Loading...
Larger font
Smaller font
Copy
Print
Contents

สงครามครั้งยิ่งใหญ่

 - Contents
  • Results
  • Related
  • Featured
No results found for: "".
  • Weighted Relevancy
  • Content Sequence
  • Relevancy
  • Earliest First
  • Latest First

    บท 17 - ผู้ประกาศข่าวของรุ่งอรุณ

    หนึ่งในบรรดาความจริงที่เคร่งขรึมที่สุดและกระนั้นยังประเสริฐที่สุดที่พระคัมภีร์เปิดเผยไว้คือการเสด็จมาครั้งที่สองของพระคริสต์เพื่อปิดฉากพระราชกิจยิ่งใหญ่แห่งการไถ่ให้รอด สำหรับประชากรของพระเจ้าที่สัญจรและพำนักอยู่ใน “แดนและเงาแห่งความตาย” มัทธิว 4:16 มาเนิ่นนานแล้วนั้น พระสัญญาแห่งการเสด็จมาของพระองค์ผู้ทรง “เป็นชีวิตและการเป็นขึ้นจากตาย” “นำผู้ถูกเนรเทศกลับมา” ยอห์น 11:25 2 ซามูเอล 14:13 จึงเป็นความหวังอันล้ำค่าที่บันดาลให้จิตใจปีติยินดี คำสอนเรื่องการเสด็จมาครั้งที่สองเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดของพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ นับตั้งแต่วันที่มนุษย์คู่แรกก้าวย่างออกจากสวนเอเดนด้วยความโศกเศร้า บรรดาบุตรแห่งความเชื่อทั้งหลายต่างรอคอยการเสด็จมาของพระผู้ทรงโปรดสัญญาไว้ เพื่อให้มาหักโค่นอำนาจของผู้ทำลายและนำพวกเขากลับไปยังสวรรค์ที่สูญเสียไป มนุษย์ผู้บริสุทธิ์ของพระเจ้าในสมัยโบราณเฝ้ารอการเสด็จมาของพระเมสสิยาห์ด้วยสง่าราศีซึ่งเป็นจุดหมายสูงสุดแห่งความหวังของพวกเขา มีเพียงเอโนคเท่านั้นซึ่งเป็นคนรุ่นที่เจ็ดผู้สืบเชื้อสายจากบรรพบุรุษที่เคยอาศัยอยู่ในสวนเอเดนที่ดำเนินในโลกนี้พร้อมกับพระเจ้าของเขาเป็นเวลาสามศตวรรษ พระเจ้าทรงอนุญาตให้เขามองเห็นกาลข้างหน้าเมื่อพระเจ้าพระผู้ช่วยให้รอดพ้นเสด็จมา เอโนคประกาศว่า “นี่แน่ะ องค์พระผู้เป็นเจ้ากำลังเสด็จมาพร้อมกับผู้บริสุทธิ์ของพระองค์นับเป็นหมื่นๆ เพื่อทรงพิพากษาทุกคน” ยูดา 14, 15 ในค่ำคืนของความทุกข์ยาก โยบบรรพบุรุษของเรากล่าวถึงความยากลำบากด้วยความวางใจที่ไม่สั่นคลอนว่า “ข้าเองทราบว่าพระผู้ไถ่ของข้าทรงพระชนม์อยู่และในที่สุดพระองค์จะทรงปรากฏบนแผ่นดินโลก..…ในเนื้อหนังของข้า ข้าจะเห็นพระเจ้า ผู้ซึ่งข้าจะได้เห็นเองและดวงตาของข้าจะได้เห็น ไม่ใช่คนอื่น” โยบ 19:25-27 {GC 299.1}GCth17 259.1

    การเสด็จมาของพระคริสต์เพื่อนำไปสู่การปกครองด้วยความชอบธรรมดลใจให้เป็นคำพูดที่ประเสริฐเลิศและแรงกล้าที่สุดของบรรดาผู้เขียนที่อุทิศตนแด่พระเจ้า กวีและผู้เผยพระวจนะในพระคัมภีร์ประพันธ์ด้วยถ้อยคำที่เปล่งประกายดั่งไฟแห่งสวรรค์ ผู้ประพันธ์สดุดีขับร้องถึงฤทธานุภาพและความงามสง่าของกษัตริย์แห่งอิสราเอลว่า “พระเจ้าทรงทอแสงออกมาจากศิโยนนครแห่งความงามพร้อมสรรพ พระเจ้าของเราเสด็จมา พระองค์มิได้ทรงเงียบอยู่….พระองค์ทรงเรียกฟ้าสวรรค์เบื้องบนและแผ่นดินโลกเพื่อจะทรงพิพากษาประชากรของพระองค์” สดุดี 50:2-4 “จงให้ฟ้าสวรรค์ยินดีและแผ่นดินโลกเปรมปรีดิ์…..เฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์เพราะพระองค์เสด็จมา เพราะพระองค์เสด็จมาพิพากษาโลก พระองค์จะทรงพิพากษาโลกด้วยความชอบธรรมและจะทรงพิพากษาชนชาติทั้งหลายด้วยความซื่อสัตย์ของพระองค์” สดุดี 96:11-13 {GC 300.1}GCth17 260.1

    ผู้เผยพระวจนะอิสยาห์กล่าวว่า “ผู้อาศัยในผงคลี จงตื่นขึ้นและโห่ร้องด้วยความชื่นบานเพราะน้ำค้างของพระองค์เป็นน้ำค้างแห่งความสว่างและแผ่นดินโลกจะให้คนตายเป็นขึ้น” “คนตายของพระองค์จะมีชีวิต ศพของเขาทั้งหลายจะลุกขึ้น” “พระองค์จะทรงกลืนความตายเสียเป็นนิตย์ แล้วพระยาห์เวห์องค์เจ้านายจะทรงเช็ดน้ำตาจากทุกใบหน้าและจะทรงเอาการลบหลู่แห่งชนชาติของพระองค์ไปจากทั่วแผ่นดินโลกเพราะพระยาห์เวห์ได้ตรัสแล้ว และในวันนั้น เขาจะกล่าวกันว่า ‘ดูสิ นี่คือพระเจ้าของเรา เรารอคอยพระองค์ เพื่อพระองค์จะทรงช่วยเราให้รอด นี่คือพระยาห์เวห์ เรารอคอยพระองค์ ให้เรายินดีและเปรมปรีดิ์ในความรอดจากพระองค์” อิสยาห์ 26:19; 25:8, 9 {GC 300.2}GCth17 260.2

    เมื่อฮาบากุกจดจ่ออยู่ในนิมิตอันบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ เขาเห็นพระองค์เสด็จมา “พระเจ้าเสด็จจากเทมาน องค์บริสุทธิ์เสด็จจากภูเขาปาราน ความสง่างามของพระองค์คลุมทั่วฟ้าสวรรค์และโลกก็เต็มด้วยคำสรรเสริญพระองค์ พระรัศมีของพระองค์ดังแสงสว่าง” “พระองค์ทรงยืนและเขย่าแผ่นดิน แล้วบรรดาภูเขานิรันดรก็แตกเป็นเสี่ยงๆ และเหล่าเนินเขาอันอยู่เนืองนิตย์ก็ยุบต่ำลง การเสด็จของพระองค์ก็เป็นดังดั้งเดิม” “พระองค์ทรงม้า คือทรงรถรบแห่งชัยชนะ” “ภูเขาทั้งหลายเห็นพระองค์แล้วบิดเบี้ยวไป กระแสน้ำเชี่ยวกรากก็กวาดผ่านไป…..มันชูมือของมันขึ้นเบื้องสูง ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์หยุดนิ่งบนที่สูง เมื่อแสงแห่งลูกธนูทั้งหลายของพระองค์พุ่งผ่านไป เมื่อแสงแวบวาบแห่งหอกของพระองค์พุ่งไป” “พระองค์เสด็จออกมาเพื่อช่วยประชากรของพระองค์ให้รอด เพื่อช่วยผู้ที่พระองค์ทรงเจิมไว้ให้รอด” ฮาบากุก 3:3, 4, 6, 8, 10, 11, 13 {GC 300.3}GCth17 260.3

    เมื่อพระผู้ช่วยให้รอดทรงจวนจะจากสาวกไปนั้น พระองค์ทรงปลอบประโลมพวกเขาที่ตกอยู่ในความเศร้าใจด้วยความมั่นใจว่าพระองค์จะเสด็จกลับมาอีก “อย่าให้ใจพวกท่านเป็นทุกข์เลย….ในพระนิเวศของพระบิดาเรามีที่อยู่มากมาย…..เราไปจัดเตรียมที่ไว้สำหรับพวกท่าน เมื่อเราไปจัดเตรียมที่ไว้สำหรับท่านแล้ว เราจะกลับมาอีกและรับท่านไปอยู่กับเรา” ยอห์น 14:1-3 “บุตรมนุษย์เสด็จมาด้วยพระรัศมีพร้อมกับทูตสวรรค์ทั้งหมด”…“พระองค์จะประทับบนพระที่นั่งอันรุ่งโรจน์ของพระองค์ ประชาชาติทั้งหมดจะประชุมกันเฉพาะพระพักตร์พระองค์” มัทธิว 25:31, 32 {GC 301.1}GCth17 261.1

