Loading...
Larger font
Smaller font
Copy
Print
Contents

สงครามครั้งยิ่งใหญ่

 - Contents
  • Results
  • Related
  • Featured
No results found for: "".
  • Weighted Relevancy
  • Content Sequence
  • Relevancy
  • Earliest First
  • Latest First

    บท 19 - ความสว่างส่องเข้าไปในที่มืด

    จากยุคหนึ่งไปยังอีกยุคหนึ่ง พระราชกิจของพระเจ้าในโลกนำเสนอให้เห็นถึงลักษณะความโดดเด่นที่คล้ายคลึงกันในทุกการปฏิรูปที่ยิ่งใหญ่ หรือในขบวนการเคลื่อนไหวทางศาสนา หลักการของพระเจ้าที่มีต่อมนุษย์นั้นเหมือนเดิมมาตลอด การเคลื่อนไหวสำคัญของปัจจุบันมีแนวขนานเหมือนเช่นของในอดีตและประสบการณ์ของคริสตจักรในยุคก่อนมีบทเรียนที่มีคุณค่าสำหรับยุคของเรา {GC 343.1}GCth17 298.1

    ในขบวนการเคลื่อนไหวที่ยิ่งใหญ่นั้น ไม่มีความจริงใดในพระคัมภีร์ที่สอนไว้อย่างชัดเจนมากไปกว่าการทรงนำของพระเจ้าโดยทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ทรงชี้แนะผู้รับใช้ของพระองค์ในโลกเพื่อให้พระราชกิจของการช่วยให้รอดเจริญยิ่งขึ้นต่อไป มนุษย์เป็นเครื่องมือในพระหัตถ์ของพระเจ้าเพื่อใช้ให้บรรลุวัตถุประสงค์แห่งพระคุณและพระเมตตา แต่ละคนมีส่วนของตนเองที่จะต้องทำ ซึ่งแต่ละคนได้รับมอบแสงสว่างจำนวนหนึ่งที่ถูกปรับให้เข้ากับความต้องการในเวลาของเขาและเพียงพอที่จะช่วยให้เขาทำงานที่พระเจ้าทรงมอบให้เขาทำ แต่ไม่มีมนุษย์คนใดไม่ว่าจะได้รับเกียรติจากสวรรค์อย่างมากเพียงใดก็ตาม เคยบรรลุถึงความเข้าใจอย่างเต็มที่ในเรื่องแผนการยิ่งใหญ่ของการไถ่ หรือแม้แต่ก้าวไปถึงความรู้สึกซาบซึ้งอย่างบริบูรณ์ต่อพระประสงค์ของพระเจ้าในพระราชกิจสำหรับยุคของเขาเอง มนุษย์เข้าใจไม่ได้อย่างหมดจดถึงสิ่งที่พระเจ้าจะทรงกระทำให้สำเร็จผ่านทางงานที่ทรงมอบให้เขาเหล่านั้นทำ พวกเขาไม่เข้าใจในลักษณะทั้งหมดของข่าวสารที่พวกเขากล่าวในนามของพระองค์ {GC 343.2}GCth17 298.2

    “ท่านจะหยั่งรู้ความลี้ลับของพระเจ้าได้หรือ ท่านจะหยั่งรู้ความไพบูลย์ขององค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้หมดสิ้นหรือ” “เพราะความคิดของเราไม่ใช่ความคิดของเจ้า และทางของพวกเจ้าก็ไม่ใช่ทางของเรา” พระเจ้าตรัสดังนี้ “เพราะฟ้าสวรรค์สูงกว่าแผ่นดินโลกอย่างไร ทางของเราก็สูงกว่าทางของพวกเจ้า และความคิดของเราก็สูงกว่าความคิดของเจ้าอย่างนั้น” “จงจำสิ่งล่วงเลยมานานแล้ว เพราะเราเป็นพระเจ้า และไม่มีผู้อื่นอีก เราเป็นพระเจ้า และไม่มีใครเป็นเหมือนเรา ผู้แจ้งตอนจบให้ทราบตั้งแต่เริ่มต้น และแจ้งสิ่งที่ยังไม่ได้ทำนั้นให้ทราบตั้งแต่อดีตกาล ทั้งกล่าวว่า ‘แผนงานของเราจะยั่งยืนและเราจะทำทุกสิ่งตามความประสงค์ของเรา’” โยบ 11:7 อิสยาห์ 55:8, 9; 46:9, 10 {GC 343.3}GCth17 298.3

