดมหาราชทุ่มทั้งทรัพย์สินของอาณาจักรโรมและสมบัติของชาวยิวเพื่อพระวิหาร และแม้กระทั่งจักรพรรดิของโลกนี้ก็ยังถวายของกำนัลส่วนพระองค์เพื่อประดับประดาพระวิหารหลังนี้ให้งดงามยิ่งขึ้นด้วย หินอ่อนสีขาวก้อนใหญ่มหึมาจนเหลือเชื่อที่ก่อเป็นโครงสร้างหนึ่งของพระวิหารถูกลำเลียงมาจากอาณาจักรโรมเพื่อใช้ในการนี้โดยเฉพาะ และเนื่องด้วยสิ่งเหล่านี้เองบรรดาสาวกจึงชี้ให้พระอาจารย์ของพวกเขาทอดพระเนตรและทูลว่า “พระอาจารย์ ศิลากับอาคารเหล่านี้ใหญ่จริงๆ” มาระโก 13:1 {GC 24.3} GCth17 20.2

พระเยซูตรัสตอบอย่างเคร่งขรึมและน่าพรั่นพรึงว่า “เราบอกความจริงกับท่านว่า ที่นี่จะไม่เหลือก้อนหินซ้อนทับกันอยู่แม้แต่ก้อนเดียว แต่จะถูกทำลายลงหมด” มัทธิว 24:2 {GC 25.1} GCth17 20.3

พวกสาวกโยงเรื่องความพินาศของกรุงเยรูซาเล็มเข้ากับภาพการเสด็จมาด้วยพระคริสต์เองในสง่าราศีชั่วคราวของฝ่ายโลกเพื่อครองบัลลังก์ของอาณาจักรแห่งสากลโลก เพื่อลงโทษชาวยิวที่ไม่ยอมกลับใจ และเพื่อปลดชนชาตินี้ออกจากแอกของชาวโรมัน องค์พระผู้เป็นเจ้าเคยตรัสกับพวกเขาว่าพระองค์จะเสด็จมาครั้งที่สอง ดังนั้นเมื่อมีการเอ่ยถึงการพิพากษาโทษกรุงเยรูซาเล็ม ความคิดของพวกเขาจึงหวนกลับไปนึกถึงภาพการเสด็จมาที่ว่านั้น และทูลถามขึ้นในขณะที่กำลังห้อมล้อมพระผู้ช่วยให้รอดบนภูเขามะกอกเทศว่า “เหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นเมื่อไร และอะไรเป็นหมายสำคัญว่าพระองค์จะเสด็จมาและยุคเก่าจะสิ้นสุดลง” มัทธิว 24:3 {GC 25.2} GCth17 21.1

เหตุการณ์ที่จะบังเกิดขึ้นถูกปิดซ่อนไว้จากเหล่าสาวกด้วยพระเมตตาคุณ หากในขณะนั้นพวกเขาเข้าใจความจริงอันน่าสะพรึงกลัวทั้งสองประการได้ทั้งหมด คือการทนทุกข์และการวายพระชนม์ของพระผู้ไถ่ รวมถึงความพินาศของเมืองและพระวิหารของพวกเขา พวกเขาก็คงจะเต็มไปด้วยความหวาดกลัว พระคริสต์ทรงเผยให้พวกเขาเห็นเค้าโครงของภาพเหตุการณ์สำคัญๆ ที่จะบังเกิดขึ้นก่อนจะสิ้นยุค ทว่าพวกเขายังไม่เข้าใจพระดำรัสของพระองค์เสียทั้งหมดในเวลานั้น แต่ความหมายเหล่านี้จะเด่นชัดขึ้นในเวลาที่ประชากรของพระองค์มีความจำเป็นต้องใช้คำแนะนำที่ได้ประทานให้ไว้ในนั้น คำพยากรณ์ที่พระองค์ตรัสไว้มีความหมายในสองนัย คือเป็นการบอกถึงความพินาศของกรุงเยรูซาเล็มและยังเป็นการกล่าวถึงความสยดสยองของวันอันใหญ่ยิ่งในสมัยจะสิ้นยุคอีกด้วย {GC 25.3} GCth17 21.2

พระเยซูทรงเปิดเผยให้เหล่าสาวกที่กำลังตั้งใจฟังถึงเรื่องการพิพากษาโทษที่จะตกแก่ชาวอิสราเอลที่ละทิ้งพระเจ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องการแก้แค้นอย่างสาสมตามผลแห่งการกระทำอันสืบเนื่องมาจากการที่พวกเขาปฏิเสธและตรึงพระเมสสิยาห์ ทั้งนี้จะมีหมายสำคัญที่เด่นชัดปรากฏขึ้นก่อนอวสานกาลอันน่าสะพรึงกลัวนี้ โมงยามอันน่าครั่นคร้ามจะมาถึงอย่างปัจจุบันทันด่วน และพระผู้ช่วยให้รอดทรงเตือนบรรดาผู้ติดตามพระองค์ไว้ว่า “เพราะฉะนั้น เมื่อท่านเห็นสิ่งที่น่ารังเกียจซึ่งก่อให้เกิดความหายนะตั้งอยู่ในสถานบริสุทธิ์ ตามพระวจนะที่กล่าวโดยดาเนียลผู้เผยพระวจนะ (ให้ผู้อ่านเข้าใจเอาเถิด) เมื่อนั้นให้พวกที่อยู่ในแคว้นยูเดียหนีไปภูเขา” มัทธิว 24:15, 16 ลูกา 21:20, 21 เมื่อใดที่ชาวโรมันปักธงรูปเคารพลงบนแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่นอกกำแพงเมืองห่างออกไปหลายกิโลเมตร เมื่อนั้นให้บรรดาผู้ติดตามพระคริสต์หนีไปหาที่ลี้ภัย เมื่อเห็นสัญญาณเตือนนี้ ผู้ที่จะหลบหนีต้องไม่รอช้า ทั้งผู้ที่อาศัยตลอดแคว้นยูเดียและทั่วกรุงเยรูซาเล็ม จะต้องปฏิบัติตามสัญญาณเตือนภัยในทันที ผู้ที่บังเอิญขึ้นไปบนหลังคาเรือนก็จงอย่าลงมาเข้าไปเก็บเอาทรัพย์สินล้ำค่าของตนในบ้านเรือน ส่วนผู้ที่ทำงานในเรือกสวนไร่องุ่นก็จงอย่าเสียเวลาย้อนกลับไปเอาเสื้อคลุมที่ถอดไว้ขณะตรากตรำทำงานภายใต้ความร้อนแรงในยามเที่ยงวัน พวกเขาต้องไม่รีรอแม้สักเสี้ยววินาทีเดียว เกลือกว่าจะมีส่วนในความวิบัติที่เกิดขึ้นโดยรอบนั้น {GC 25.4} GCth17 21.3

ในรัชสมัยของกษัตริย์เฮโรด กรุงเยรูซาเล็มไม่เพียงแต่ถูกสร้างและตกแต่งไว้อย่างงดงามวิจิตรตระการตาแล้วเท่านั้น ยังมีการสร้างหอคอย กำแพงเมือง และป้อมปราการเพื่อเสริมความแข็งแกร่งที่มีอยู่แล้วอันเนื่องจากทำเลที่ตั้งโดยธรรมชาติ ทำให้ดูประหนึ่งว่าไม่มีทางบุกทลายเมืองนี้ได้ เวลานี้หากมีผู้ใดพยากรณ์ถึงความพินาศของเมืองอย่างเปิดเผย ผู้นั้นก็จะได้รับฉายาว่าเป็นนักเตือนภัยผู้บ้าคลั่ง เหมือนกับโนอาห์ในสมัยของเขา แต่พระคริสต์ตรัสไว้ว่า “ฟ้าและดินจะล่วงไป แต่บรรดาถ้อยคำของเราจะไม่สูญหายไปเลย” มัทธิว 24:35 กรุงเยรูซาเล็มถูกกล่าวโทษด้วยความพิโรธเนื่องด้วยความผิดบาปทั้งหลายของเธอ และเนื่องด้วยความดื้อรั้นไม่เชื่อฟัง เธอจึงต้องรับผลสนองแห่งคำพิพากษาโทษที่มีไว้สำหรับเธออย่างแน่นอน {GC 26.1} GCth17 21.4

องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเปิดเผยผ่านผู้เผยพระวจนะมีคาห์ไว้ว่า “ท่านทั้งหลายผู้เป็นผู้นำของพงศ์พันธุ์ยาโคบและผู้ครอบครองพงศ์พันธุ์อิสราเอล คือบรรดาผู้ชังความยุติธรรม และผู้บิดเบือนความถูกต้องทั้งสิ้น ผู้สร้างศิโยนด้วยโลหิต และสร้างเยรูซาเล็มด้วยความอยุติธรรม บรรดาผู้นำของเมืองนี้ตัดสินความด้วยเห็นแก่สินบน และบรรดาปุโรหิตสั่งสอนด้วยเห็นแก่สินจ้าง อีกทั้งบรรดาผู้เผยพระวจนะก็ทำนายด้วยเห็นแก่เงิน ถึงกระนั้นเขาทั้งหลายยังอิงพระยาห์เวห์และกล่าวว่า พระยาห์เวห์สถิตท่ามกลางเราไม่ใช่หรือ ไม่มีความหายนะอะไรเกิดขึ้นแก่เราได้” มีคาห์ 3:9-11 {GC 26.2} GCth17 22.1

ถ้อยคำเหล่านี้บรรยายถึงชาวเมืองเยรูซาเล็มผู้เสื่อมทรามและคิดว่าตนเองชอบธรรมไว้ได้อย่างถูกต้อง ในขณะที่พวกเขาอ้างตนว่าถือรักษาข้อบังคับแห่งกฎหมายของพระเจ้าอย่างเคร่งครัด แต่กลับกำลังล่วงละเมิดหลักการทุกประการแห่งพระบัญญัตินั้น พวกเขาเกลียดชังพระคริสต์ เพราะความบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์เปิดโปงความชั่วช้าของพวกเขา ทั้งยังกล่าวหาพระองค์ว่าทรงเป็นเหตุแห่งความทุกข์ยากทั้งมวลอันเป็นผลสืบเนื่องมาจากความผิดบาปของพวกเขาเอง แม้จะทราบดีว่าพระองค์ทรงปราศจากบาป กระนั้นพวกเขาก็ยังร้องประกาศว่าความตายของพระองค์มีความจำเป็นต่อความรอดของชนชาติ ผู้นำชาวยิวต่างกล่าวกันว่า “ถ้าเราปล่อยให้เขาทำอย่างนี้ต่อไป ทุกคนก็จะเชื่อถือเขา แล้วพวกโรมันก็จะมาทำลายทั้งพระวิหารและชาติของเรา” ยอห์น 11:48 หากสังเวยพระคริสต์เสีย พวกเขาอาจเข้มแข็งขึ้นและปรองดองกันได้อีกครั้ง ฉะนั้นพวกเขาจึงนึกตรองดูและเห็นพ้องกับคำตัดสินของมหาปุโรหิตของตนที่ว่าให้คนหนึ่งตายเสียดีกว่าที่จะให้คนทั้งชาติต้องพินาศ {GC 27.1} GCth17 22.2

ด้วยเหตุนี้ผู้นำชาวยิวทั้งหลายจึงสร้าง “ศิโยนด้วยโลหิตและสร้างเยรูซาเล็มด้วยความอยุติธรรม” มีคาห์ 3:10 ถึงกระนั้นก็ดีในขณะที่พวกเขาได้ฆ่าพระผู้ช่วยให้รอดของพวกเขาเองเสีย เหตุเพราะถูกพระองค์ทรงตำหนิในเรื่องความผิดบาปของตน พวกเขายังได้ตั้งความชอบธรรมของตนเองขึ้นโดยถือว่าพวกเขาเป็นประชากรที่พระเจ้าทรงโปรดปราน ทั้งยังคาดหวังให้องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงช่วยกู้พวกเขาออกจากหมู่ไพรี ผู้เผยพระวจนะมีคาห์จึงกล่าวต่อไปว่า “ดังนั้น เพราะพวกเจ้านี่เอง ศิโยนจะถูกไถเหมือนไถนา และเยรูซาเล็มจะกลายเป็นกองสิ่งปรักหักพัง และภูเขาแห่งพระนิเวศจะเป็นที่สูงปกคลุมด้วยต้นไม้” มีคาห์ 3:12 {GC 27.2} GCth17 22.3

องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเลื่อนการพิพากษาโทษของพระองค์ที่ทรงมีต่อกรุงเยรูซาเล็มและชนชาตินี้ออกไปเป็นเวลาเกือบสี่สิบปีหลังจากที่พระคริสต์เองทรงประกาศถึงวาระสุดท้ายของกรุงนี้ ความอดทนนานของพระเจ้าที่ทรงมีต่อบรรดาผู้ที่ปฏิเสธข่าวประเสริฐและผู้ที่ฆ่าพระบุตรของพระองค์นั้นช่างเป็นเรื่องที่น่าประหลาดยิ่ง คำอุปมาเรื่องต้นไม้ที่ไม่เกิดผลเป็นเครื่องแสดงให้เห็นถึงวิธีการของพระเจ้าที่พึงมีต่อชนชาติยิว คำบัญชาได้ถูกประกาศออกไปแล้วว่า “จงโค่นมันทิ้งไป จะให้ดินจืดไปเปล่าๆ ทำไม” ลูกา 13:7 แต่พระเมตตาคุณของพระเจ้าได้สงวนมันไว้อีกสักหน่อยหนึ่ง ยังมีผู้คนอีกมากมายในท่ามกลางชาวยิวผู้ซึ่งเพิกเฉยต่อพระลักษณะและพระราชกิจของพระคริสต์ และบุตรหลานของพวกเขายังไม่มีโอกาสเชยชมหรือได้รับแสงสว่างที่บิดามารดาของตนดูแคลน หากพระเจ้าทรงส่องแสงสว่างสู่พวกเขาผ่านทางคำเทศนาของอัครทูตทั้งหลายและบรรดาเพื่อนร่วมงานของพวกเขาแล้ว พวกเขาก็คงจะเข้าใจว่าคำพยากรณ์สัมฤทธิ์ผลลงอย่างไร ซึ่งไม่เพียงแต่ในเรื่องการเสด็จมาบังเกิดและชีวิตของพระคริสต์เท่านั้น แต่ในเรื่องความมรณาและการเป็นขึ้นจากตายของพระองค์ด้วย บุตรหลานไม่ต้องถูกปรับโทษเนื่องด้วยความผิดบาปของบิดามารดา แต่เมื่อพวกเขาปฏิเสธแสงสว่างที่กระจ่างขึ้นซึ่งส่องมายังพวกเขาเอง ผนวกกับความรู้ในแสงสว่างที่ทรงโปรดประทานให้แก่บิดามารดาของตนแล้ว พวกเขาก็จะมีส่วนในความผิดบาปของบิดามารดา และความชั่วช้าของพวกเขาจึงเพิ่มขึ้นจนเต็มขนาด {GC 27.3} GCth17 23.1