    หลังจากที่พระคริสต์เสด็จขึ้นสวรรค์แล้ว ทูตสวรรค์ที่ยังรีรออยู่บนภูเขามะกอกเทศย้ำถึงพระสัญญาของการเสด็จกลับมาของพระองค์ว่า “พระเยซูองค์นี้ที่ทรงรับไปจากท่านทั้งหลายขึ้นไปยังสวรรค์นั้นจะเสด็จมาอีกในลักษณะเดียวกับที่ท่านทั้งหลายได้เห็นพระองค์เสด็จไปยังสวรรค์นั้น” กิจการ 1:11 และเมื่ออัครสาวกเปาโลได้รับการดลใจจากพระวิญญาณ เขากล่าวเป็นพยานว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จมาจากสวรรค์ด้วยพระดำรัสสั่ง ด้วยเสียงเรียกของหัวหน้าทูตสวรรค์และด้วยเสียงแตรของพระเจ้า” 1 เธสะโลนิกา 4:16 ผู้เผยพระวจนะแห่งเกาะปัทมอสกล่าวว่า “นี่แน่ะ พระองค์จะเสด็จมาพร้อมกับหมู่เมฆและนัยน์ตาทุกดวงจะเห็นพระองค์” วิวรณ์ 1:7 {GC 301.2}GCth17 261.2

    การเสด็จกลับมาของพระองค์จะรวมถึงเรื่องราวต่างๆ ที่ประเสริฐ ซึ่งเมื่อสิ่งสารพัดจะ “ฟื้นฟูสรรพสิ่งตามที่พระเจ้าตรัสไว้โดยปากของบรรดาผู้เผยพระวจนะบริสุทธิ์ของพระองค์ตั้งแต่กาลโบราณมา” กิจการ 3:21 และแล้วความชั่วร้ายที่ปกครองโลกมาเป็นเวลาอันยาวนานจะถูกทำลาย “อาณาจักรของโลกนี้” จะมา “เป็นขององค์พระผู้เป็นเจ้าของเราแล้วและเป็นของพระคริสต์ของพระองค์ และพระองค์จะทรงครอบครองตลอดไปเป็นนิตย์” วิวรณ์ 11:15 “พระสิริของพระยาห์เวห์จะปรากฏ แล้วมนุษย์ทุกคนจะมองเห็นด้วยกัน” “พระยาห์เวห์องค์เจ้านายจะทรงทำให้ความชอบธรรมและการสรรเสริญงอกขึ้นมาต่อหน้าประชาชาติ” พระเจ้า “จะเป็นมงกุฎงดงามและจะเป็นมงกุฎสง่าแก่คนที่เหลืออยู่แห่งชนชาติของพระองค์” อิสยาห์ 40:5; 61:11; 28:5 {GC 301.3}GCth17 261.3

    เวลานั้น อาณาจักรแห่งสันติสุขและที่รอคอยมาเนิ่นนานของพระเมสสิยาห์จะรับการสถาปนาขึ้นตลอดทั่วฟ้าสวรรค์ “พระยาห์เวห์จะทรงชูใจศิโยน พระองค์จะทรงชูใจที่ทิ้งร้างทุกแห่งของเธอและจะทำให้ถิ่นทุรกันดารของเธอเหมือนสวนเอเดนและที่ราบแห้งแล้งของเธอเหมือนอุทยานของพระยาห์เวห์” “มันจะได้รับศักดิ์ศรีของเลบานอนทั้งความโอ่อ่าตระการของคารเมลและชาโรน” “ท่านจะไม่ถูกเรียกว่าผู้ถูกทอดทิ้งอีกต่อไปและแผ่นดินของท่านจะไม่ถูกเรียกว่าที่ทิ้งร้างอีกต่อไป แต่คนเขาจะเรียกท่านว่าความปีติยินดีของเราอยู่ในเธอ และเรียกแผ่นดินของท่านว่าแต่งงานแล้ว” “เจ้าบ่าวเปรมปรีดิ์ในเจ้าสาวอย่างไร พระเจ้าของท่านจะเปรมปรีดิ์ในท่านอย่างนั้น” อิสยาห์ 51:3; 35:2; 62:4, 5 {GC 302.1}GCth17 262.1

    การเสด็จมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นความหวังของผู้ติดตามที่ซื่อสัตย์ของพระองค์ตลอดทุกยุคทุกสมัย พระสัญญาที่พระผู้ช่วยให้รอดกล่าวเป็นคำอำลาบนภูเขามะกอกเทศว่า พระองค์จะเสด็จกลับมาอีก ทำให้อนาคตของบรรดาสาวกเจิดจ้า ทำให้จิตใจของพวกเขาปีติยินดีและมีความหวังใจ ซึ่งความโศกเศร้าไม่อาจระงับหรือความทุกข์ลำบากไม่อาจจะมาลบเลือน ท่ามกลางความทุกข์ยากและการกดขี่ข่มเหง “การปรากฏอันทรงสง่าราศีของพระเจ้าใหญ่ยิ่ง และพระเยซูคริสต์พระผู้ช่วยให้รอดของเรา” ทิตัส 2:13 TKJV เป็น “ความหวังอันมีสุข” ในขณะที่คริสเตียนชาวเมืองเธสะโลนิกากำลังโศกเศร้าที่ต้องฝังร่างของคนที่พวกเขารักผู้ซึ่งหวังว่าจะเป็นพยานเห็นถึงการเสด็จมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ เปาโลผู้เป็นอาจารย์ของพวกเขาชี้ให้พวกเขามองไปยังการกลับเป็นขึ้นจากความตายที่จะมีขึ้นเมื่อพระผู้ช่วยในรอดเสด็จกลับมา และแล้วคนที่ตายในพระคริสต์จะเป็นขึ้นจากความตายและถูกรับขึ้นไปพร้อมกับคนที่ยังมีชีวิตอยู่เพื่อพบองค์พระผู้เป็นเจ้าในฟ้าอากาศ เปาโลกล่าวว่า “อย่างนั้นแหละเราก็จะอยู่กับองค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นนิตย์ เพราะฉะนั้น จงหนุนใจกันด้วยถ้อยคำเหล่านี้เถิด” 1 เธสะโลนิกา 4:16, 18 {GC 302.2}GCth17 262.2

    บนเกาะปัทมอส สาวกที่พระองค์ทรงรักได้ยินพระสัญญาว่า “เราจะมาในเร็วๆ นี้แน่นอน” และเสียงตอบที่เฝ้าปรารถนาของเขากลายมาเป็นคำอธิษฐานของคริสตจักรตลอดการเดินทางอันยาวไกลว่า “พระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้า เชิญเสด็จมาเถิด” วิวรณ์ 22:20 {GC 302.3}GCth17 262.3

    จากคุกมืดใต้ดิน จากหลักประหาร จากตะแลงแกง ที่บรรดาธรรมิกชนและผู้พลีชีพต่างเป็นพยานให้กับความจริง พวกเขาสืบต่อถ้อยคำแห่งความเชื่อและความหวังใจมาตลอดหลายศตวรรษ มีคริสเตียนคนหนึ่งกล่าวว่า “เมื่อพวกเขามั่นใจถึงการกลับเป็นขึ้นมาจากตายของพระคริสต์และผลที่สุดก็คือการกลับเป็นขึ้นมาจากตายของตัวพวกเขาเองเมื่อพระองค์เสด็จมา สิ่งนี้จึงทำให้พวกเขาชังความตายและค้นพบว่าพวกเขาอยู่เหนือความตายนั้น” Daniel T. Taylor, The Reign of Christ on Earth: or, The Voice of the Church in All Ages, หน้า 33 พวกเขายินดีที่จะไปยังหลุมฝังศพเพื่อจะได้ “เป็นขึ้นสู่อิสรภาพ” Ibid. หน้า 54 พวกเขาเฝ้าคอย “การเสด็จมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าจากสวรรค์ ในหมู่เมฆที่เต็มด้วยรัศมีภาพของพระบิดาของพระองค์” “นำกาลเวลาของอาณาจักรมาให้แก่ผู้ชอบธรรม” ชาววอลเดนซิสยึดมั่นอยู่กับความเชื่อเดียวกันนี้ Ibid. หน้า 129-132 จอห์น ไวคลิฟเอง [ค.ศ. 1324-1384] ก็เฝ้าคอยการเสด็จมาของพระผู้ไถ่ผู้ทรงเป็นความหวังของคริสตจักร Ibid. หน้า 132-134 {GC 302.4}GCth17 262.4

    ลูเธอร์ [ค.ศ. 1483-1546] ประกาศว่า “ข้าพเจ้าบอกกับตัวเองโดยไม่ต้องสงสัยเลยว่า วันแห่งการพิพากษาจะต้องเกิดขึ้นภายในสามร้อยปีที่จะถึงนี้ พระเจ้าจะไม่ทรงยอม ไม่ทรงปล่อย และไม่ทรงทนต่อโลกที่ชั่วร้ายนานไปกว่านี้” “วันยิ่งใหญ่กำลังใกล้เข้ามา เมื่ออาณาจักรแห่งความน่าสะอิดสะเอียนจะถูกทำลายล้างไป” Ibid. หน้า 158, 134 {GC 303.1}GCth17 263.1

    เมลังค์ธอนกล่าวว่า “โลกเก่าแก่ใบนี้ไม่ได้อยู่ห่างจากจุดจบ” จอห์น คาลวินเชื้อเชิญให้คริสเตียน “อย่ารีรอ แต่ให้มีความปรารถนาอย่างแรงกล้าต่อวันแห่งการเสด็จมาของพระคริสต์อันเป็นเหตุการณ์ที่สดใสด้วยความหวังที่สุดเหนือเหตุการณ์ทั้งหลาย” และยังประกาศว่า “ให้ครอบครัวทั้งหมดของบรรดาผู้ที่ซื่อสัตย์จงเก็บรักษาภาพของวันนั้นไว้” “เราจะต้องกระหายหาพระคริสต์ เราจะต้องแสวงหา คิดคำนึงถึงจนกว่าจะถึงอรุณรุ่งของวันอันยิ่งใหญ่นั้น เมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าของเราจะสำแดงสง่าราศีของราชอาณาจักรของพระองค์โดยบริบูรณ์” Ibid. หน้า 158, 134 {GC 303.2}GCth17 263.2