    แม้แต่บรรดาผู้เผยพระวจนะที่ได้รับความกรุณาจากพระเจ้าด้วยความกระจ่างพิเศษของพระวิญญาณก็ไม่ได้เข้าใจอย่างเต็มที่ถึงความสำคัญของการเปิดเผยต่างๆ ที่ทรงมอบหมายให้แก่พวกเขา ความหมายจะถูกเปิดเผยในแต่ละยุคตามที่ประชากรของพระเจ้าจำเป็นต้องได้รับคำแนะนำที่มีอยู่ในนั้น {GC 344.1}GCth17 299.1

    ขณะที่เปโตรเขียนถึงความรอดซึ่งถูกทำให้เกิดความกระจ่างผ่านทางข่าวประเสริฐนั้นได้กล่าวว่า ในเรื่องของความรอดนั้น “พวกผู้เผยพระวจนะผู้ได้พยากรณ์ถึงพระคุณซึ่งจะเกิดแก่พวกท่าน ก็ได้เสาะและสืบค้นอย่างถี่ถ้วนเกี่ยวกับเรื่องความรอดนี้ พวกเขาได้สืบหาบุคคลและเวลา ซึ่งพระวิญญาณของพระคริสต์ผู้สถิตอยู่ในพวกเขาได้ทรงแจ้งไว้โดยทรงบอกล่วงหน้าถึงความทุกข์ทรมานของพระคริสต์ และพระสิริที่จะมาภายหลังความทุกข์เหล่านั้น พระองค์ทรงเผยให้ผู้เผยพระวจนะเหล่านั้นทราบว่า พวกเขาไม่ได้ปรนนิบัติตัวเองในเรื่องเหล่านี้ แต่ปรนนิบัติพวกท่าน” 1 เปโตร 1:10-12 {GC 344.2}GCth17 299.2

    แต่ถึงกระนั้น ในขณะที่ไม่ทรงโปรดประทานให้ผู้เผยพระวจนะทั้งหลายเข้าใจอย่างเต็มที่ถึงสิ่งที่เปิดเผยให้พวกเขาก็ตามที แต่พวกเขาแสวงหาอย่างจริงใจที่จะรับความกระจ่างทั้งหมดที่พระเจ้าทรงพึงพอพระทัยจะเปิดเผย พวกเขา “เสาะและสืบค้น” อย่างจริงจัง “สืบหาบุคคลและเวลา ซึ่งพระวิญญาณของพระคริสต์ผู้สถิตอยู่ในพวกเขาได้ทรงแจ้งไว้” เป็นบทเรียนอะไรเช่นนี้ที่มีไว้ให้แก่ประชากรของพระเจ้าในยุคของคริสเตียน คำพยากรณ์ที่มีประโยชน์สำหรับพวกเขาได้ทรงโปรดประทานให้แก่ผู้รับใช้ของพระองค์ “ทรงเผยให้ผู้เผยพระวจนะเหล่านั้นทราบว่า พวกเขาไม่ได้ปรนนิบัติตัวเองในเรื่องเหล่านี้ แต่ปรนนิบัติพวกท่าน” ให้เรามองดูคนบริสุทธิ์ทั้งหลายของพระเจ้าในขณะที่ “เสาะและสืบค้น” อย่างจริงจังในเรื่องของสิ่งที่เปิดเผยให้แก่เขาเหล่านั้นสำหรับคนในยุคภายหน้าที่ยังไม่เกิดมาในโลก ให้เปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างความกระตือรือร้นอันศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขากับความไม่ใส่ใจอย่างเหลือคณานับของผู้ที่ทรงโปรดปรานในยุคต่อๆ มาในการปฏิบัติต่อของประทานของสวรรค์ เป็นการตำหนิกระไรเช่นนี้ที่มีต่อผู้ที่ไม่ใยดีที่รักความสบายและรักโลก พวกเขาพึงพอใจที่จะประกาศว่าคำพยากรณ์ทั้งหลายนั้นเป็นเรื่องที่เข้าใจไม่ได้ {GC 344.3}GCth17 299.3