ความอดทนนานของพระเจ้าที่ทรงมีต่อกรุงเยรูซาเล็มนั้นเป็นแต่เพียงการยืนยันถึงความดื้อดึงของชาวยิวที่ไม่ยอมสำนึกผิด พวกเขาปฏิเสธพระเมตตาคุณที่ทรงหยิบยื่นให้เป็นครั้งสุดท้ายโดยการปฏิบัติต่อเหล่าสาวกของพระเยซูด้วยความเกลียดชังและเหี้ยมโหด ฉะนั้นพระเจ้าจึงทรงถอนความคุ้มครองของพระองค์ออกไปจากพวกเขา และถอนอำนาจที่คอยหน่วงอยู่ของพระองค์ออกไปจากซาตานและเหล่าทูตชั่วของมัน แล้วชนชาตินี้ก็ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของผู้นำที่เธอเลือกเอง บุตรหลานของเธอปัดพระคุณของพระคริสต์ทิ้งเสีย ซึ่งเป็นพระคุณที่น่าจะสามารถช่วยให้พวกเขาขนาบแรงกระตุ้นอันต่ำช้าของพวกเขาลงได้ แต่บัดนี้แรงกระตุ้นนั้นมีชัยเหนือพวกเขาเสียแล้ว ซาตานปลุกเร้าตัณหาที่ป่าเถื่อนและต่ำช้าที่สุดของจิตวิญญาณขึ้น มนุษย์ไม่ได้ใช้เหตุผล พวกเขาถูกควบคุมโดยแรงกระตุ้นและโทสะอย่างหน้ามืดตามัว พวกเขาไร้เหตุผล และกลายเป็นคนโหดเหี้ยมเยี่ยงซาตาน ไม่ว่าจะในครอบครัว ในชาติบ้านเมือง ในท่ามกลางชนชั้นระดับสูงซึ่งไม่ต่างอะไรกับในชนชั้นระดับต่ำ ทุกที่เต็มไปด้วยความหวาดระแวง ความริษยา ความเกลียดชัง การแก่งแย่ง การกบฏ และการฆ่าฟัน ไม่มีสถานที่ใดปลอดภัยสักแห่ง ญาติสนิทมิตรสหายต่างทรยศกันและกัน พ่อแม่ฆ่าลูก ลูกฆ่าพ่อแม่ ผู้นำปวงชนไร้อำนาจในการปกครองตนเอง ตัณหาที่อยู่เหนือการควบคุมทำให้พวกเขาเป็นทรราช ชาวยิวยอมรับคำพยานเท็จเพื่อกล่าวโทษพระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงปราศจากด่างพร้อย ขณะนี้คำกล่าวหาเท็จเหล่านั้นทำให้ชีวิตของพวกเขาเองสั่นคลอน โดยพฤติกรรมต่างๆ ของพวกเขาซึ่งเคยถูกกล่าวไว้นานมาแล้วว่า “อย่าทำให้เราเผชิญกับองค์บริสุทธิ์ของอิสราเอลอีก” อิสยาห์ 30:11 บัดนี้พวกเขาได้รับสมดั่งใจปรารถนาแล้ว ความยำเกรงพระเจ้าไม่รบกวนพวกเขาอีกต่อไปแล้ว ซาตานครองตำแหน่งผู้นำของประเทศชาติ อีกทั้งอำนาจสูงสุดทางศาสนาและทางการเมืองก็ล้วนตกอยู่ภายใต้การครอบงำของมันด้วย {GC 28.1} GCth17 23.2

ในบางครั้งผู้นำที่เป็นอริต่อกันจะรวมหัวกันเพื่อปล้นสะดมและทรมานเหยื่อผู้เคราะห์ร้าย จากนั้นพวกเขาก็หันกลับมาห้ำหั่นกันเองอย่างไร้ความปรานี แม้แต่ความศักดิ์สิทธิ์ของพระวิหารก็ยังมิอาจยับยั้งความเหี้ยมโหดอันน่าสยองขวัญของคนเหล่านั้นได้ บรรดาผู้ที่มานมัสการพระเจ้าถูกทำร้ายต่อหน้าแท่นบูชา และพระวิหารก็เปรอะเปื้อนไปด้วยร่างของคนทั้งหลายที่ถูกฆ่า กระนั้นก็ดีเหล่าผู้ก่อเหตุอันโหดเหี้ยมทารุณเหล่านี้ยังคิดทึกทักเหมาเอาเองอย่างไร้เหตุผลและหมิ่นประมาทต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าด้วยการป่าวประกาศต่อหน้าสาธารณชนว่า พวกเขาไม่มีความกลัวเลยสักนิดว่ากรุงเยรูซาเล็มจะถูกทำลายลง เพราะเมืองนี้เป็นนครของพระเจ้าเอง เพื่อสร้างฐานอำนาจของพวกเขาให้แข็งแกร่งขึ้น พวกเขาติดสินบนพวกผู้เผยพระวจนะเท็จให้กล่าวถ้อยคำว่าประชากรทั้งหลายจะต้องคอยการช่วยกู้ที่มาจากพระเจ้า แม้ในขณะที่กองทหารโรมันกำลังโอบล้อมพระวิหารอยู่ก็ตามที จนท้ายที่สุดฝูงชนก็ยังคงยึดมั่นกับความเชื่อที่ว่า องค์ผู้สูงสุดจะทรงยื่นพระหัตถ์เข้าขัดขวางจนศัตรูทั้งหลายของพวกเขาต้องแพ้พ่ายไป ทว่าอิสราเอลได้สลัดความคุ้มครองของพระองค์ทิ้งเสีย และบัดนี้เธอไม่มีที่กำบังใดๆ เลย เยรูซาเล็ม เมืองแห่งความระทมทุกข์เอ๋ย ในขณะที่กองทัพต่างชาติบุกทลายป้อมปราการของเจ้าลงและสังหารนักรบของเจ้าเสีย เจ้ายังเกิดรอยร้าวขึ้นจากความขัดแย้งภายใน เลือดของบุตรหลานเจ้าที่ห้ำหั่นกันเองแดงก่ำทั่วท้องถนนของเจ้าแล้วหนอ {GC 29.1} GCth17 24.1

ทุกสิ่งที่พระคริสต์ทรงทำนายไว้เกี่ยวกับความพินาศของกรุงเยรูซาเล็มเกิดขึ้นจริงตามตัวอักษร ชาวยิวประสบกับความจริงแห่งพระดำรัสเตือนของพระองค์ที่ว่า “ ท่านทั้งหลายจะตวงให้ผู้อื่นด้วยทะนานอันใด พระเจ้าจะทรงตวงให้พวกท่านด้วยทะนานอันนั้น” มัทธิว 7:2 {GC 29.2} GCth17 24.2

หมายสำคัญและการอัศจรรย์ต่างๆ ปรากฏขึ้น ล้วนแล้วแต่เป็นลางร้ายบ่งถึงความวิบัติและคำพิพากษา เวลากลางดึกในยามค่ำคืน มีแสงที่ผิดธรรมชาติส่องอยู่เหนือพระวิหารและแท่นบูชา ในขณะที่ดวงสุริยันเลื่อนลับขอบฟ้ามองเห็นหมู่เมฆเป็นภาพขบวนรถม้าและเหล่านักรบชุมนุมกันพร้อมจะออกศึก ปุโรหิตที่ประกอบพิธีในสถานศักดิ์สิทธิ์ยามราตรีกาลต้องตื่นตระหนกกับเสียงลึกลับ ราวกับแผ่นดินโลกสั่นไหว และมีเสียงผู้คนจำนวนมากมายร้องตะโกนโหวกเหวกขึ้นว่า “ให้เราออกไปจากที่นี่กันเถอะ” ประตูเมืองบานใหญ่ทางทิศตะวันออกเปิดออกกลางดึกโดยมือที่ไร้ร่องรอย เป็นประตูที่หนักมาก ขนาดชายหนุ่มยี่สิบคนก็ยังแทบปิดไม่ไหว ทั้งยังถูกยึดให้แน่นด้วยแท่งเหล็กขนาดมหึมาที่ฝังลึกลงถึงชั้นหินแข็ง Milman, The History of the Jews เล่มที่ 13 {GC 29.3} GCth17 24.3