    จอห์น น็อคซ์นักปฏิรูปชาวสก๊อตแลนด์กล่าวว่า “พระเยซูเจ้าของเราไม่ทรงนำเนื้อหนังของเรากลับไปยังสวรรค์แล้วหรือ พระองค์จะไม่เสด็จกลับมาหรือ เราทราบดีว่าพระองค์จะเสด็จกลับมาและจะเสด็จกลับมาอย่างเร็วไวด้วย” ริดลีย์และลาทิเมอร์ [Ridley and Latimer] ผู้สละชีวิตเพื่อความจริง พวกเขารอคอยการเสด็จกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าด้วยความเชื่อ ริดลีย์บันทึกไว้ว่า “ไม่เป็นที่น่าสงสัยเลยว่า โลกใบนี้กำลังจะสิ้นสุดลง ข้าพเจ้าเชื่อ ฉะนั้นข้าพเจ้าจึงกล่าวเช่นนี้ ให้จิตใจของพวกเราร้องขอต่อพระคริสต์พระผู้ช่วยให้รอดของเรา ร้องขอพร้อมๆ กับยอห์นผู้รับใช้ของพระเจ้าว่า พระเยซูเจ้า เชิญเสด็จมาเถิด” Ibid. หน้า 151, 145 {GC 303.3}GCth17 263.3

    แบกซ์เตอร์กล่าวว่า “ความคิดที่ว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จมานั้นสร้างความหวานชื่นและความปีติยินดีอย่างที่สุดให้แก่ข้าพเจ้า” Richard Baxter, Works เล่มที่ 17 หน้า 555 “เป็นผลงานแห่งความเชื่อและเป็นคุณลักษณะของธรรมิกชนของพระองค์ที่ชื่นชอบกับการเสด็จมาของพระองค์และเฝ้าคอยด้วยความหวังอันมีสุข” “หากความตายเป็นศัตรูตัวสุดท้ายที่จะถูกทำลายไปในการเป็นขึ้นจากความตาย เราคงจะเรียนรู้ว่าผู้เชื่อจะต้องเฝ้าคอยและอธิษฐานเพื่อการเสด็จมาครั้งที่สองของพระคริสต์ด้วยความจริงจัง เพื่อชัยชนะที่สมบูรณ์ครั้งสุดท้ายจะเกิดขึ้น” Ibid. เล่มที่ 17 หน้า 500 “นี่คือวันที่ผู้เชื่อทุกคนจะต้องเฝ้าปรารถนาและมีความหวังและรอคอย เพื่อให้ภารกิจทั้งหมดของการไถ่ให้รอดและความปรารถนาและความอุตสาหะทั้งหมดในจิตวิญญาณของพวกเขาสำเร็จ” “พระองค์เจ้าข้า โปรดเร่งวันแห่งความหวังใจนี้เถิด” Ibid. เล่มที่ 17 หน้า 182, 183 นี่เป็นความหวังของคริสตจักรในสมัยของอัครทูต ความหวังของ “คริสตจักรที่อยู่ในถิ่นทุรกันดาร” และเป็นความหวังของนักปฏิรูปศาสนาทั้งหลาย {GC 303.4}GCth17 263.4

    คำพยากรณ์ไม่เพียงบอกล่วงหน้าถึงลักษณะและเป้าหมายของการเสด็จมาของพระคริสต์เท่านั้น แต่ยังแสดงให้เห็นถึงเครื่องหมายเพื่อให้มนุษย์ทราบว่าวันนั้นกำลังใกล้เข้ามาแล้ว พระเยซูตรัสว่า “จะมีหมายสำคัญที่ดวงอาทิตย์ ที่ดวงจันทร์และที่ดวงดาวทั้งหลาย” ลูกา 21:25 “ดวงอาทิตย์จะมืดไปและดวงจันทร์จะไม่ส่องแสง ดวงดาวทั้งหลายจะตกจากฟ้าและบรรดาสิ่งที่มีอำนาจในท้องฟ้าจะสะเทือนสะท้าน เมื่อนั้นพวกเขาจะเห็นบุตรมนุษย์เสด็จมาในเมฆ ทรงฤทธานุภาพและพระรัศมีอย่างยิ่ง” มาระโก 13:24-26 ผู้เขียนพระธรรมวิวรณ์บรรยายถึงหมายสำคัญแรกที่จะมาถึงก่อนการเสด็จมาครั้งที่สองว่า “แผ่นดินไหวยิ่งใหญ่ ดวงอาทิตย์กลายเป็นสีดำมืดเหมือนกับเสื้อผ้าขนสัตว์ที่ใช้ไว้ทุกข์และดวงจันทร์วันเพ็ญก็กลายเป็นเหมือนกับสีเลือด” วิวรณ์ 6:12 {GC 304.1}GCth17 264.1

    ก่อนศตวรรษที่สิบเก้าจะเริ่มขึ้น มีหลายคนเป็นพยานเห็นหมายสำคัญเหล่านี้ เหตุการณ์เกิดขึ้นจริงตามคำพยากรณ์ ในปี ค.ศ. 1755 เกิดแผ่นดินไหวรุนแรงที่สุดเท่าที่เคยบันทึกไว้ เป็นที่รู้จักกันทั่วไปว่าเป็นแผ่นดินไหวแห่งเมืองลิสบอน แรงสั่นสะเทือนแผ่ขยายไปถึงพื้นที่ส่วนใหญ่ของทวีปยุโรป แอฟริกาและอเมริกา แรงสั่นสะเทือนนี้รู้สึกได้ถึงประเทศกรีนแลนด์ ถึงหมู่เกาะอินดีสตะวันตก ถึงเกาะมาเดรา ไปถึงประเทศนอร์เวย์และประเทศสวีเดน จนถึงเกาะบริเตนใหญ่และประเทศไอร์แลนด์ แรงสั่นสะเทือนแผ่กระจายครอบคลุมพื้นที่ไม่น้อยกว่าสิบล้านตารางกิโลเมตร ความรุนแรงของแรงสั่นสะเทือนในทวีปแอฟริกาเกือบจะเท่ากับในทวีปยุโรป เมืองอัลเจียร์ [เมืองหลวงของประเทศอัลจีเรียในทวีปแอฟริกาเหนือ] ถูกทำลายไปเกือบหมด มีหมู่บ้านแห่งหนึ่งห่างจากประเทศมอร็อคโคไม่ไกลนัก หมู่บ้านนี้มีประชากรอาศัยราว 8,000 ถึง 10,000 คน ถูกกลืนหายไปทั้งหมู่บ้าน คลื่นขนาดใหญ่พัดกระหน่ำกวาดชายฝั่งประเทศสเปนและทวีปแอฟริกา กลืนหลายเมืองไปและสร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวง {GC 304.2}GCth17 264.2

    แรงสั่นสะเทือนรุนแรงที่สุดเกิดขึ้นในประเทศสเปนและประเทศโปรตุเกส ที่เมืองคาดิส มีรายงานว่าคลื่นที่พัดเข้ามาสูงถึง 18 เมตร ภูเขา “บางลูกที่ใหญ่ที่สุดในประเทศโปรตุเกส สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ดูประหนึ่งว่าเป็นการสะเทือนที่มาจากฐานรากของภูเขา ยอดภูเขาบางลูกเปิดออก ปริออกและฉีกขาดอย่างน่าพิศวง ก้อนหินขนาดใหญ่ถูกเหวี่ยงลงไปในหุบเขาที่อยู่ใกล้เคียง เล่ากันว่ามีเปลวไฟพวยพุ่งออกมาจากภูเขาเหล่านี้” Sir Charles Lyell, Principles of Geology หน้า 495 {GC 304.3}GCth17 264.3

    ที่เมืองลิสบอน “มีเสียงสนั่นดังออกมาจากใต้พื้นดิน และวินาทีต่อมา แรงสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงทำลายเมืองส่วนใหญ่ไป ในช่วงเวลาประมาณหกนาที กว่าหกหมื่นคนพินาศ ในตอนแรก คลื่นม้วนตัวกลับลงไปในทะเลก่อนและปล่อยให้เห็นแนวพื้นดินแห้ง และแล้วคลื่นก็ม้วนซัดกลับเข้ามา เป็นคลื่นที่สูงกว่าระดับปกติถึงสิบห้าเมตรหรือกว่านั้น” “ในบรรดาเหตุการณ์ผิดธรรมชาติที่เกี่ยวพันกับเรื่องที่เกิดขึ้นที่เมืองลิสบอนในช่วงหายนะนี้ เป็นการพังทรุดลงมาของท่าเรือแห่งใหม่ที่สร้างด้วยหินอ่อนด้วยค่าใช้จ่ายมหาศาล ฝูงชนมหาศาลเข้าไปรวมตัวกันเพื่อหลบภัยอยู่ที่นั่น เป็นจุดหลบภัยเพื่อให้พ้นจากสิ่งปรักหักพังที่ทับถมลงมา แต่ทันใดนั้นเอง ท่าเรือนี้ก็จมดิ่งลงพร้อมกับคนทั้งหมดที่อยู่บนนั้น และไม่มีแม้ศพเดียวลอยขึ้นมาบนผิวน้ำอีกเลย” Ibid. หน้า 495 {GC 305.1}GCth17 265.1