    แม้ว่าสมองของมนุษย์ที่มีขอบเขตอันจำกัดนั้นไม่เพียงพอที่จะเข้าไปให้ถึงที่ปรึกษาของพระเจ้าผู้ไม่มีขอบเขตจำกัด หรือที่จะเข้าใจอย่างเต็มที่ถึงผลของการกระทำตามพระประสงค์ของพระองค์ แต่กระนั้น บ่อยครั้งเป็นความผิดพลาดหรือความสะเพร่าของพวกเขาเองที่ทำให้เข้าใจข่าวสารของสวรรค์ได้อย่างเลือนราง ไม่ใช่เป็นเรื่องไม่บ่อยนักที่สมองของประชาชนและแม้แต่ผู้รับใช้ของพระเจ้าเองจะบอดไปเนื่องจากความเห็นของมนุษย์ รวมถึงประเพณีต่างๆ และคำสอนเทียมเท็จของมนุษย์ จนทำให้พวกเขาจับใจความได้แต่บางส่วนในสิ่งยิ่งใหญ่ที่พระองค์ทรงเปิดเผยในพระคำของพระองค์ สาวกทั้งหลายของพระคริสต์ก็เป็นเช่นนี้ แม้ในเวลาที่พระผู้ช่วยให้รอดทรงอยู่ร่วมกับพวกเขานั้น สมองของเขาทั้งหลายซึมซับด้วยแนวคิดที่นิยมกันว่าพระเมสสิยาห์ทรงเป็นเจ้าชายทางฝ่ายโลก ผู้ที่จะยกชาติอิสราเอลขึ้นไปยังบัลลังก์ของอาณาจักรแห่งจักรวาลและพวกเขาไม่เข้าใจความหมายของพระดำรัสที่บอกไว้ล่วงหน้าถึงเรื่องความทุกข์ทรมานและความตาย {GC 344.4}GCth17 299.4

    พระคริสต์เองทรงเป็นผู้ประทานข่าวสารให้แก่พวกเขาว่า “เวลากำหนดมาถึงแล้ว และแผ่นดินของพระเจ้าก็มาใกล้แล้ว จงกลับใจใหม่และเชื่อข่าวประเสริฐ” มาระโก 1:15 ข่าวสารนั้นอยู่บนพื้นฐานคำพยากรณ์ของพระธรรมดาเนียลบทที่ 9 ทูตสวรรค์เปิดเผยว่า 69 สัปดาห์นั้นจะเลยไปถึง “ประมุขผู้ถูกเจิม” และสาวกทั้งหลายตั้งตารอคอยด้วยความหวังอันยิ่งใหญ่และความชื่นชมยินดีถึงการจัดตั้งอาณาจักรในกรุงเยรูซาเล็มของพระเมสสิยาห์เพื่อขึ้นครอบครองทั่วทั้งโลก {GC 345.1}GCth17 300.1

    พวกเขาเทศนาข่าวที่พระคริสต์ทรงมอบหมายให้พวกเขาทั้งหลาย แม้พวกเขาเองเข้าใจความหมายผิด ในขณะที่คำประกาศของพวกเขามีรากฐานอยู่บนพระธรรมดาเนียล 9:25 พวกเขากลับมองไม่เห็นในข้อต่อไปของบทเดียวกันที่กล่าวว่าพระเมสสิยาห์จะถูกตัดออก นับตั้งแต่วันที่พวกเขาเกิดขึ้นมา หัวใจของพวกเขาก็ปักอยู่บนรัศมีภาพที่คิดว่าจะได้มาจากอาณาจักรของโลก และเรื่องนี้ทำให้ความเข้าใจของพวกเขาบอดไปทั้งในข้อกำหนดของคำพยากรณ์และพระดำรัสของพระคริสต์ {GC 345.2}GCth17 300.2