เป็นเวลาเจ็ดปีที่ชายผู้หนึ่งเดินขึ้นล่องไปมาตามถนนหนทางในกรุงเยรูซาเล็ม พลางร้องประกาศถึงความวิบัติที่จะตกแก่เมืองนี้ เขาเฝ้าร้องเพลงศพอันเปล่าเปลี่ยวทั้งกลางวันและกลางคืนว่า “โอ เสียงร้องจากทิศตะวันออกเอ๋ย เสียงร้องจากทิศตะวันตกเอ๋ย เสียงร้องจากลมทั้งสี่ทิศเอ๋ย เสียงร้องต่อกรุงเยรูซาเล็มและพระวิหารเอ๋ย เสียงร้องต่อเจ้าบ่าวและเจ้าสาวเอ๋ย เสียงร้องต่อประชากรทั้งสิ้นเอ๋ย” Ibid. บุรุษแปลกหน้าผู้นี้ถูกจองจำและโบยตี ทว่าหามีเสียงพร่ำบ่นปริออกจากริมฝีปากของเขาไม่ หากจะมีก็แต่เพียงเสียงตอบรับต่อคำเหยียดหยามและความทารุณที่เอ่ยขึ้นว่า “วิบัติ วิบัติแก่กรุงเยรูซาเล็ม” “วิบัติ วิบัติจะมีแก่ผู้ที่อาศัยอยู่ในนั้น” เสียงร้องเตือนของเขาไม่ได้ยุติลงจนกระทั่งเขาถูกสังหารในระหว่างการล้อมกรุงตามที่เขาทำนายไว้ {GC 30.1} GCth17 24.4

ไม่มีคริสเตียนสักคนพินาศไปในความย่อยยับของกรุงเยรูซาเล็ม พระคริสต์ทรงโปรดประทานคำเตือนแก่สาวกทั้งหลายของพระองค์ และทุกคนที่เชื่อในพระดำรัสของพระองค์ต่างคอยเฝ้าดูหมายสำคัญที่ทรงสัญญาไว้นั้น พระเยซูตรัสว่า “เมื่อพวกท่านเห็นกองทัพมาตั้งโอบล้อมกรุงเยรูซาเล็ม จงรู้ว่าวิบัติของเมืองนั้นใกล้เข้ามาแล้ว เวลานั้น ให้คนที่อยู่ในแคว้นยูเดียหนีไปบนภูเขา และคนที่อยู่ในเมืองให้ออกจากที่นั่น” ลูกา 21:20, 21 ภายหลังจากที่ชาวโรมันภายใต้คำบัญชาของนายพลเซสทีอัสล้อมอยู่รอบกรุง พวกเขากลับถอนทัพออกไปอย่างไม่คาดฝัน ทั้งๆ ที่สถานการณ์ทุกอย่างดูราวกับจะเอื้อต่อการบุกเข้าจู่โจม ในขณะที่แม่ทัพชาวโรมันถอนกองกำลังของเขาถอยร่นออกไปโดยไม่ทราบสาเหตุแม้แต่น้อยนั้น บรรดาผู้ที่ตกอยู่ในวงล้อมเกือบจะยอมพ่ายแพ้เสียแล้ว พวกเขาหมดหวังที่จะทัดทาน แต่ลู่ทางอันกอปรด้วยพระเมตตาคุณของพระเจ้ากำลังนำพาสถานการณ์ต่างๆ ให้ส่งผลดีต่อประชากรของพระองค์เอง คริสเตียนผู้เฝ้าระวังมองเห็นหมายสำคัญที่ทรงสัญญาไว้ และบัดนี้เป็นโอกาสสำหรับทุกคนที่จะปฏิบัติตามคำเตือนของพระผู้ช่วยให้รอดที่ทรงหยิบยื่นมาให้นั้น พระองค์ทรงพลิกสถานการณ์จนไม่มีผู้ใดไม่ว่าชาวยิวหรือชาวโรมันอาจที่จะขัดขวางการหลบหนีของพวกคริสเตียนได้ เมื่อนายพลเซสทีอัสถอยทัพกลับไป ทหารชาวยิวฝ่าวงล้อมออกจากกรุงเยรูซาเล็มไล่ตามกองทัพที่กำลังถอยร่นไปนั้น และในระหว่างที่กองทหารทั้งสองฝ่ายเข้าประจัญกันอย่างดุเดือดนี้เอง พวกคริสเตียนจึงได้โอกาสหลบหนีออกจากเมือง อีกทั้งในเวลานี้ตามชนบทก็ไร้ศัตรูผู้คอยสกัดกั้นอีกด้วย ชาวยิวชุมนุมกันอยู่ที่กรุงเยรูซาเล็มเพื่อเฉลิมฉลองเทศกาลอยู่เพิงในช่วงที่มีการล้อมกรุง ฉะนั้นพวกคริสเตียนทั่วทั้งแผ่นดินจึงหลบหนีไปได้โดยไม่มีใครขัดขวางด้วยประการฉะนี้ พวกเขารีบเร่งรุดหลบหนีไปยังสถานที่อันปลอดภัยอย่างไม่รั้งรอ พวกเขาหนีไปยังเมืองเพลลาในดินแดนเพเรียซึ่งอยู่อีกฟากหนึ่งของแม่น้ำจอร์แดน {GC 30.2} GCth17 25.1

กองกำลังชาวยิวที่ไล่ตามนายพลเซสทีอัสและกองทัพของเขาไปนั้น ได้โค่นกองระวังหลังของพวกเขาลงอย่างเหี้ยมโหดราวกับจะผลาญพวกเขาให้สิ้นซาก กองทัพโรมันร่นถอยไปได้สำเร็จก็จริง แต่ก็เป็นไปด้วยความยากลำบากยิ่งนัก ส่วนกองกำลังชาวยิวนั้นรอดพ้นกลับไปได้โดยแทบไม่ได้รับการสูญเสียเลย พวกเขากลับเข้ากรุงเยรูซาเล็มอย่างผู้มีชัยพร้อมด้วยข้าวของต่างๆ ที่ยึดมาได้ แต่กระนั้นก็ดีความสำเร็จที่เห็นอยู่ในครั้งนี้รังแต่จะนำความเลวร้ายมาสู่พวกเขา มันปลุกเร้าให้พวกเขามีใจหยิ่งผยองพองขนต่อชาวโรมัน อันเป็นการเร่งความวิบัติที่เหนือคำบรรยายให้ตกลงบนเมืองที่กำลังจะพินาศนี้ {GC 31.1} GCth17 25.2