    “แรงสั่นสะเทือน” ของแผ่นดินไหวทำให้ “โบสถ์และคอนแวนต์ทุกแห่ง อาคารสาธารณะขนาดใหญ่เกือบทั้งหมด และบ้านเรือนมากกว่าหนึ่งในสี่พังทลายลงมาทันที สองชั่วโมงหลังจากแผ่นดินไหว เกิดไฟลุกไหม้ตามที่ต่างๆ และโหมไหม้อย่างรุนแรงเป็นเวลาเกือบสามวัน จนทำให้เมืองแทบจะร้างเปล่าไปอย่างสิ้นเชิง แผ่นดินไหวเกิดขึ้นในวันบริสุทธิ์ ดังนั้น โบสถ์และคอนแวนต์จึงมีคนชุมนุมอยู่เต็ม มีน้อยคนที่หนีรอด”-- Encyclopedia Americana, art. “Lisbon,” note (ฉบับปี ค.ศ. 1831). “ ความหวาดกลัวของผู้คนนั้นเกินคำบรรยาย ไม่มีใครร้องไห้ เพราะมันมากเกินกว่าน้ำตา พวกเขาวิ่งไปและวิ่งมา เพ้อคลั่งด้วยความหวาดกลัว และตกใจ ต่างตบหน้าและทุบอกของตนเองพร้อมกับร้องเสียงดังว่า “โปรดเมตตาด้วยเถิด! วาระสุดท้ายของโลกมาถึงแล้ว” แม่ลืมลูกของตนและวิ่งแบกรูปปั้นกางเขน เคราะห์ร้ายที่คนมากมายวิ่งหลบเข้าไปในโบสถ์เพื่อการปกป้องคุ้มครอง แต่พิธีศาสนาก็เผยถึงความไร้ประโยชน์ เหล่าคนที่น่าสงสารกอดแท่นบูชาที่ช่วยพวกเขาไม่ได้ รูปปั้นต่างๆ บรรดาบาทหลวงและประชาชนทั้งหลายถูกฝังไว้ใต้กองปรักหักพังเดียวกัน” มีผู้เสียชีวิตประมาณกว่า 90,000 คนในวันวิปโยคนั้น {GC 305.2}GCth17 265.2

    ยี่สิบห้าปีต่อมา หมายสำคัญอันดับต่อมาที่กล่าวถึงในคำพยากรณ์ได้ปรากฏขึ้น ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์มืดไป สิ่งที่ทำให้เหตุการณ์นี้เด่นชัดคือความจริงของเวลาที่เหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นถูกระบุไว้อย่างแม่นยำ ในขณะที่พระผู้ช่วยให้รอดทรงสนทนากับสาวกของพระองค์บนภูเขามะกอกเทศ พระองค์ทรงพรรณนาถึงช่วงเวลาอันยาวนานแห่งความทุกข์ยากลำบากของคริสตจักร ซึ่งหมายถึงระยะเวลา 1,260 ปีภายใต้การกดขี่ของพระสันตะปาปา พระองค์ทรงสัญญาว่าเวลาแห่งความทุกข์เวทนาจะถูกย่นให้สั้นเข้า จากนั้นพระองค์จึงทรงกล่าวถึงเหตุการณ์บางอย่างที่จะเกิดขึ้นก่อนการเสด็จมาของพระองค์และทรงกำหนดเวลาที่เราจะเห็นหมายสำคัญอัน “หลังจากความทุกข์ลำบากนั้นผ่านพ้นไปแล้ว ดวงอาทิตย์จะมืดไป และดวงจันทร์จะไม่ส่องแสง” มาระโก 13:24 ช่วงระยะเวลา 1,260 วันหรือ 1,260 ปีได้สิ้นสุดลงในปี ค.ศ. 1798 การกดขี่ข่มเหงยุติไปจนเกือบหมดสิ้นก่อนหน้านั้นประมาณ 25 ปี ตามพระดำรัสของพระคริสต์นั้น ภายหลังการกดขี่ข่มเหงแล้วดวงอาทิตย์จะมืดไป ในวันที่ 19 พฤษภาคม ค.ศ. 1780 คำพยากรณ์นี้สำเร็จจริง {GC 306.1}GCth17 266.1

    “ ในบรรดาปรากฏการณ์ทั้งหมด อาจเป็นเพียงเหตุการณ์เดียวก็ว่าได้ ซึ่งลึกลับที่สุดและไม่อาจอธิบายได้ นั่นคือปรากฏการณ์วันมืดที่เกิดขึ้นในวันที่ 19 พฤษภาคม ค.ศ. 1780 เป็นความมืดแปลกประหลาดที่สุดของทั่วทั้งท้องฟ้าและบรรยากาศที่มองเห็นในเขตมลรัฐนิวอิงแลนด์” R. M. Devens, Our First Century หน้า 89 {GC 306.2} GCth17 266.2

    มีผู้เห็นเหตุการณ์คนหนึ่งที่อาศัยอยู่ในมลรัฐแมสซาชูเซตส์บรรยายเหตุการณ์วันนั้นไว้ดังนี้ “ในเวลาเช้า ดวงอาทิตย์ปรากฏขึ้นในท้องฟ้าที่สว่างสดใส แต่ในไม่ช้าก็ถูกปกคลุมด้วยเมฆมาก เมฆเปลี่ยนมามืดมน ออกดำและเป็นลางร้ายทันทีที่ปรากฏ ฟ้าแลบและร้องคำราม และฝนตกลงมาเล็กน้อย พอใกล้เวลาเก้านาฬิกา เมฆเริ่มเบาบางลง และปรากฏเป็นสีทองเหลืองและสีทองแดง และพื้นโลก ก้อนหิน ต้นไม้ สิ่งปลูกสร้าง ผืนน้ำและคนต่างถูกเปลี่ยนไปโดยแสงประหลาดที่เหนือธรรมชาติ ไม่กี่นาทีต่อมา เมฆดำหนาทึบแผ่ขยายไปทั่วท้องฟ้า เว้นไว้แต่แนวเล็กๆ ตรงสุดขอบฟ้าและแล้วก็มืดสนิทราวกับความมืดในเวลายี่สิบเอ็ดนาฬิกาของค่ำคืนในฤดูร้อน.....{GC 306.3}GCth17 266.3

    “ความกลัว ความวิตกกังวล และความหวาดหวั่นค่อยๆ อัดแน่นเข้ามาในความรู้สึกนึกคิดของประชาชน แม่บ้านยืนอยู่ที่ประตู มองดูภูมิประเทศที่มืดมิด พ่อบ้านต่างกลับจากงานในทุ่งนา ช่างไม้ทิ้งเครื่องมือ ช่างตีเหล็กทิ้งเตาเผาเหล็ก พ่อค้าออกจากร้านของตน โรงเรียนปล่อยนักเรียนกลับบ้าน และเด็กๆ วิ่งกลับบ้านด้วยเนื้อตัวสั่นเทา ผู้ที่เดินทางหยุดหาห้องพักตามโรงนาที่ใกล้ที่สุด ทุกริมฝีปากและหัวใจต่างถามว่า “เกิดอะไรขึ้น” ดูราวกับว่าพายุเฮอริเคนกำลังจะพัดผ่านดินแดนนี้ หรือว่า นี่เป็นวันที่ทุกสิ่งทุกอย่างจะต้องมาถึงจุดจบเสียแล้ว {GC 306.4}GCth17 266.4

    “ มีการใช้เทียนไข ไฟจากเตาผิงส่องแสงเจิดจ้าราวกับในค่ำคืนของฤดูใบไม้ร่วงที่ไม่มีแสงจันทร์.....ฝูงวิหกบินกลับรังและไปหลับพัก ฝูงวัวกลับมารวมตัวที่หน้าท้องทุ่งหญ้าและส่งเสียงร้อง กบหลายตัวส่งเสียงร้องเบาๆ ฝูงนกร้องเพลงยามค่ำคืนและค้างคาวต่างบินไปมา แต่มนุษย์รู้ดีว่า เวลานี้ยังไม่ใช่เวลากลางคืน.....{GC 307.1}GCth17 267.1

    “ดร. นาธานาเอล วิเทคเคอร์ [Nathanael Whittaker] ศาสนาจารย์ของคริสตจักรแทเบอร์นาเคิลแห่งเมืองซาเลม จัดประชุมศาสนาในบ้าน และเทศนาพร้อมกับยืนยันว่าความมืดนี้เกิดขึ้นจากเหตุการณ์ที่เหนือธรรมชาติ มีคนประชุมกันในสถานที่อื่นๆ อีกหลายแห่ง คำเทศนาที่ไม่ได้ถูกตระเตรียมมาก่อน จึงหนีไม่พ้นคำเทศนาที่ดูเสมือนชี้ให้เห็นว่าความมืดที่เกิดขึ้นสอดคล้องกับคำพยากรณ์ในพระคัมภีร์.....ความมืดหนาทึบที่สุดเกิดขึ้นหลังสิบเอ็ดนาฬิกาเล็กน้อย” The Essex Antiquarian เมษายน 1899 เล่มที่ 3 ฉบับที่ 4 หน้า 53, 54 “ความมืดที่เกิดขึ้นในพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศในช่วงเวลากลางวันนั้นรุนแรงมากจนไม่อาจดูเวลาที่นาฬิกาข้อมือหรือนาฬิกาข้างฝาผนัง หากปราศจากแสงเทียนไขแล้ว แม้แต่จะรับประทานอาหารหรือจัดการดูแลธุรกิจในบ้านก็ไม่อาจกระทำได้....{GC 307.2}GCth17 267.2

    “ความมืดที่แผ่ขยายออกไปนั้นช่างดูแปลกประหลาดยิ่งนัก มีผู้คนสังเกตว่าความมืดแผ่กว้างไปทางทิศตะวันออกจรดเมืองฟาลเมาธ์ และไปยังทางทิศตะวันตกจนจรดส่วนที่ไกลที่สุดของมลรัฐคอนเนตทิกัตและเมืองอัลบานี ไปถึงทางตอนใต้ ความมืดนี้ไปไกลถึงชายฝั่งทะเล และทางตอนเหนือของอเมริกาไปจนถึงเขตที่ตั้งรกรากของชาวอเมริกัน” William Gordon, History of the Rise, Progress, and Establishment of the Independence of the U.S.A. เล่มที่ 3 หน้าที่ 57 {GC 307.3})GCth17 267.3