    พวกเขาประกอบหน้าที่ของการนำเสนอคำเชื้อเชิญแห่งพระเมตตาคุณให้แก่ชนชาติยิวและแล้วในเวลาที่พวกเขาคาดหวังที่จะเห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าของพวกเขาเสด็จขึ้นประทับบนบัลลังก์ของกษัตริย์ดาวิดนั้น กลับเห็นพระองค์ถูกจับเป็นผู้ร้าย ถูกโบยตี ถูกเหยียดหยามและถูกต้องโทษถึงตายและถูกยกชูขึ้นบนกางเขนคาลวารี ความสิ้นหวังและความปวดร้าวบีบคั้นหัวใจของสาวกเหล่านั้นเพียงไรในช่วงเวลาที่องค์พระผู้เป็นเจ้าของพวกเขาบรรทมอยู่ในอุโมงค์ฝังศพ {GC 345.3}GCth17 300.3

    พระคริสต์เสด็จมาตรงตามเวลาที่กำหนดและในลักษณะที่คำพยากรณ์บอกไว้แล้วล่วงหน้า คำพยานของพระคัมภีร์สำเร็จตรงตามรายละเอียดพระราชกิจของการรับใช้ พระองค์ประกาศข่าวสารแห่งความรอดแล้ว และ “พระดำรัสของพระองค์ประกอบด้วยสิทธิอำนาจ” ลูกา 4:32 หัวใจของผู้ฟังเป็นพยานว่าพระดำรัสเหล่านั้นมาจากสวรรค์ พระคำและพระวิญญาณของพระเจ้าเป็นพยานว่าพระเจ้าทรงเป็นผู้บัญชาส่งพระบุตรให้เสด็จมา {GC 346.1}GCth17 301.1

    สาวกทั้งหลายยังคงยึดเกาะพระอาจารย์ไว้ด้วยรักที่ไม่เสื่อมสลาย ถึงกระนั้นสมองของพวกเขาก็ยังตกอยู่ภายใต้ความไม่แน่นอนและความสงสัย ในความทุกข์ระทมของพวกเขา พวกเขาไม่ได้คิดถึงพระดำรัสของพระคริสต์ที่เน้นบอกเรื่องความทุกข์ทรมานและความตายของพระองค์ หากพระเยซูชาวนาซาเร็ธทรงเป็นพระเมสสิยาห์ที่แท้จริงแล้ว พวกเขาจะตกลงสู่ความทุกข์โศกและความผิดหวังอย่างนี้ด้วยหรือ นี่เป็นปัญหาที่ทรมานจิตวิญญาณของพวกเขาในขณะที่พระผู้ช่วยให้รอดทรงอยู่ในอุโมงค์ฝังศพในช่วงเวลาที่สิ้นหวังของวันสะบาโตนั้นที่คั่นกลางอยู่ระหว่างความตายของพระองค์และการกลับเป็นขึ้นมาจากความตายของพระองค์ {GC 346.2}GCth17 301.2