ความหายนะที่ตกแก่กรุงเยรูซาเล็มคราเมื่อถูกล้อมเมืองไว้อีกครั้งโดยนายพลทิตัสนั้น เป็นหายนะที่น่าสยองขวัญยิ่งนัก บ้านเมืองกำลังอยู่ในห้วงเวลาของการเฉลิมฉลองเทศกาลปัสกา จึงมีชาวยิวนับล้านมาร่วมชุมนุมกันภายในกำแพงเมือง ก่อนหน้านี้คลังอาหารของพวกเขาถูกทำลายไปเนื่องด้วยความอิจฉาริษยาและการผูกพยาบาทของฝ่ายศัตรู ซึ่งหากเก็บรักษาเอาไว้อย่างดีแล้ว ก็จะมีเสบียงเลี้ยงดูผู้ที่อาศัยอยู่ในเมืองได้เป็นเวลาแรมปี และบัดนี้พวกเขาต้องประสบกับความอดอยากขาดแคลนขั้นร้ายแรง ข้าวสาลีถังหนึ่งขายกันหนึ่งตะลันต์ ความหิวโหยมีอาการรุนแรงมากถึงขนาดที่ผู้คนต้องกัดกินหนังจากเข็มขัด จากรองเท้า และหนังที่หุ้มโล่ของพวกเขาเอง มีคนจำนวนมากแอบย่องออกไปในยามค่ำคืนเพื่อเก็บพืชป่าที่ขึ้นเองตามธรรมชาติบริเวณนอกกำแพงเมือง แม้จะมีหลายคนถูกจับได้และถูกฆ่าตายอย่างโหดเหี้ยมอำมหิต และคนที่หนีรอดปลอดภัยก็มักจะถูกปล้นเอาข้าวของที่เก็บหามาได้ด้วยความเสี่ยงอย่างมหันต์นั้นไปเสีย พวกผู้มีอำนาจปฏิบัติเยี่ยงสัตว์เดียรัจฉานต่อผู้ที่อดอยากขาดแคลนเพื่อขู่กรรโชกเอากระทั่งเศษอาหารมื้อสุดท้ายที่พวกเขาอาจซุกซ่อนไว้ และบ่อยครั้งที่ความทารุณโหดร้ายนี้มักจะเป็นการกระทำของพวกที่กินอยู่อย่างอิ่มหนำสำราญ และพวกที่ต้องการเพียงเพื่อจะกักเก็บเสบียงกรังไว้สำหรับอนาคตเท่านั้น {GC 31.2} GCth17 26.1

คนนับพันๆ ต้องตายเพราะกันดารอาหารและโรคระบาด ดูเหมือนว่าความรักความเอื้ออาทรตามสัญชาตญาณมนุษย์จะสูญสิ้นไป สามีต่างหยิบฉวยข้าวของของภรรยา ภรรยาก็ฉกชิงเอาของของสามีตน ภาพลูกๆ ที่กำลังยื้อแย่งอาหารจากปากของพ่อแม่ผู้แก่เฒ่ามีปรากฏให้เห็น คำถามของผู้เผยพระวจนะที่มีอยู่ว่า “ผู้หญิงจะลืมบุตรของนางที่ยังกินนมอยู่หรือ” หาคำตอบได้ภายในกำแพงเมืองที่กำลังพินาศนี้ คือว่า “มือของหญิงที่ใจเมตตากลับเอาลูกของตัวต้มกิน ลูกถูกต้มเป็นอาหารในยามที่ความหายนะมาสู่ประชาชนของข้าพเจ้า” อิสยาห์ 49:15 เพลงคร่ำครวญ 4:10 และเนื้อความที่ว่า “ผู้หญิงสำรวยและสำอางในหมู่พวกท่าน ซึ่งไม่เคยย่างเท้าลงดิน เพราะเป็นคนสำอางและสำรวยอย่างนั้น จะมีตาที่ประสงค์ร้ายต่อสามีในอ้อมอกของเธอและต่อบุตรชายและบุตรสาวของเธอ….และลูกแดงที่เพิ่งคลอด เพราะว่าเธอจะแอบกินเป็นอาหารเพราะขัดสนทุกอย่างในการถูกล้อมและในความทุกข์ลำบาก ซึ่งศัตรูของท่านมาทำให้ท่านทุกข์ลำบากทุกเมือง” เฉลยธรรมบัญญัติ 28:56, 57 GCth17 26.2

ได้สำเร็จลงอีกครั้งตามคำพยากรณ์ที่กล่าวเตือนไว้เมื่อ 1,400 ปีก่อน {GC 32.1} GCth17 27.1

บรรดาผู้นำชาวโรมันพยายามทำให้ชาวยิวขวัญหนีดีฝ่อเพื่อต้องการให้พวกเขายอมจำนนเป็นเชลย และเมื่อใดที่เชลยเหล่านั้นขัดขืนขณะโดนจับ จะถูกโบยตี ถูกทรมาน และถูกตรึงไว้บนกางเขนที่หน้ากำแพงเมือง ในแต่ละวันจะมีผู้คนนับร้อยถูกฆ่าตายในลักษณะเช่นนี้ และภารกิจอันน่าสะพรึงกลัวนี้ดำเนินต่อไปจนกระทั่งตามหุบเขาเยโฮชาฟัทและที่คาลวารีมีกางเขนปักอยู่หนาแน่นเต็มไปหมดจนแทบจะไม่มีช่องว่างให้เดินไปมาระหว่างกัน คำแช่งสาปอันน่าครั่นคร้ามซึ่งเคยประกาศไว้ที่หน้าบัลลังก์พิพากษาของปีลาตที่ว่า “ให้ความผิดเรื่องความตายของเขาตกอยู่กับเราและลูกๆ ของเรา” มัทธิว 27:25 GCth17 27.2

เกิดขึ้นกับพวกเขาอย่างน่าสยดสยอง {GC 32.2} GCth17 27.3

ทิตัสมุ่งหวังให้ภาพเหตุการณ์อันสุดสยองนี้สิ้นสุดลง และหากเป็นเช่นนั้นแล้วกรุงเยรูซาเล็มก็จะรอดพ้นจากวาระสุดท้ายที่เต็มขนาดของเธอ เขารู้สึกขนลุกขนพองเมื่อเห็นซากศพวางเป็นกองๆ ตามหุบเขา เขามองดูพระวิหารอันงามวิจิตรตระการตาจากสันเขามะกอกเทศราวกับผู้ที่ต้องมนต์เสน่ห์ ทั้งยังออกคำสั่งห้ามผู้ใดแตะต้องแม้แต่ศิลาสักก้อนเดียว ก่อนที่เขาจะพยายามบุกยึดป้อมปราการนี้เขาวอนขอต่อผู้นำชาวยิวอย่างจริงจังว่าอย่าบีบคั้นให้เขาทำสถานศักดิ์สิทธิ์ให้เป็นมลทินด้วยโลหิต หากพวกเขาจะยอมก้าวออกมาและต่อสู้กันที่ใดที่หนึ่งตรงบริเวณอื่น ก็จะไม่มีชาวโรมันสักคนอาจทำลายความบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ของพระวิหารได้ โยเซฟัสเองก็ขอร้องด้วยคำวิงวอนที่ซาบซึ้งใจอย่างที่สุดเพื่อให้พวกเขายอมจำนนและช่วยตัวของพวกเขาเอง รวมทั้งเมืองและสถานนมัสการของพวกเขาให้รอดปลอดภัย แต่ถ้อยคำวิงวอนของเขากลับถูกสนองตอบด้วยคำแช่งสาปอันน่าขมขื่น พวกเขาพุ่งหอกเข้าใส่ชายผู้นั้น ผู้เป็นคนไกล่เกลี่ยรายสุดท้ายของพวกเขา ในขณะที่กำลังยืนอ้อนวอนเพื่อพวกเขาอยู่ ชาวยิวปฏิเสธคำอ้อนวอนต่างๆ ของพระบุตรของพระเจ้าเสียแล้ว และบัดนี้คำทักท้วงและคำวิงวอนรังแต่จะทำให้พวกเขายืนกรานอย่างหนักหน่วงยิ่งขึ้นในอันที่จะท้าทายจนถึงที่สุด ความพยายามที่จะปกป้องพระวิหารของทิตัสไร้ผล เพราะมีท่านผู้หนึ่งซึ่งใหญ่กว่าลั่นประกาศิตไว้แล้วว่า ศิลาสักก้อนที่ซ้อนทับกันอยู่ก็จะไม่มี {GC 32.3} GCth17 27.4