    ความมืดอย่างรุนแรงที่สุดของวันนั้นดำเนินต่อไปประมาณสักหนึ่งหรือสองชั่วโมงก่อนพลบค่ำ ท้องฟ้าบางส่วนก็เริ่มปลอดโปร่งขึ้น ดวงอาทิตย์ปรากฏ แม้ว่ายังมีหมอกดำหนาทึบบดบังไว้ “หลังจากดวงอาทิตย์ตกดินแล้ว เมฆกลับมาปกคลุมอีก และมืดลงอย่างรวดเร็ว” “เป็นความมืดของยามค่ำคืนที่ผิดธรรมดาและดูน่ากลัวไม่น้อยไปกว่าความมืดที่เกิดขึ้นในช่วงเวลากลางวัน แม้จะมีดวงจันทร์ที่เกือบเต็มดวง แต่ก็มองวัตถุต่าง ๆ ไม่เห็นยกเว้นจะใช้แสงเทียนช่วย ซึ่งเมื่อมองไปยังบ้านที่ใกล้เคียงกันหรือสถานที่อื่นๆ ที่ไกลออกไป จะดูประหนึ่งว่าเป็นความมืดของชาวเมืองอียิปต์ ซึ่งลำแสงแทบจะไม่อาจเจาะทะลุผ่านไปได้” Isaiah Thomas, Massachusetts Spy; or, American Oracle of Liberty เล่มที่ 10 ฉบับที่ 472 (25 พฤษภาคม 1780) ผู้เห็นเหตุการณ์คนหนึ่งกล่าวว่า “ข้าพเจ้าไม่อาจที่จะหยุดคิดในขณะนั้นว่า หากมีเงามืดใดที่หนาทึบพอที่จะปกปิดดวงดาวที่สุกใสได้ทุกดวงในจักรวาลหรือกำจัดดวงดาวเหล่านั้นให้สาบสูญไป ก็ยังไม่ใช่ความมืดที่สมบูรณ์มากเท่ากับเวลานี้” จากจดหมายของ ดร. ซามูเอล เทนนีย์ เขียนที่เมืองอีซีเตอร์ มลรัฐนิวแฮมป์เชียร์ ธันวาคม ค.ศ. 1785 ใน Massachusetts Historical Society Collections, 1792 ชุดที่ 1 เล่มที่ 1 หน้า 97 แม้ว่าจะเป็นเวลายี่สิบเอ็ดนาฬิกาของคืนวันนั้นที่ดวงจันทร์เต็มดวง “ก็แทบจะไม่สามารถขับไล่เงามืดที่ละม้ายคล้ายเงาแห่งความตายออกไปได้” หลังเวลาเที่ยงคืน ความมืดหายไป และเมื่อดวงจันทร์ปรากฏให้เห็นครั้งแรกนั้นก็มีลักษณะเป็นสีเลือด {GC 307.4}GCth17 267.4

    วันที่ 19 พฤษภาคม ค.ศ. 1780 ถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ว่าเป็น “วันแห่งความมืด” ตั้งแต่ในสมัยของโมเสสเป็นต้นมายังไม่เคยมีช่วงเวลาใดที่ได้รับการบันทึกไว้ว่าเกิดความมืดอันหนาทึบ ขยายวงกว้างออกไปกว้างไกลและยาวนานเท่าที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ คำบรรยายของผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์เป็นเพียงเสียงสะท้อนที่มาจากพระวจนะของพระเจ้า ซึ่งโยเอลผู้เผยพระวจนะบันทึกไว้เมื่อ 2500 ปีก่อนที่เหตุการณ์จะสำเร็จตามคำพยากรณ์ว่า “ดวงอาทิตย์จะกลายเป็นความมืด ดวงจันทร์เป็นเลือด ก่อนวันแห่งพระยาห์เวห์จะมาถึงคือวันอันยิ่งใหญ่และน่าสยดสยอง” โยเอล 2:31 {GC 308.1}GCth17 268.1

    พระคริสต์ทรงบัญชาประชากรของพระองค์ให้เฝ้าติดตามหมายสำคัญของการเสด็จกลับมาของพระองค์และให้ชื่นชมยินดีเมื่อพวกเขาเห็นเครื่องหมายที่แสดงถึงกษัตริย์ผู้กำลังจะเสด็จมา พระองค์ตรัสว่า “เมื่อเหตุการณ์เหล่านี้เริ่มจะเกิดขึ้นนั้น จงลุกขึ้นยืนและผงกศีรษะขึ้น เพราะว่าการไถ่ตัวพวกท่านใกล้จะถึงแล้ว” พระองค์ทรงชี้ให้ผู้ติดตามของพระองค์มองดูต้นไม้ที่กำลังแตกยอดในฤดูใบไม้ผลิและตรัสว่า “เมื่อผลิใบ พวกท่านก็เห็นด้วยตัวเองและรู้อยู่ว่าฤดูร้อนใกล้จะมาถึงแล้ว เช่นนั้นแหละ เมื่อท่านทั้งหลายเห็นเหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้น ก็ให้รู้ว่าแผ่นดินของพระเจ้าใกล้จะมาถึงแล้ว” ลูกา 21:28, 30, 31 {GC 308.2}GCth17 268.2

    แต่เมื่อความเย่อหยิ่งและระเบียบพิธีกรรมเข้าแทนที่วิญญาณแห่งการถ่อมใจและการอุทิศตนที่มีอยู่ในคริสตจักร ความรักที่มีในพระคริสต์และความเชื่อในการเสด็จกลับมาของพระองค์ก็เยือกเย็นลง ชีวิตทางฝ่ายโลกและการแสวงหาความเพลิดเพลินได้กลืนผู้ที่อ้างตนว่าเป็นประชากรของพระเจ้า พวกเขามองไม่เห็นคำชี้แนะของพระผู้ช่วยให้รอดในเรื่องของหมายสำคัญของการเสด็จมาของพระองค์ พวกเขาละเลยหลักคำสอนเรื่องการเสด็จมาครั้งที่สองของพระคริสต์ ข้อพระคัมภีร์ที่เกี่ยวเนื่องกับเรื่องนี้ก็ถูกบดบังด้วยการแปลความหมายอย่างผิดๆ จนถูกละเลยและลืมไปเสียเกือบหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกิดกับคริสตจักรต่างๆ ในประเทศสหรัฐอเมริกา สังคมทุกชนชั้นต่างเพลิดเพลินอยู่กับเสรีภาพและความสุขสบาย ความใคร่อยากอย่างทะเยอทะยานในทรัพย์สมบัติและความหรูหราฟุ่มเฟือย ทำให้เกิดการหมกมุ่นอยู่แต่กับการแสวงหาเงินทองและกระหายอยากด้วยการยื้อแย่งชื่อเสียงและอำนาจ ซึ่งดูเสมือนว่าจะอยู่ใกล้แค่เอื้อมของทุกคน สิ่งเหล่านี้นำมนุษย์ให้มุ่งความสนใจและความหวังของพวกเขาไว้กับสิ่งของในชีวิตนี้ และผลักวันอันน่าเคร่งขรึมนี้ให้ไกลออกไปในอนาคตข้างหน้าจนกว่าสิ่งต่าง ๆ ที่พวกเขาสนใจในปัจจุบันนี้จะล่วงลับไป {GC 309.1}GCth17 268.3

    เมื่อพระผู้ช่วยให้รอดทรงย้ำให้ผู้ติดตามพระองค์มองดูหมายสำคัญของการเสด็จกลับมาของพระองค์นั้น พระองค์ตรัสไว้ล่วงหน้าถึงสภาพเสื่อมถอยในบาปที่จะเกิดขึ้นก่อนการเสด็จมาครั้งที่สอง จะมีกิจกรรมและความวุ่นวายของธุรกิจทางฝ่ายโลกและการแสวงหาความสุขสำราญเช่นเดียวกับในสมัยโนอาห์ ได้แก่การซื้อ การขาย การเพาะปลูก การก่อสร้าง การสมรสและยกให้เป็นสามีภรรยากัน ควบคู่ไปกับการลืมพระเจ้าและชีวิตในเบื้องหน้า สำหรับผู้ที่มีชีวิตอยู่ในช่วงเวลานี้ พระคริสต์ทรงเตือนว่า “แต่จงระวังตัวให้ดี เกรงว่าใจของท่านจะเต็มล้นไปด้วยการเสเพล การเมาเหล้าและการห่วงกังวลถึงชีวิตนี้ แล้วเวลานั้นจะมาถึงท่านโดยไม่คาดฝัน” “แต่จงเฝ้าระวังอยู่ทุกเวลา จงอธิษฐานเพื่อพวกท่านจะมีกำลังรอดพ้นเหตุการณ์ทุกอย่างที่จะเกิดขึ้นนั้น และจะยืนอยู่ต่อหน้าบุตรมนุษย์ได้” ลูกา 21:34, 36 {GC 309.2}GCth17 268.4

    พระดำรัสของพระผู้ช่วยให้รอดที่จารึกไว้ในพระธรรมวิวรณ์เน้นให้เห็นถึงสภาพของคริสตจักรในช่วงเวลาดังกล่าวว่า “ เจ้าได้ชื่อว่ามีชีวิตอยู่ แต่ว่าเจ้าได้ตายแล้ว” และสำหรับผู้ที่ไม่ยอมตื่นขึ้นจากความมั่นคงอย่างประมาทนั้น มีคำเตือนอันเคร่งขรึมประกาศว่า “ถ้าเจ้าไม่ตื่นขึ้น เราจะมาเหมือนอย่างขโมย และเจ้าจะไม่รู้ว่าเราจะมาหาเจ้าชั่วโมงไหน” วิวรณ์ 3:1, 3 {GC 309.3}GCth17 268.5

