Loading...
Larger font
Smaller font
Copy
Print
Contents

สงครามครั้งยิ่งใหญ่

 - Contents
  • Results
  • Related
  • Featured
No results found for: "".
  • Weighted Relevancy
  • Content Sequence
  • Relevancy
  • Earliest First
  • Latest First

    บทที่ 6 - การทรงจำแลงพระกาย

    ข้าพเจ้าได้เห็นว่าศรัทธาของเหล่าสาวกนั้นถูกเสริมกำลังเข้มแข็งยิ่งนักในเวลาแห่งการทรงจำแลงพระกาย พระเจ้าทรงเลือกที่จะให้ข้อพิสูจน์ที่หนักแน่นแก่เหล่าผู้ติดตามของพระเยซูว่าพระองค์ทรงเป็นพระเมสสิยาห์ที่ทรงสัญญาไว้ เพื่อที่ว่าในเวลาแห่งความโศกเศร้าขมขื่นและผิดหวังของพวกเขานั้น พวกเขาจะไม่ทอดทิ้งความเชื่อมั่นทั้งหมดของเขาทั้งหลายไป ในเวลาแห่งการทรงจำแลงพระกายนั้น พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงส่งโมเสสและเอลียาห์มาเพื่อสนทนากับพระเยซูเกี่ยวกับเรื่องการทนทุกข์ทรมานและการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ แทนที่จะทรงเลือกทูตสวรรค์ให้มาสนทนากับพระบุตรของพระองค์นั้น พระเจ้าทรงเลือกผู้ที่เคยมีประสบการณ์ต่อการทดลองใจทางโลกมา มีผู้ติดตามเพียงแค่สองถึงสามคนเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้อยู่กับพระองค์และได้เห็นพระพักตร์ของพระองค์เปล่งประกายด้วยสง่าราศีที่มาจากพระเจ้า และเป็นพยานเห็นฉลองพระองค์เป็นสีขาวและมันระยับ และได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้าในความโอ่อ่าตระการอันน่ากลัวยิ่งนักว่า “ผู้นี้เป็นบุตรของเรา จงเชื่อฟังท่านเถิด”GCTh 17.1

    เอลียาห์ได้ดำเนินชีวิตกับพระเจ้า ภารกิจของท่านนั้นไม่เป็นที่น่ารื่นรมย์ใจ พระเจ้าตำหนิติเตียนความบาปโดยผ่านท่าน ท่านเป็นผู้พยากรณ์ของพระเจ้า และต้องหนีจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่งเพื่อรักษาชีวิตของตน ท่านถูกไล่ล่าดังเช่นถูกสัตว์ป่าล่าเนื้อที่เขาทั้งหลายจะได้ทำลายท่าน พระเจ้าทรงเปลี่ยนรูปกายของเอลียาห์ ทูตสวรรค์รับท่านขึ้นไปยังฟ้าสวรรค์ด้วยสง่าราศีและชัยชนะGCTh 17.2

    โมเสสเป็นบุรุษผู้หนึ่งที่ได้รับเกียรติยิ่งใหญ่จากพระเจ้า ท่านยิ่งใหญ่มากกว่าใครก็ตามที่มีชีวิตอยู่ก่อนท่านมา ท่านได้รับสิทธิพิเศษในการสนทนาสองต่อสองกับพระเจ้าเหมือนมิตรสหายสนทนากัน ท่านได้รับอนุญาตให้เห็นแสงสว่างอันโชติช่วงและพระสง่าราศีอันรุ่งโรจน์ที่ปกคลุมพระบิดา พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงปลดปล่อยลูกหลานอิสราเอลจากการเป็นทาสในอียิปต์โดยผ่านทางโมเสส โมเสสเป็นผู้สื่อกลางให้แก่ลูกหลานอิสราเอล บ่อยครั้งท่านได้ยืนอยู่ระหว่างเขาทั้งหลายและพระพิโรธของพระเจ้า เมื่อพระพิโรธของพระเจ้าได้เดือดพลุ่งพล่านขึ้นต่อคนอิสราเอลเนื่องจากการขาดความเชื่อของเขาทั้งหลาย การบ่นพึมพำของเขาทั้งหลาย และความบาปอันแสนสาหัสของเขาทั้งหลาย ความรักของโมเสสที่มีต่อเขาทั้งหลายก็ได้ถูกทดสอบขึ้น พระเจ้าได้ทรงกระทำพันธสัญญากับท่านว่า ถ้าหากท่านจะปล่อยพวกอิสราเอลไว้อย่างนั้นและปล่อยให้เขาทั้งหลายถูกทำลาย พระเจ้าจะทรงกระทำให้โมเสสเป็นประชาชาติที่ยิ่งใหญ่ โมเสสได้สำแดงความรักของท่านต่อบรรดาชาวอิสราเอลโดยการอ้อนวอนพระเจ้าอย่างตั้งใจจริง ท่านอธิษฐานทูลต่อพระเจ้าด้วยใจความระทมทุกข์ เพื่อที่พระองค์จะทรงหันพระทัยจากพระพิโรธอันแรงกล้าของพระองค์และอภัยโทษคนอิสราเอล หาไม่แล้ว ก็ขอให้พระเจ้าทรงลบชื่อของท่านออกจากสมุดทะเบียนของพระองค์GCTh 17.3