    ถึงแม้ค่ำคืนความมืดแห่งความทุกข์โศกล้อมอยู่รอบผู้ติดตามของพระเยซู แต่กระนั้นพวกเขาไม่ได้ถูกทอดทิ้ง ผู้เผยพระวจนะกล่าวว่า “เมื่อข้านั่งอยู่ในความมืด พระยาห์เวห์จะทรงเป็นความสว่างแก่ข้า…..พระองค์จะทรงนำข้าพเจ้าออกไปยังความสว่าง และข้าพเจ้าจะเห็นการช่วยกู้ของพระองค์” “สำหรับพระองค์ แม้ความมืดก็ไม่มืด กลางคืนก็สว่างอย่างกลางวัน ความมืดเป็นอย่างความสว่าง” พระเจ้าตรัสว่า “ความสว่างผุดขึ้นมาในความมืดให้คนเที่ยงธรรม” “เราจะนำคนตาบอดทั้งหลายไปในทางที่เขาทั้งหลายไม่รู้จัก เราจะพาเขาเดินไปในวิถีที่เขาไม่รู้จัก เราจะให้ความมืดข้างหน้าพวกเขากลับเป็นความสว่าง ทำที่ขรุขระให้เป็นที่ราบ สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่เราควรจะทำ และเราจะไม่ละทิ้งสิ่งเหล่านี้” มีคาห์ 7:8, 9 สดุดี 139:12; 112:4 อิสยาห์ 42:16 {GC 346.3}GCth17 301.3

    คำที่สาวกประกาศไปในนามขององค์พระผู้เป็นเจ้านั้นถูกต้องตามรายละเอียดทุกประการและแม้แต่เหตุการณ์ที่ชี้บอกไว้นั้นก็กำลังเกิดขึ้นตรงตามนั้น ข่าวที่พวกเขาประกาศคือ “เวลากำหนดมาถึงแล้วและแผ่นดินของพระเจ้าก็มาใกล้แล้ว” มาระโก 1:15 เมื่อ “เวลากำหนด” ที่สิ้นสุดลงคือเวลา 69 สัปดาห์ของพระธรรมดาเนียลบทที่ 9 ซึ่งเป็นเวลาที่เลยไปถึงพระเมสสิยาห์ “ผู้ถูกเจิมไว้”—พระวิญญาณทรงเจิมพระคริสต์เมื่อยอห์นบัพติศมาให้พระองค์ที่แม่น้ำจอร์แดนและ “แผ่นดินของพระเจ้า” ซึ่งพวกเขาประกาศว่าใกล้แล้วนั้นก็ถูกจัดตั้งขึ้นโดยการสิ้นพระชนม์ของพระคริสต์ แผ่นดินนี้ไม่ได้เป็นอาณาจักรทางฝ่ายโลกตามที่พวกเขาถูกสอนให้เชื่อกัน และก็ยังไม่ใช่แผ่นดินอมตะในอนาคตที่จะจัดตั้งขึ้นเมื่อ “ราชอาณาจักรกับราชอำนาจและความยิ่งใหญ่แห่งบรรดาราชอาณาจักรภายใต้สวรรค์ทั้งสิ้นจะต้องถูกมอบไว้แก่บรรดาผู้บริสุทธิ์คือประชากรขององค์ผู้สูงสุดนั้น” ดาเนียล 7:27 ราชอาณาจักรนิรันดร์นั้นซึ่ง “ราชอาณาจักรทั้งสิ้นจะปรนนิบัติและเชื่อฟังท่าน” ดาเนียล 7: 27 TKJV คำว่า “แผ่นดินของพระเจ้า” ตามที่ใช้ในพระคัมภีร์นั้นจะหมายถึงทั้งแผ่นดินแห่งพระคุณและแผ่นดินแห่งพระสิริ เปาโลเสนอให้เห็นแผ่นดินแห่งพระคุณในจดหมายที่เขียนถึงชาวฮีบรู ภายหลังจากที่ชี้ให้มองไปยังพระคริสต์ผู้ทรงเป็นพระผู้อ้อนวอนเผื่อผู้ทรงเมตตา ผู้ทรง “เห็นใจในความอ่อนแอของเรา” แล้วนั้น อัครสาวกกล่าวต่อไปว่า “ฉะนั้นขอให้เราเข้ามาถึงพระที่นั่งแห่งพระคุณด้วยความกล้าเพื่อเราจะได้รับพระเมตตาและจะพบพระคุณ” ฮีบรู 4:15, 16 พระที่นั่งแห่งพระคุณหมายถึงแผ่นดินแห่งพระคุณ การมีพระที่นั่งอยู่หมายความว่าจะต้องมีอาณาจักรด้วย ในอุปมาหลายเรื่อง พระคริสต์ทรงใช้ข้อความ “แผ่นดินสวรรค์” เพื่อหมายถึงการทำงานของพระคุณพระเจ้าในหัวใจของมนุษย์ {GC 346.4}GCth17 301.4