ความดื้อรั้นชนิดหัวชนฝาของบรรดาผู้นำชาวยิวและอาชญากรรมอันน่าอุจาดที่ก่อกันขึ้นภายในเมืองที่ถูกล้อมนี้กระตุ้นให้ชาวโรมันรู้สึกขยะแขยงและบันดาลโทสะของพวกเขา สุดท้ายทิตัสตัดสินใจจู่โจมเข้าบุกยึดพระวิหาร ทว่าเขาตั้งใจว่าหากเป็นไปได้ เขาจะปกป้องพระวิหารไว้ไม่ให้ถูกทำลาย แต่คำบัญชาของเขาถูกเพิกเฉย หลังจากที่เขากลับเข้าไปพักในเต็นท์ของตนในเวลากลางคืน ชาวยิวจู่โจมออกจากพระวิหาร บุกเข้าโจมตีทหารที่อยู่ภายนอก ในขณะที่สู้รบกันอยู่นั้น ทหารนายหนึ่งโยนดุ้นฟืนที่ติดไฟผ่านเข้าไปในช่องประตูมุก และทันใดนั้นเองห้องโถงที่รายล้อมไปด้วยไม้สนสีดาร์รอบๆ สถานศักดิ์สิทธิ์ก็เกิดลุกไหม้ขึ้น ทิตัสเร่งรีบไปยังที่เกิดเหตุ ตามมาด้วยนายพลและทหารของเขา เขาสั่งการให้พวกทหารดับเพลิง แต่ไม่มีใครฟังเสียงของเขา บรรดาทหารต่างโยนดุ้นฟืนที่ติดไฟเข้าไปในห้องโถงที่อยู่ถัดจากพระวิหารด้วยความโกรธจัด จากนั้นพวกเขาก็ชักดาบของตนออกไล่ฆ่าคนจำนวนมากมายมหาศาลผู้หวังพึ่งที่ตรงนั้นเป็นที่หลบภัย โลหิตไหลนองลงมาตามขั้นบันไดพระวิหารดุจดั่งสายธาร ชาวยิวนับพันนับหมื่นพินาศ เสียงร้องตะโกนของผู้คนดังขึ้นกลบเสียงสงครามว่า “อิชาโบด” ซึ่งแปลว่าสง่าราศีละไปเสียแล้ว {GC 33.1} GCth17 27.5

“ทิตัสรู้ดีว่าเขาไม่อาจยับยั้งความเดือดดาลของกองทัพลงได้ เขาจึงเข้าไปสำรวจภายในตัวอาคารศักดิ์สิทธิ์พร้อมกับนายทหารของเขา ความโอ่อ่าตระการทำให้พวกเขาถึงกับตะลึงงัน และในขณะที่เปลวไฟยังลามมาไม่ถึงวิสุทธิสถาน เขาใช้ความพยายามเป็นครั้งสุดท้ายปกป้องสถานที่นั้นไม่ให้ถูกไฟคลอก เขาผละออกไปและกำชับพวกทหารซ้ำอีกครั้งให้ช่วยกันสกัดเพลิงไม่ให้ลุกลาม นายร้อยลิเบอเริลลีสพยายามกำกับให้นายทหารในกองของเขาปฏิบัติตามคำสั่ง ทว่า แม้แต่ความเคารพยำเกรงที่มีต่อองค์จักรพรรดิก็ยังต้องยอมยกธงขาวให้กับความอาฆาตแค้นที่มีต่อชาวยิว ความกระสันในการทำศึกสงครามและความโลภหวังปล้นสะดมทรัพย์สิน พวกทหารมองเห็นข้าวของรอบตัวแวววับไปด้วยทองคำที่ส่องระยับจับตาต้องกับแสงเปลวไฟอันโชติช่วง พวกเขาคาดว่าคงจะมีสมบัติมหาศาลวางกองอยู่ในศักดิ์สิทธิ์สถาน ทหารนายหนึ่งยัดขี้ไต้เข้าไประหว่างบานพับประตูโดยไม่ทันคิด อาคารทั้งหลังลุกเป็นไฟในทันที เปลวเพลิงและเขม่าควันที่ดำโขมงทำให้พวกทหารจำต้องถอยกรูดออกมา แล้วอาคารอันโอ่อ่าก็ถูกปล่อยทิ้งไว้ให้เป็นไปตามจุดจบของมัน {GC 33.2} GCth17 28.1

“ช่างเป็นภาพที่น่าขนลุกขนพองสำหรับชาวโรมัน แล้วสำหรับชาวยิวเล่า พวกเขามองเห็นเป็นเช่นไร ยอดเขาทั้งลูกที่เชิดตัวเมืองให้ตั้งตระหง่านสูงเด่นขึ้นเกิดลุกไหม้ดั่งภูเขาไฟ ตึกรามบ้านช่องหลังแล้วหลังเล่าถล่มทลายลง ส่งเสียงดังสนั่นหวั่นไหว แล้วก็ถูกกลืนเข้าไปในห้วงเหวลึกที่ร้อนเป็นไฟ แผ่นหลังคาไม้สนสีดาร์เป็นเสมือนแผ่นเปลวไฟ ยอดหลังคาพระวิหารทองคำส่องประกายคล้ายลำแสงเฉดสีแดง เปลวเพลิงและเขม่าควันพวยพุ่งออกจากหอคอยประตูเมืองเป็นแนวยาว ภูเขาโดยรอบสว่างไสวขึ้น จึงเห็นภาพผู้คนที่จับเป็นกลุ่มๆ ในที่มืดกำลังเฝ้าดูกระบวนการแห่งการทำลายล้างด้วยความหวาดกลัวจนขนพองสยองเกล้า ฝูงชนโผล่หน้าสลอนตามกำแพงและที่สูงต่างๆ ของตัวเมืองตอนบน บ้างก็มีใบหน้าซีดเซียวด้วยความเจ็บปวดสิ้นหวัง บ้างก็หน้าถมึงทึงด้วยความอึดอัดคับแค้น เสียงร้องตะโกนของพวกทหารโรมันขณะที่กำลังวิ่งไปมา และเสียงโหยหวนของพวกกบฏที่กำลังพินาศในเปลวเพลิงระคนกับเสียงขู่คำรามของมหาอัคคีภัยและเสียงฟ้าฟาดของท่อนไม้ที่ร่วงกราว เสียงกู่ก้องของขุนเขาสะท้อนหรือส่งเสียงอึกทึกครึกโครมของผู้คนที่อยู่บนที่สูงให้ย้อนกลับมา ตลอดทั้งแนวกำแพงเมืองมีแต่เสียงกรีดร้องคร่ำครวญดังกังวานไปทั่ว ผู้ที่กำลังจะสิ้นใจเพราะความหิวโหยรวบรวมกำลังเฮือกสุดท้ายของตนเพื่อร้องครวญครางถึงความเดียวดายอาดูร {GC 34.1} GCth17 28.2

“การสังหารหมู่ที่เกิดขึ้นภายในดุเดือดกว่าภาพที่มองเห็นจากภายนอก ทั้งชายและหญิง คนแก่เฒ่าและคนหนุ่มสาว กบฏและปุโรหิต คนที่ขัดขืนและคนที่วอนขอความเมตตา ต่างถูกฟันทิ้งในการสังหารโหดอย่างไม่เลือกหน้าไปตามๆ กัน เหยื่อมีจำนวนมากกว่าผู้ไล่ล่า พวกแม่ทัพนายกองถึงกับต้องตะกายข้ามกองศพเพื่อปฏิบัติภารกิจการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในครั้งนี้” Milman, The History of the Jews, เล่มที่ 16 {GC 35.1} GCth17 29.1