    เมื่ออิสราเอลได้บ่นต่อว่าพระเจ้าและต่อว่าโมเสส เพราะว่าเขาทั้งหลายไม่มีน้ำดื่ม เขาทั้งหลายได้กล่าวหาโมเสสว่าได้นำพวกเขาออกมาจากอียิปต์เพื่อฆ่าพวกเขาและลูกหลานให้ตาย พระเจ้าทรงได้ยินคำพร่ำบ่นของเขาทั้งหลาย และพระองค์ได้ทรงรับสั่งให้โมเสสเอาไม้ตีที่หินเพื่อลูกหลานอิสราเอลจะได้มีน้ำดื่ม โมเสสได้เอาไม้ตีไปที่หินด้วยความโกรธกริ้วและได้ยกย่องสง่าราศีให้แก่ตัวท่านเอง การดื้อรั้นและการพร่ำบ่นอย่างต่อเนื่องของลูกหลานอิสราเอลนี้เอง ที่เป็นสาเหตุให้ท่านต้องพบกับความโศกเศร้าอย่างแสนสาหัสที่สุด และเพียงระยะเวลาอันสั้นนี้เองที่ท่านลืมไปว่าพระเจ้าทรงอดทนกับเขาทั้งหลายมากเพียงใด และการที่เขาทั้งหลายพร่ำบ่นนั้นก็มิได้บ่นต่อว่าโมเสส แต่เป็นการต่อว่าพระเจ้าต่างหาก ท่านคิดถึงแต่ตัวเองเท่านั้นว่า ท่านถูกปฏิบัติอย่างอยุติธรรมอย่างมากมายอะไรเช่นนี้ และคนอิสราเอลนั้นตอบแทนความรักอย่างสุดซึ้งที่ท่านมีต่อเขาทั้งหลายด้วยความรู้สึกขอบพระคุณเพียงน้อยนิดแค่นี้หรือGCTh 18.1

    ในขณะที่โมเสสได้ตีหินนั้น ท่านไม่ได้ถวายเกียรติแด่พระเจ้าและยกย่องสรรเสริญพระองค์ต่อหน้าลูกหลานอิสราเอล เพื่อว่าเขาทั้งหลายจะได้สรรเสริญพระเจ้า และพระผู้เป็นเจ้าไม่ทรงพอพระทัยโมเสส จึงทรงตรัสว่าท่านจะไม่ได้เข้าไปในแผ่นดินที่ทรงสัญญาไว้ มันเป็นแผนการของพระเจ้านั่นเองที่บ่อยครั้งพระองค์ทรงทดสอบชนชาติอิสราเอลโดยการนำไปในสถานที่คับแคบ และเมื่อเขาทั้งหลายต้องการความช่วยเหลืออย่างที่สุดนั้น จะทรงสำแดงฤทธานุภาพของพระองค์ เพื่อที่พระองค์จะทรงพระชนม์อยู่ในความทรงจำของเขาทั้งหลายและพวกเขาจะถวายเกียรติแด่พระองค์GCTh 18.2

    เมื่อโมเสสได้ลงมาจากภูเขาพร้อมกับศิลาสองแผ่นนั้น ท่านได้เห็นคนอิสราเอลนมัสการวัวทองคำ โทสะของท่านก็เดือดพลุ่งขึ้น แล้วท่านก็ได้โยนแผ่นศิลาทิ้งลงแตกเสีย ข้าพเจ้าเห็นว่าโมเสสไม่ได้กระทำบาปในการนี้ ท่านได้โกรธกริ้วแทนพระเจ้าและหึงหวงแทนพระสง่าราศีของพระองค์ แต่ว่าเมื่อตอนที่เขายอมจำนนต่อสัญชาตญาณของจิตใจและมอบสง่าราศีให้แก่ตนเองซึ่งเป็นสิ่งที่พระเจ้าสมควรได้รับนั้น ท่านก็ได้ทำบาป และสำหรับการบาปนั้นเอง พระเจ้าจึงไม่ทรงอนุญาตให้ท่านได้เข้าไปในดินแดนแห่งพระสัญญานั้นGCTh 18.3