    การปลุกมนุษย์ให้ตื่นขึ้นเพื่อรับรู้ถึงภัยอันตรายของเขานั้นเป็นเรื่องจำเป็น เพื่อให้พวกเขาลุกขึ้นเตรียมตัวพร้อมรับเหตุการณ์สำคัญที่เกี่ยวเนื่องกับเวลาแห่งพระเมตตาคุณที่จะสิ้นสุดลง ผู้เผยพระวจนะของพระเจ้าประกาศว่า “วันแห่งพระยาห์เวห์นั้นยิ่งใหญ่และน่ากลัวอย่างยิ่ง ใครเล่าจะทนอยู่ได้” ผู้ใดจะทนอยู่ได้เมื่อพระองค์จะเสด็จมา “พระเนตรของพระองค์บริสุทธิ์เกินกว่าจะทอดพระเนตรการชั่ว จะทรงมองดูความบาปก็ไม่ได้” โยเอล 2:11 ฮาบากุก 1:13 สำหรับผู้ที่ร้องเรียกว่า “ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ ข้าพระองค์ทั้งหลายรู้จักพระองค์” แต่กระนั้น พวกเขายังคงล่วงละเมิดพันธสัญญาของพระองค์และติดตามพระอื่น เก็บซ่อนการชั่วไว้ในใจและรักทางแห่งความอธรรม สำหรับคนเช่นนี้ วันแห่งพระเจ้า “เป็นความมืด มิใช่ความสว่าง เป็นความมืดครึ้ม มิใช่ความเจิดจ้าเลย” โฮเชยา 8:2, 1 สดุดี 16;4 อาโมส 5:20 พระยาห์เวห์ตรัสว่า “ในเวลานั้นเราจะเอาตะเกียงส่องดูเยรูซาเล็มและเราจะลงโทษพวกไม่รู้ร้อนรู้หนาวมานาน เหมือนตะกอนเหล้าที่เกรอะจนหนา ผู้ที่คิดในใจของตนว่า ‘พระยาห์เวห์จะไม่ทรงให้สิ่งดีและพระองค์ก็จะไม่ทรงให้สิ่งร้าย’” เศฟันยาห์ 1:12 “เราจะลงโทษโลกเพราะความชั่วร้ายและลงโทษคนอธรรม เพราะความผิดบาปของพวกเขา เราทำให้ความเย่อหยิ่งของคนจองหองสิ้นสุดและทำให้ความยโสของคนโหดร้ายลดต่ำลง” อิสยาห์ 13:11 “เงินหรือทองคำของเขาก็ดี จะไม่สามารถช่วยกู้เขาได้” “ทรัพย์สมบัติของพวกเขาจะถูกปล้นและบ้านของพวกเขาจะร้างเปล่า” เศฟันยาห์ 1:18, 13 {GC 310.1}GCth17 269.1

    ในขณะที่ผู้เผยพระวจนะเยเรมีย์เฝ้ารอคอยเวลาที่น่ากลัวนั้น ได้ร้องออกมาว่า “ ข้าบิดตัวด้วยความเจ็บปวด....ข้าจะนิ่งอยู่ไม่ได้เพราะข้าได้ยินเสียงเขาสัตว์ เสียงปลุกของสงคราม หายนะซ้อนหายนะถูกเร้าขึ้นมา” เยเรมีย์ 4:19, 20 {GC 310.2}GCth17 269.2

    “ วันนั้นจะเป็นวันแห่งพระพิโรธ เป็นวันที่ทุกข์ใจและระทม เป็นวันที่มีความพินาศและการทำลายล้าง เป็นวันที่มืดและหม่นหมอง เป็นวันที่มีเมฆคลุมและมืดทึบ วันที่มีเสียงแตรและเสียงโห่ร้องของสงคราม” เศฟันยาห์ 1:15, 16 “นี่แน่ะ วันแห่งพระยาห์เวห์จะมา.....เพื่อจะทำให้แผ่นดินเป็นที่ร้างเปล่าและเพื่อจะทำลายคนบาปของมันเสียจากแผ่นดินนั้น” อิสยาห์ 13:9 {GC 310.3}GCth17 269.3

    เมื่อพิจารณาถึงวันอันยิ่งใหญ่นั้น พระวจนะของพระเจ้าใช้ภาษาที่เคร่งขรึมและน่าจับใจที่สุดเพื่อเรียกร้องให้ประชากรของพระองค์ที่ยังคงสลบไสลทางฝ่ายจิตวิญญาณให้ตื่นขึ้น และแสวงหาพระพักตร์ของพระองค์ด้วยการกลับใจและการถ่อมตน “จงเป่าเขาสัตว์ในศิโยน จงเปล่งเสียงเตือนภัยบนภูเขาบริสุทธิ์ของเรา ให้ทุกคนที่อาศัยในแผ่นดินตัวสั่น เพราะวันแห่งพระยาห์เวห์กำลังมา ใกล้เข้ามาแล้ว” “จงจัดเตรียมพิธีอดอาหาร จงเรียกประชุมทำพิธี จงรวบรวมประชาชน จงชำระชุมนุมชนให้บริสุทธิ์ จงประชุมพวกผู้ใหญ่ จงรวบรวมเด็ก ๆ..... จงให้เจ้าบ่าวออกจากเรือนหอและเจ้าสาวออกจากห้องของตน ให้บรรดาปุโรหิตคือผู้ปรนนิบัติพระยาห์เวห์ร้องไห้อยู่ระหว่างเฉลียงกับแท่นบูชา” “จงกลับมาหาเรา ด้วยสุดใจ ด้วยการอดอาหาร การร้องไห้ และการโอดครวญ จงฉีกใจของพวกเจ้า ไม่ใช่ฉีกเสื้อของเจ้า จงกลับมาหาพระยาห์เวห์พระเจ้าของพวกท่าน เพราะว่าพระองค์ทรงเปี่ยมด้วยพระคุณและพระกรุณา พระองค์กริ้วช้าและบริบูรณ์ด้วยความรักมั่นคง” โยเอล 2:1, 15-17, 12, 13 {GC 311.1}GCth17 270.1

    การตระเตรียมคนให้พร้อมสำหรับวันของพระเจ้านั้น เป็นงานปฏิรูปยิ่งใหญ่ที่จะต้องทำให้สำเร็จ พระเจ้าทรงมองเห็นว่าประชากรจำนวนมากที่อ้างตนว่าเป็นประชากรของพระองค์นั้น ไม่ได้เตรียมพร้อมเพื่อชีวิตนิรันดร์ และด้วยพระเมตตาคุณของพระเจ้า พระองค์จึงทรงกำลังจะส่งข่าวสารคำเตือนมาปลุกพวกเขาให้ตื่นขึ้นจากการไม่รู้สึกตัวและนำพวกเขาให้เตรียมตัวพร้อมเพื่อการเสด็จมาของพระเจ้า {GC 311.2}GCth17 270.2

    เราจะมองเห็นคำเตือนนี้ในพระธรรมวิวรณ์บทที่ 14 ในบทนี้มีข่าวสารสามประการซึ่งแสดงให้เห็นด้วยการประกาศโดยชาวสวรรค์ และเหตุการณ์ที่ตามติดมาทันทีทันใดนั้นคือ การเสด็จมาของบุตรมนุษย์เพื่อ “เก็บเกี่ยวบนแผ่นดินโลก” คำเตือนที่หนึ่งประกาศว่า ถึงเวลาที่จะทรงพิพากษาแล้ว ผู้เผยพระวจนะมองเห็นทูตสวรรค์องค์หนึ่งเหาะ “ไปในท้องฟ้าเพื่อประกาศข่าวประเสริฐนิรันดร์แก่คนทั้งหลายที่อยู่บนแผ่นดินโลก แก่ทุกประชาชาติ ทุกเผ่า ทุกภาษา และทุกชนชาติ ท่านประกาศเสียงดังว่า ‘จงเกรงกลัวพระเจ้าและถวายพระเกียรติแด่พระองค์ เพราะถึงเวลาที่พระองค์จะทรงพิพากษาแล้ว จงนมัสการพระองค์ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์ แผ่นดินโลก ทะเลและบ่อน้ำพุทั้งหลาย” วิวรณ์ 14:6, 7 {GC 311.3}GCth17 270.3

    ข่าวที่ประกาศไปนี้ เป็นส่วนหนึ่งของ “ข่าวประเสริฐนิรันดร์” พันธกิจของการประกาศข่าวประเสริฐไม่ได้ทรงมอบหมายให้แก่ทูตสวรรค์ทั้งหลาย แต่ทรงโปรดมอบความรับผิดชอบนี้ไว้กับมนุษย์ ทูตสวรรค์ผู้บริสุทธิ์ได้รับบัญชาให้นำทางในพระราชกิจนี้และมีหน้าที่รับผิดชอบในขบวนการอันยิ่งใหญ่แห่งการช่วยมนุษย์ให้รอด แต่การประกาศข่าวประเสริฐที่แท้จริงจะถูกทำโดยผู้รับใช้ทั้งหลายของพระคริสต์ในโลกนี้ {GC 312.1}GCth17 270.4

    มนุษย์ที่ซื่อสัตย์ ซึ่งเชื่อฟังคำตักเตือนของพระวิญญาณของพระเจ้าและคำสอนที่มีอยู่ในพระวจนะของพระองค์จะเป็นผู้ประกาศคำเตือนให้แก่ชาวโลก พวกเขาเป็นผู้ที่ใส่ใจ “คำเผยพระวจนะที่แน่นอน” “เป็นเสมือนตะเกียงที่ส่องสว่างในที่มืดจนกว่าแสงอรุณจะขึ้นและดาวรุ่งจะผุดขึ้นในใจของพวกท่าน” 2 เปโตร 1:19 พวกเขาแสวงหาความรอบรู้ของพระเจ้ามากยิ่งกว่าที่จะหาขุมทรัพย์ที่ซ่อนไว้ พวกเขาถือว่า “ผลที่ได้จากปัญญาย่อมดีกว่าผลที่ได้จากเงินและผลิตผลของปัญญานั้นดีกว่าทองคำ” สุภาษิต 3:14 และองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเปิดเผยให้พวกเขาเห็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ในราชอาณาจักร “ความลึกลับของพระยาห์เวห์มีอยู่แก่คนที่ยำเกรงพระองค์ และพระองค์จะทรงแจ้งพันธสัญญาของพระองค์แก่เขาเหล่านั้น” สดุดี 25:14 TKJV {GC 312.2}GCth17 270.5