ภายหลังจากที่พระวิหารถูกกวาดล้างจนราบคาบไม่นาน เมืองทั้งเมืองก็ตกอยู่ในอุ้งมือของชาวโรมัน บรรดาผู้นำชาวยิวละทิ้งป้อมปราการอันแข็งแกร่งของพวกเขาไปเสีย มีเหลือไว้เพียงความวังเวงให้นายพลทิตัส เขาจ้องมองที่มั่นเหล่านั้นด้วยความประหลาดใจอย่างมากยิ่ง และเอ่ยขึ้นว่าพระเจ้าประทานสารพัดสิ่งไว้ในมือของเขาแล้ว เพราะไม่มีเครื่องจักรกลใด ไม่ว่าจะมีกำลังมากแค่ไหนอาจมีชัยเหนือเชิงเทินขนาดมหึมาเหล่านี้ได้ ทั้งเมืองและพระวิหารถูกรื้อทิ้งจนถึงฐานราก และพื้นดินตรงบริเวณที่พระนิเวศศักดิ์สิทธิ์เคยตั้งอยู่ “ถูกไถเหมือนไถนา” เยเรมีย์ 26:18 ในการโอบล้อมและการสังหารที่กล่าวมานี้มีคนจำนวนมากกว่าล้านพินาศไป ส่วนพวกที่รอดพ้นมาได้ก็ถูกจับเป็นเชลย ถูกขายเป็นทาส ถูกลากไปกรุงโรมเพื่อประดับชัยให้แก่ผู้พิชิต ถูกโยนเข้าใส่สัตว์ป่าในโรงมหรสพ หรือถูกกระจัดกระจายไปเป็นคนพเนจรพลัดถิ่นทั่วแผ่นดินโลก {GC 35.2} GCth17 29.2

พวกยิวตีเหล็กทำตรวนของตนเอง พวกเขาเติมถ้วยแห่งพระพิโรธจนเต็มล้นเพื่อตัวของเขาเอง ในการกวาดล้างจนสิ้นซากที่เกิดขึ้นกับคนทั้งชาติ และในความทุกข์ยากทั้งปวงอันเป็นผลพวงของการแตกกระซ่านเซ็นนั้น พวกเขาเพียงกำลังเกี่ยวเก็บผลน้ำมือของตนที่หว่านไว้ ผู้เผยพระวจนะกล่าวว่า “โอ อิสราเอลเอ๋ย เราจะทำลายเจ้า” “เจ้าสะดุดก็เพราะบาปผิดของเจ้า” โฮเชยา 13:9; 14:1 บ่อยครั้งที่ความทุกข์ยากของพวกเขามักถูกมองว่าเป็นการลงพระอาชญาจากคำบัญชาโดยตรงของพระเจ้า จอมหลอกลวงจึงใช้วิธีนี้เองเป็นลู่ทางอำพรางผลงานของมัน พระเจ้าจะทรงเพิกถอนความคุ้มครองของพระองค์ออก และปล่อยให้ซาตานเข้าครอบงำพวกเขาได้ตามอำเภอใจ ก็ต่อเมื่อพวกเขาปฏิเสธความรักความเมตตาของพระองค์อย่างหนักหน่วง ความโหดเหี้ยมอำมหิตที่ปรากฏให้เห็นในความพินาศของกรุงเยรูซาเล็มเป็นเครื่องแสดงให้เห็นถึงแรงพยาบาทของซาตานที่มีต่อผู้ที่ยอมก้มหัวให้กับมัน {GC 35.3} GCth17 29.3

เราไม่อาจทราบได้เลยว่าเราเป็นหนี้บุญคุณพระคริสต์มากเพียงไรสำหรับสันติสุขและความคุ้มครองที่ได้รับ อำนาจที่คอยหน่วงเหนี่ยวของพระเจ้านี้เองที่คอยปกป้องมวลมนุษย์ไม่ให้ถลำเข้าสู่การครอบงำของซาตานอย่างเต็มตัว คนดื้อรั้นและคนอกตัญญูมีเหตุผลมากมายพอที่จะสำนึกในบุญคุณของพระเจ้า สำหรับพระเมตตาและความอดกลั้นพระทัยนานของพระองค์ที่ทรงเหนี่ยวรั้งอำนาจชั่วและภยันตรายของเหล่ามารร้ายไว้ แต่เมื่อมนุษย์ล่วงล้ำจนเกินพิกัดความอดทนของพระเจ้า อำนาจที่คอยหน่วงเหนี่ยวนั้นก็จะถูกเพิกถอนออกไป พระเจ้าจะไม่ทรงยืนต่อหน้าคนบาปในฐานะเพชฌฆาตตามคำตัดสินที่มีต่อผู้ล่วงละเมิด แต่พระองค์จะทรงละผู้ที่ปฏิเสธพระเมตตาคุณของพระองค์ไว้ตามลำพัง เพื่อเก็บเกี่ยวสิ่งที่พวกเขาหว่าน ทุกลำแสงที่ถูกดับ ทุกคำตักเตือนที่ถูกดูหมิ่นหรือมองข้าม ทุกตัณหาที่ไปหมกมุ่น ทุกการล่วงละเมิดที่มีต่อพระบัญญัติของพระเจ้า ล้วนแต่เป็นเมล็ดพันธุ์ที่ถูกหว่านลงซึ่งจะให้ผลผลิตที่แน่นอนในฤดูเก็บเกี่ยว ในที่สุดพระวิญญาณของพระเจ้าที่ถูกเมินเฉยอยู่เรื่อยมาก็จะถอนตัวออกไปจากคนบาป แล้วจะไม่มีอำนาจใดเหลืออยู่เพื่อคอยควบคุมตัณหาชั่วของจิตวิญญาณและคุ้มครองพวกเขาให้พ้นจากการผูกพยาบาทและการเป็นศัตรูกันกับซาตานอีกต่อไป ความพินาศของกรุงเยรูซาเล็มเป็นคำเตือนที่สำคัญและน่าคร้ามเกรงสำหรับทุกคนที่ล้อเล่นกับข้อเสนอแห่งพระคุณของพระเจ้าและคำวิงวอนแห่งพระเมตตาของพระองค์ ไม่เคยมีพยานหลักฐานใดที่หนักแน่นไปกว่านี้ที่แสดงให้เห็นถึงความเกลียดชังต่อบาปและการลงทัณฑ์อย่างเด็ดขาดที่จะสนองตอบต่อผู้ที่กระทำความผิด {GC 36.1} GCth17 30.1