    ซาตานพยายามควานหาความเพื่อกล่าวหาโมเสสต่อเหล่าทูตสวรรค์ ซาตานได้โห่ร้องไชโยในการทำให้โมเสสไม่เป็นที่พอพระทัยของพระเจ้า และมันก็มีความปรีดาปราโมทย์และได้บอกกับทูตสวรรค์ว่า เมื่อพระผู้ช่วยของโลกจะเสด็จมาไถ่บาปมนุษย์นั้น มันก็จะสามารถเอาชนะพระองค์ด้วย สำหรับการละเมิดบาปนี้โมเสสได้เข้ามาอยู่ภายใต้อำนาจของซาตานคืออาณาจักรแห่งความตายนั่นเอง ถ้าหากท่านยังคงยืนหยัดและไม่กระทำบาปโดยการมอบสง่าราศีให้แก่ตนเองนี้ล่ะก็ พระผู้เป็นเจ้าก็คงจะนำท่านให้ได้เข้าไปในแผ่นดินที่ได้ทรงสัญญาไว้ และพระองค์ก็คงจะทรงรับเขาขึ้นไปในฟ้าสวรรค์โดยไม่เห็นความตายGCTh 18.4

    ข้าพเจ้าได้เห็นชีวิตของโมเสสผ่านไปด้วยความตาย แต่มีคาเอลได้เสด็จลงมาและประทานชีวิตให้แก่ท่านก่อนที่ร่างกายของท่านจะเน่าเปื่อย ซาตานได้อ้างว่าศพของโมเสสนั้นเป็นของมัน แต่มีคาเอลได้ทรงชุบท่านให้เป็นขึ้นมาจากความตายแล้วนำท่านขึ้นไปในฟ้าสวรรค์ พญามารพยายามยื้อแย่งศพของท่าน และตะโกนด่าว่าพระเจ้าอย่างเจ็บแสบ กล่าวหาว่าพระองค์ไม่ทรงยุติธรรมที่เอาเหยื่อของมันไปจากมัน แต่มีคาเอลไม่ได้ทรงกล่าวตำหนิพญามารเลย ถึงแม้ว่าด้วยการทดลองและอำนาจของมันที่ได้ทำให้ผู้รับใช้ของพระเจ้าล้มลง พระคริสต์ทรงกล่าวถึงพระบิดาแก่มันอย่างอ่อนสุภาพว่า “ให้องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงห้ามเจ้าเถิด”GCTh 18.5

    พระเยซูทรงตรัสกับเหล่าสาวกของพระองค์ว่า จะมีบางคนที่ร่วมยืนกับพระองค์ ผู้ที่จะไม่รู้รสชาติของความตายจนกว่าพวกเขาจะได้เห็นอาณาจักรของพระเจ้ามาด้วยฤทธานุภาพ พระสัญญานี้ได้สำเร็จตรงที่การจำแลงรูปกายนี้เอง วรรณพระพักตร์ของพระเยซูได้เปลี่ยนไปและฉายแสงดั่งดวงอาทิตย์ ฉลองพระองค์ก็ขาวเป็นมันระยับ โมเสสได้อยู่ที่นั่นและเป็นตัวแทนของผู้ที่จะเป็นขึ้นมาจากความตายในการปรากฏครั้งที่สองของพระเยซู และเอลียาห์ผู้ถูกรับขึ้นไปยังสวรรค์โดยไม่ได้เห็นความตาย เป็นตัวแทนของผู้ที่จะได้รับการเปลี่ยนแปลงไปสู่สภาพอมตะในการเสด็จมาครั้งที่สองของพระคริสต์และโดยที่ไม่ได้เห็นความตาย พวกเขาจะถูกรับขึ้นไปบนฟ้าสวรรค์ เหล่าสาวกได้มองดูด้วยความหวาดกลัวและประหลาดใจยิ่งนักในความสง่างามอันเลิศของพระเยซู และเมฆที่มาปกคลุมพวกท่านไว้และได้ยินพระสุรเสียงในความโอ่อ่าตระการอันน่ากลัวยิ่งนักของพระเจ้าว่า “ท่านผู้นี้เป็นบุตรที่รักของเรา จงเชื่อฟังท่านเถิด”GCTh 18.6

    ดูอพยพ บทที่ 32; กันดารวิถี 20:7-12; เฉลยธรรมบัญญัติ 34:5; 2 พงศ์กษัตริย์ 2:11; มาระโก บทที่ 9; ยูดา 9GCTh 18.7