    ผู้ที่เข้าใจความจริงนี้ และมีส่วนร่วมในงานประกาศกลับไม่ใช่นักศาสนศาสตร์ผู้คงแก่เรียน พวกเขาเป็นคนยามที่ซื่อสัตย์ที่ศึกษาพระคัมภีร์ด้วยความหมั่นเพียรและด้วยการอธิษฐาน พวกเขารู้เวลาของยามค่ำคืน คำพยากรณ์จะถูกเปิดเผยให้พวกเขารู้ถึงเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้น แต่บรรดาผู้คงแก่เรียนไม่ได้รับหน้าที่นี้และข่าวนี้ถูกประกาศโดยผู้ที่ถ่อมตนกว่า พระเยซูตรัสว่า “เมื่อยังมีความสว่างอยู่ก็จงเดินไปเถิด” ยอห์น 12:35 ผู้ที่ไม่สนใจแสงสว่างที่พระเจ้าประทานให้หรือละเลยไม่แสวงหาแสงนั้นเมื่ออยู่ใกล้ คนเหล่านี้จะถูกปล่อยให้อยู่ในความมืด แต่พระผู้ช่วยให้รอดทรงประกาศว่า “คนที่ตามเรามาจะไม่ต้องเดินในความมืด แต่จะมีความสว่างแห่งชีวิต” ยอห์น 8:12 ผู้ใดก็ตามที่ตั้งมั่นอย่างเด็ดเดี่ยวเพื่อแสวงหาที่จะปฏิบัติตามน้ำพระทัยของพระเจ้า เอาใจใส่อย่างจริงใจต่อแสงสว่างที่ทรงโปรดประทานให้แล้ว จะได้รับแสงสว่างมากยิ่งขึ้น สำหรับผู้ที่มีจิตวิญญาณเช่นนี้ พระเจ้าจะประทานดวงดาวแห่งสวรรค์ที่มีประกายเจิดจ้าเพื่อนำเขาไปสู่ความจริงทั้งมวล {GC 312.3}GCth17 270.6

    ในสมัยที่พระคริสต์เสด็จมาครั้งแรกนั้น บรรดาปุโรหิตและธรรมจารย์ทั้งหลายที่อยู่ในนครบริสุทธิ์ซึ่งเป็นผู้ที่ได้รับมอบความรับผิดชอบให้ดูแลพระวจนะของพระเจ้า พวกเขาน่าจะมองเห็นหมายสำคัญที่บอกเวลาและประกาศการเสด็จมาของพระองค์ผู้ที่ทรงโปรดสัญญาไว้ คำพยากรณ์ของมีคาห์ระบุสถานที่ประสูติของพระเยซู ดาเนียลระบุเวลาของการเสด็จมา มีคาห์ 5:2 ดาเนียล 9:25 พระเจ้าประทานคำพยากรณ์เหล่านี้ให้ผู้นำชาวยิว พวกเขาจึงไม่มีข้อแก้ตัวว่าพวกเขาไม่รู้และไม่ประกาศให้แก่ประชาชนทราบว่าการเสด็จมาของพระเมสสิยาห์ใกล้เข้ามาแล้ว ความไม่รู้ของพวกเขาเป็นผลลัพธ์ของการละเลยที่เป็นบาป ชาวยิวสร้างผลงานด้วยการฆ่าผู้เผยพระวจนะของพระเจ้า ด้วยการปฏิบัติตามผู้ยิ่งใหญ่แห่งโลกนี้ พวกเขาจึงกำลังเคารพบูชาผู้รับใช้ของซาตาน พวกเขาหมกมุ่นอยู่กับการแก่งแย่งชิงดีอย่างทะเยอทะยานเพื่อตำแหน่งและอำนาจ พวกเขาทั้งหลายมองไม่เห็นเกียรติยศของพระเจ้าซึ่งกษัตริย์แห่งสรวงสวรรค์ทรงยื่นมาให้แก่พวกเขา {GC 313.1}GCth17 271.1

    ผู้ปกครองของชนชาติอิสราเอลควรที่จะเอาใส่ใจอย่างลึกซึ้งและด้วยความยำเกรง เพื่อศึกษาถึงสถานที่ เวลาและสภาพแวดล้อมของเหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์โลก นั่นคือการเสด็จมาของพระบุตรของพระเจ้าเพื่อมาไถ่มนุษย์ให้ได้รับความรอด ทุกคนควรที่จะเฝ้าระวังเพื่อจะเป็นหนึ่งในคนกลุ่มแรกที่จะต้อนรับพระผู้ไถ่ของโลก แต่ดูเถิดที่หมู่บ้านเบธเลเฮม มีผู้เดินทางสองคนที่เหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางไกลมาจากเนินเขาแห่งเมืองนาซาเร็ธ เดินตามถนนอันคับแคบที่ทอดยาวไปจนสุดฝั่งตะวันออกของเมือง พวกเขาพยายามหาที่พักและที่กำบังสำหรับยามค่ำคืนอย่างไร้ผล ไม่มีประตูใดเปิดออกต้อนรับพวกเขา ในที่สุดพวกเขาเข้าหลบในคอกสัตว์อันน่าสังเวชที่เตรียมไว้สำหรับวัว และพระผู้ช่วยให้รอดของโลกทรงบังเกิดที่นั่น {GC 313.2}GCth17 271.2

    บรรดาทูตจากสวรรค์เคยเห็นพระสิริซึ่งพระบุตรของพระเจ้าทรงมีร่วมกับพระบิดาก่อนที่โลกนี้จะเกิดขึ้น และทูตสวรรค์เหล่านี้รอคอยด้วยความสนใจอย่างแรงกล้าต่อการเสด็จมาของพระองค์ในโลกนี้ว่าเป็นเหตุการณ์ที่เต็มล้นด้วยความชื่นชมยินดีสำหรับมนุษย์ทุกคน ทูตสวรรค์ได้รับบัญชาให้นำข่าวแห่งความยินดีไปให้ผู้ที่เตรียมพร้อมที่จะรับและให้แก่ผู้ที่จะนำเรื่องนี้ไปประกาศให้ชนชาวโลกด้วยความชื่นชมยินดี พระคริสต์ทรงถ่อมพระองค์ลงมารับสภาพธรรมชาติของมนุษย์ พระองค์ทรงต้องแบกรับความทุกข์โศกอันหนักเหลือคณาในขณะที่พระองค์ถวายจิตวิญญาณของพระองค์ให้เป็นเครื่องบูชาไถ่บาป แต่กระนั้นทูตสวรรค์ก็ยังปรารถนาที่จะเห็นแม้ในสภาพที่ถ่อมพระองค์ของพระบุตรของพระเจ้าผู้สูงสุดที่จะปรากฏต่อหน้ามนุษย์อย่างสง่างามและเต็มไปด้วยสง่าราศีสมกับพระลักษณะของพระองค์ จะมีบุคคลสำคัญของโลกมาร่วมชุมนุมที่เมืองหลวงของแผ่นดินอิสราเอลเพื่อต้อนรับการเสด็จมาของพระองค์หรือไม่ จะมีทูตสวรรค์จำนวนมากมายมาแนะนำพระองค์ให้ผู้ที่กำลังรอคอยได้รู้จักหรือไม่ {GC 313.3}GCth17 271.3

    ทูตสวรรค์องค์หนึ่งมาเยือนโลกเพื่อดูว่ามีผู้ใดบ้างที่เตรียมพร้อมต้อนรับพระเยซู แต่ทูตองค์นั้นมองไม่เห็นเครื่องหมายแห่งการรอคอย ทูตองค์นั้นไม่ได้ยินเสียงสรรเสริญและเสียงโห่ร้องอย่างมีชัยที่แสดงว่าเวลาที่พระเมสสิยาห์จวนจะเสด็จถึงแล้ว ทูตสวรรค์บินไปมาชั่วขณะหนึ่งเหนือเมืองที่ได้รับการเลือกสรร และเหนือพระวิหารที่การร่วมสถิตของพระเจ้าได้รับการสำแดงให้เห็นมาเป็นเวลาช้านาน แต่แม้ที่นี่ก็ไม่ได้ดูแตกต่างจากที่อื่นๆ ปุโรหิตที่แต่งกายอย่างโอ้อวดและทะนงตัว ยังคงเผาเครื่องถวายบูชาที่เป็นมลทินในพระวิหาร ฟาริสีพูดกับประชาชนด้วยเสียงอันดัง หรือยืนอธิษฐานอย่างโอ้อวดตามมุมถนน ในพระราชวังของกษัตริย์ ในที่ชุมนุมของนักปรัชญา ในโรงเรียนของรับบี พวกเขาก็มีสภาพที่ไม่แตกต่างกันคือเมินเฉยความจริงอันอัศจรรย์ที่ทำให้ทั้งสวรรค์ชื่นชมยินดีและสรรเสริญพระเจ้า ที่พระผู้ไถ่ของมนุษย์กำลังจะเสด็จมาในโลก {GC 314.1}GCth17 272.1