คำพยากรณ์ของพระผู้ช่วยให้รอดในเรื่องการพิพากษาที่มาเยือนกรุงเยรูซาเล็มเป็นคำทำนายถึงอีกเหตุการณ์หนึ่งที่จะต้องสำเร็จลงด้วยเช่นกัน ซึ่งความพินาศย่อยยับที่เกิดขึ้นกับกรุงนั้นเป็นแต่เพียงเงาลางๆ เราอาจมองเห็นวาระสุดท้ายของโลกที่ปฏิเสธพระเมตตาคุณของพระเจ้าและเหยียบย่ำพระบัญญัติของพระองค์ได้จากจุดจบของเมืองที่ทรงเลือกสรรนี้ได้บ้าง บันทึกที่จารึกถึงเรื่องราวความทุกข์เวทนาของมวลมนุษย์ที่โลกได้เคยเป็นพยานไว้เกี่ยวกับอาชญากรรมที่อุบัติขึ้นตลอดระยะเวลาอันยาวนานหลายศตวรรษนั้นล้วนแล้วแต่เป็นบันทึกแห่งความมืดมน เมื่อพินิจดูสิ่งเหล่านี้แล้ว จิตใจก็เอือมระอาและความนึกคิดก็อ่อนเปลี้ยไป ความน่าขนพองสยองเกล้าเคยเป็นผลลัพธ์อันเนื่องมาจากการปฏิเสธอำนาจของสวรรค์มาแล้ว แต่ยังมีอีกภาพหนึ่งปรากฏขึ้นเพื่อเผยให้เห็นถึงเหตุการณ์ในอนาคตที่มืดมนกว่า บันทึกในอดีตที่มีลำดับเรื่องราวอันยาวนานของความวุ่นวาย ความขัดแย้ง และการปฏิวัติ ซึ่ง “การรบทั้งสิ้นของนักรบมีเสียงวุ่นวาย และเสื้อคลุมที่เกลือกอยู่ในโลหิต” อิสยาห์ 9:5 TKJV เหตุการณ์ต่างๆ เหล่านี้ก็ยังมิอาจเปรียบกับความน่าสะพรึงกลัวของวันนั้นได้เลยคือเมื่อพระวิญญาณที่คอยหน่วงเหนี่ยวของพระเจ้าจะถูกถอนออกไปจากคนชั่วอย่างสิ้นเชิงเมื่อนั้นจะไม่มีสิ่งใดคอยยับยั้งความเดือดพล่านของตัณหามนุษย์และความโกรธแค้นของซาตานได้อีกต่อไป แล้วโลกนี้ก็จะเห็นผลลัพธ์แห่งการปกครองของซาตานอย่างที่ไม่เคยมีปรากฏให้เห็นมาก่อน {GC 36.2} GCth17 30.2

แต่ในวันนั้นประชากรของพระเจ้าจะได้รับการช่วยกู้คือทุกคนที่มีชื่อจดในทะเบียนผู้มีชีวิต (อิสยาห์ 4:3) ดังเช่นสมัยที่กรุงเยรูซาเล็มถูกทำลาย พระคริสต์ทรงประกาศไว้แล้วว่า พระองค์จะเสด็จมาเป็นครั้งที่สองเพื่อรวบรวมผู้สัตย์ซื่อทั้งปวงของพระองค์ไปอยู่กับพระองค์ “มนุษย์ทุกชาติทั่วโลกจะทุกข์โศก แล้วจะเห็นบุตรมนุษย์เสด็จมาบนเมฆในท้องฟ้า ทรงฤทธานุภาพและทรงพระรัศมีอย่างยิ่ง แล้วพระองค์จะทรงส่งทูตสวรรค์ทั้งหลายของพระองค์มาด้วยเสียงแตรที่ดังมากและให้รวบรวมคนทั้งหมดที่พระองค์ทรงเลือกไว้แล้ว จากทั้งสี่ทิศตั้งแต่ที่สุดฟ้าข้างนี้จนถึงที่สุดฟ้าข้างโน้น” มัทธิว 24:30, 31 แล้วผู้ที่ไม่เชื่อฟังข่าวประเสริฐจะถูกประหารด้วยลมพระโอษฐ์ของพระองค์และถูกเผาผลาญให้สูญไปด้วยการเสด็จมาอันรุ่งโรจน์ของพระองค์ 2 เธสะโลนิกา 2:8 คนชั่วทั้งหลายจะทำลายตัวของพวกเขาเองเหมือนอย่างชาวอิสราเอลในสมัยโบราณ พวกเขาสะดุดก็เพราะความผิดบาปของพวกเขา ด้วยการเกลือกกลั้วอยู่กับบาป พวกเขาใช้ชีวิตเหินห่างออกไปจากเส้นทางของพระเจ้า อุปนิสัยของพวกเขาถลำลึกลงไปในความชั่ว จนการเสด็จมาปรากฏด้วยพระสิริของพระองค์กลายเป็นเพลิงที่เผาผลาญสำหรับพวกเขา {GC 37.1} GCth17 31.1

ขอให้มนุษย์ทั้งมวลต่างเฝ้าระวัง เกลือกว่าพวกเขาจะละเลยต่อบทเรียนที่ทรงให้ไว้ในพระดำรัสของพระคริสต์ เฉกเช่นที่พระองค์ทรงเตือนสาวกทั้งหลายถึงเรื่องความพินาศของกรุงเยรูซาเล็มด้วยหมายสำคัญที่ทรงสำแดงในความวิบัติที่จะมาถึง เพื่อพวกเขาจะหลบหนีได้ พระองค์ก็ทรงเตือนชนชาวโลกในสมัยนี้ถึงความพินาศในครั้งหลังด้วยเครื่องหมายแห่งกาลเวลาที่จะมาถึง เพื่อทุกคนจะรอดพ้นจากพระพิโรธได้ดุจกัน พระเยซูทรงประกาศว่า “จะมีหมายสำคัญที่ดวงอาทิตย์ ที่ดวงจันทร์ และที่ดวงดาวทั้งหลาย และบนแผ่นดินนั้น ชาติต่างๆ ก็จะมีความทุกข์” ลูกา 21:25 มัทธิว 24:29 มาระโก 13:24-26 วิวรณ์ 6:12-17 คนทั้งหลายที่เฝ้ามองเหตุการณ์ต่างๆ ที่บ่งไว้ถึงการเสด็จมาของพระองค์ “ก็ให้รู้ว่าพระองค์เสด็จมาใกล้จะถึงประตูแล้ว” มัทธิว 24:33 พระดำรัสเตือนของพระองค์มีอยู่ว่า “เพราะฉะนั้นท่านทั้งหลายจงเฝ้าระวังอยู่” มาระโก 13:35 คนทั้งหลายที่ใส่ใจในคำตักเตือนนี้ไม่ได้อยู่ในความมืดแล้ว วันนั้นไม่น่าจะมาถึงเขาอย่างขโมยมา แต่สำหรับผู้ที่ไม่เฝ้าระวัง “วันขององค์พระผู้เป็นเจ้าจะมาอย่างขโมยที่มาในเวลากลางคืน” 1 เธสะโลนิกา 5:2-5 {GC 37.2} GCth17 31.2

ชาวโลกยังไม่พร้อมที่จะรับฟังข่าวสารสำหรับยุคนี้เท่าๆ กับที่ชาวยิวปฏิเสธที่จะรับฟังคำเตือนของพระผู้ช่วยให้รอดในเรื่องกรุงเยรูซาเล็ม เวลานั้นจะมาถึง เมื่อวันขององค์พระผู้เป็นเจ้าจะมาเยือนคนอธรรมอย่างไม่ทันรู้ตัว เมื่อชีวิตยังดำเนินต่อไปตามวิถีเดิมๆ เมื่อผู้คนต่างหมกมุ่นอยู่กับความเริงสำราญ ยุ่งเหยิงกับธุรกิจการงาน สับสนอลหม่านกับการสัญจรไปมา และว้าวุ่นกับการกอบโกยเงินทอง เมื่อผู้นำทางศาสนาเจริญรอยตามแบบอย่างทางฝ่ายโลก และเมื่อผู้คนถูกเกลี้ยกล่อมให้หวังพึ่งในที่ลี้ภัยจอมปลอม เมื่อนั้นแหละ ดั่งขโมยที่แอบย่องมาในยามวิกาลโดยเจ้าบ้านไม่ทันเฝ้าระวังฉันใด ความพินาศอย่างฉับพลันก็จะมาเยือนคนที่เลินเล่อและคนอธรรมฉันนั้น และ “พวกเขาจะหนีก็ไม่พ้น” 1 เธสะโลนิกา 5:3 {GC 38.1} GCth17 31.3

*****