    ไม่มีหลักฐานใดที่แสดงว่าชาวโลกรอคอยการเสด็จมาของพระคริสต์ และไม่มีการเตรียมตัวต้อนรับเจ้าชายแห่งชีวิต ในขณะที่ผู้นำข่าวชาวสวรรค์กำลังจะกลับไปยังสวรรค์ด้วยความพิศวงพร้อมกับเรื่องราวอันน่าอับอายนั้น ก็ได้พบคนเลี้ยงแกะกลุ่มหนึ่งที่กำลังเฝ้าฝูงแกะในยามค่ำคืน และในขณะที่พวกเขาจ้องมองขึ้นไปยังท้องฟ้าที่มีดวงดาวส่องระยิบระยับและกำลังนึกตรึกตรองถึงคำพยากรณ์ที่พระเมสสิยาห์จะเสด็จมาในโลกนี้ พร้อมทั้งปรารถนาการเสด็จมาของพระผู้ไถ่ของโลกนี้เป็นอย่างมาก นี่คือชนกลุ่มหนึ่งที่พร้อมจะรับข่าวสารจากสวรรค์ และในทันใดนั้น ทูตสวรรค์ของพระเจ้าก็ปรากฏตัวขึ้น ประกาศถึงข่าวดีแห่งความชื่นชมยินดี รัศมีภาพของสวรรค์ส่องแสงเจิดจ้าไปทั่วทุ่งราบ ทูตสวรรค์เหลือคณานับถูกเปิดเผยให้เห็นราวกับว่าความชื่นชมยินดีนั้นยิ่งใหญ่เกินกว่าที่ผู้นำข่าวเพียงองค์เดียวจะนำมาจากสวรรค์ได้ เสียงมากหลายเปล่งขึ้นเป็นเสียงสรรเสริญซึ่งบรรดาประชาชาติที่ได้รับความรอดจะร่วมกันร้องในวันหนึ่งว่า “พระสิริจงมีแด่พระเจ้าในที่สูงสุด ส่วนบนแผ่นดินโลก สันติสุขจงมีท่ามกลางมนุษย์ทั้งหลายที่พระองค์โปรดปรานนั้น” ลูกา 2:14 {GC 314.2})GCth17 272.2

    โอ เรื่องอันน่าอัศจรรย์ใจที่เกิดขึ้น ณ หมู่บ้านเบธเลเฮมจะเป็นบทเรียนที่ดีให้แก่เราเช่นไร เป็นเรื่องที่ตำหนิความไม่เชื่อของเราหรือความหยิ่งยโสและความไม่ต้องการพึ่งพาผู้ใดของเรา เป็นเรื่องที่เตือนให้เราระวัง เกลือกว่าโดยความเฉยเมยอย่างไร้ความสำนึกของเราจะทำให้เรามองไม่เห็นหมายสำคัญแห่งกาลเวลา และดังนั้น เราจึงไม่รู้เวลาที่พระเจ้าจะเสด็จมาหาเรา {GC 315.1}GCth17 272.3

    ทูตสวรรค์ไม่ได้พบผู้เฝ้าคอยการเสด็จมาของพระเมสสิยาห์ในแถบเนินเขาของมณฑลยูเดียเพียงแห่งเดียวหรือในหมู่คนเลี้ยงแกะที่ต่ำต้อยเท่านั้น แต่ในแผ่นดินของคนนอกศาสนายังมีผู้ที่เฝ้าคอยพระองค์ด้วยเช่นกัน พวกเขาเป็นนักปราชญ์ผู้ร่ำรวยและมียศศักดิ์ เป็นนักปรัชญาแห่งทิศตะวันออก เป็นนักศึกษาธรรมชาติ นักปราชญ์เหล่านี้มองดูพระหัตถกิจของพระเจ้าและแลเห็นพระองค์ พวกเขาศึกษาพระคัมภีร์ของชาวฮีบรูและเรียนรู้ว่าดาวดวงหนึ่งจะขึ้นมาจากยาโคบและด้วยความปรารถนาอย่างแรงกล้า พวกเขารอคอยการเสด็จมาของพระองค์ ผู้ที่ไม่เพียงแต่ให้ “อิสราเอลจะได้รับการปลอบโยนใจ” เท่านั้น แต่ “เป็นความสว่างที่ส่องแก่คนต่างชาติ” และ “นำความรอดไปจนถึงที่สุดปลายแผ่นดินโลก” ลูกา 2:25, 32; กิจการ 13:47 พวกเขาเป็นผู้แสวงหาแสงสว่าง และแสงสว่างจากพระที่นั่งของพระเจ้าส่องสว่างบนทางเดินของพวกเขา ในขณะที่ปุโรหิตและรับบีแห่งกรุงเยรูซาเล็มที่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้พิทักษ์และเป็นผู้อธิบายความจริง พวกเขาถูกความมืดห่อหุ้มไว้ ดวงดาวที่สวรรค์ส่งมาได้นำคนต่างชาติแปลกหน้าเหล่านี้ไปยังสถานที่ประสูติของพระมหากษัตริย์องค์ใหม่ผู้มาบังเกิด {GC 315.2}GCth17 272.4

    “บรรดาผู้ที่รอคอยพระองค์” พระคริสต์ “จะทรงปรากฏเป็นครั้งที่สอง ไม่ใช่เพื่อกำจัดบาปแต่เพื่อนำความรอดมาให้” ฮีบรู 9:28 เช่นเดียวกับข่าวการมาบังเกิดของพระผู้ช่วยให้รอด ข่าวเรื่องการเสด็จมาครั้งที่สองของพระเยซูนั้น ไม่ทรงโปรดมอบให้ผู้นำทางศาสนา พวกเขาไม่ได้ถนอมรักษาความสัมพันธ์กับพระเจ้าและปฏิเสธแสงสว่างจากสวรรค์ ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงไม่ได้เป็นกลุ่มคนที่อัครสาวกเปาโลบรรยายไว้ว่า “แต่พี่น้องทั้งหลาย ท่านไม่อยู่ในความมืดแล้ว วันนั้นไม่น่าจะมาถึงท่านอย่างขโมยมา ท่านทุกคนเป็นลูกของความสว่างและเป็นลูกของเวลากลางวัน เราไม่ได้เป็นของกลางคืนหรือของความมืด” 1 เธสะโลนิกา 5:4, 5 {GC 315.3}GCth17 273.1

    คนยามบนกำแพงแห่งเมืองศิโยนควรเป็นคนกลุ่มแรกที่รู้ข่าวการเสด็จกลับมาของพระผู้ช่วยให้รอด พวกเขาควรเป็นคนกลุ่มแรกที่จะป่าวประกาศว่าพระองค์ใกล้จะเสด็จมาแล้ว พวกเขาควรเป็นคนกลุ่มแรกที่เตือนผู้คนให้เตรียมพร้อมเพื่อการเสด็จมาของพระองค์ แต่พวกเขากลับอยู่อย่างสุขสบาย เพ้อฝันแต่เพียงความสงบสุขและความปลอดภัย ในขณะที่ผู้คนต่างหลับใหลอยู่ในความผิดบาป พระเยซูทรงเห็นว่าคริสตจักรของพระองค์นั้นเป็นดังเช่นต้นมะเดื่อเทศที่ไม่ออกผล ที่มีใบแห่งความจอมปลอมปกคลุมเต็มไปหมดแต่ก็ยังไม่บังเกิดผลที่มีคุณค่า มีการโอ้อวดในการถือรักษาพิธีกรรมทางศาสนา ในขณะที่ขาดวิญญาณแห่งความถ่อมตน ขาดความเสียใจที่ทำผิดและขาดความเชื่อที่แท้จริง ซึ่งสิ่งเหล่านี้เท่านั้นที่เป็นการรับใช้ที่พระเจ้าทรงพอพระทัย แทนที่พวกเขาจะมีคุณงามความดีแห่งพระวิญญาณของพระเจ้า พวกเขากลับหยิ่งยโส ถือระเบียบ โอ้อวด เห็นแก่ตัว กดขี่ผู้คน คริสตจักรที่ละทิ้งพระเจ้าจะปิดตาให้กับเครื่องหมายบอกเวลา พระเจ้าไม่ทรงทอดทิ้งพวกเขา หรือปล่อยให้คุณความดีของพระเจ้าสูญหายไปจากพวกเขา แต่พวกเขาเหินห่างไปจากพระองค์ และแยกตัวเองออกไปจากความรักของพระองค์ ในขณะที่พวกเขาปฏิเสธไม่ทำตามข้อกำหนด พระสัญญาของพระองค์จึงไม่สัมฤทธิผลในตัวของพวกเขา {GC 315.4}GCth17 273.2

    นี่คือผลที่จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอนเมื่อละเลยที่จะซาบซึ้งในคุณค่าและพัฒนาแสงสว่างและโอกาสที่พระเจ้าประทานให้ ศาสนาจะถดถอยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จนเหลือแต่เพียงพิธีกรรมและวิญญาณของคุณความดีที่มีชีวิตจะสูญหายไป นอกเสียจากคริสตจักรจะปฏิบัติตามทางออกของพระองค์ที่โปรดประทานไว้ ยอมรับแสงสว่างทั้งหมด และปฏิบัติตามหน้าที่ทั้งหมดที่เปิดเผยไว้ให้แล้ว ความจริงนี้มีให้เห็นในประวัติศาสตร์ของคริสตจักร ซึ่งเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก พระเจ้าทรงเรียกหาผลงานแห่งความเชื่อและการเชื่อฟังจากประชากรของพระองค์ ตามสัดส่วนของพระพรและโอกาสที่ทรงโปรดประทานให้ การเชื่อฟังจำเป็นต้องมีการเสียสละและเกี่ยวข้องกับกางเขน นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมคนมากมายที่อ้างตนว่าเป็นผู้ติดตามของพระคริสต์จึงปฏิเสธไม่ยอมรับแสงสว่างจากสวรรค์ และเช่นเดียวกับชาวยิวในอดีตที่ไม่รู้เวลาที่พระองค์เสด็จมา ลูกา 19:44 เพราะว่าความทะนงตัวและความไม่เชื่อ พระเจ้าจึงเสด็จผ่านพวกเขาไป และเปิดเผยความจริงให้แก่บุคคลอื่น เช่นคนเลี้ยงแกะแห่งหมู่บ้านเบธเลเฮมและนักปราชญ์แห่งทิศตะวันออก ซึ่งใส่ใจกับแสงสว่างทั้งหมดที่พวกเขาได้รับ {GC 316.1}GCth17 273.3

    *****