    ดังนั้น พระที่นั่งอันรุ่งโรจน์จึงหมายถึงแผ่นดินแห่งพระสิริและพระผู้ช่วยให้รอดตรัสถึงแผ่นดินนี้ว่า “เมื่อบุตรมนุษย์เสด็จมาด้วยพระรัศมีพร้อมกับทูตสวรรค์ทั้งหมด แล้วพระองค์จะประทับบนพระที่นั่งอันรุ่งโรจน์ของพระองค์ ประชาชาติทั้งหมดจะประชุมเฉพาะพระพักตร์พระองค์” มัทธิว 25:31, 32 แผ่นดินนี้ยังเป็นเรื่องของอนาคต จะไม่ถูกจัดตั้งขึ้นจนกว่าพระคริสต์จะเสด็จมาครั้งที่สอง {GC 347.1}GCth17 302.1

    แผ่นดินแห่งพระคุณนั้นถูกสถาปนาขึ้นทันทีหลังจากที่มนุษย์ล้มลงในบาป คือเมื่อมีการจัดตั้งแผนการเพื่อไถ่มนุษยชาติที่ผิดบาปให้รอด จึงเป็นแผ่นดินที่มีอยู่ในพระประสงค์และโดยพระสัญญาของพระเจ้า และมนุษย์สามารถเข้ามาเป็นประชากรได้ผ่านทางความเชื่อ แต่กระนั้น ก็ยังไม่ได้ถูกจัดตั้งขึ้นอย่างแท้จริงจนกระทั่งเมื่อพระคริสต์ทรงสิ้นพระชนม์ แต่แม้ภายหลังจากพระผู้ช่วยให้รอดเสด็จมารับพันธกิจในโลกแล้วนั้น หากแม้ทรงเบื่อหน่ายกับหัวใจมนุษย์ที่แข็งกระด้างและไม่ซาบซึ้งในพระคุณ พระองค์ยังอาจจะทรงถอนตัวจากการถวายบูชาบนกางเขนคาลวารีได้ ในสวนเกทเสมนี จอกแห่งความทุกข์สั่นอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ แม้แต่ในขณะนั้นพระองค์ยังอาจจะเช็ดพระเสโทที่เป็นดั่งหยดเลือดออกจากหน้าผากและทิ้งเผ่าพันธุ์มนุษยชาติไว้ให้พินาศในความชั่วก็ได้ หากพระองค์ทรงกระทำเช่นนี้ จะไม่มีการไถ่มนุษย์ที่ล้มลงในบาปให้รอดได้ แต่เมื่อพระผู้ช่วยให้รอดทรงพลีชีพของพระองค์และด้วยลมพระโอษฐ์สุดท้ายร้องขึ้นมาว่า “สำเร็จแล้ว” นั้น แผนการแห่งการไถ่ให้รอดที่เกิดขึ้นจึงผ่านการรับรอง แผ่นดินแห่งพระคุณซึ่งก่อนหน้านี้ดำรงอยู่ได้โดยพระสัญญาของพระเจ้านั้นก็ได้รับการสถาปนาขึ้นหลังจากนั้น {GC 347.2}GCth17 302.2

    ดังนั้น ความตายของพระคริสต์—เหตุการณ์เดียวกันนี้ที่สาวกทั้งหลายมองว่าเป็นการทำลายความหวังของพวกเขาไปโดยสิ้นเชิง—เป็นการทำให้ความหวังของพวกเขาคงอยู่ยั่งยืนไปตลอดกาล ในขณะที่เหตุการณ์นี้นำความผิดหวังอันโหดร้ายมายังพวกเขา กลับเป็นสุดยอดของเหตุการณ์ที่พิสูจน์ว่าความเชื่อของพวกเขาถูกต้อง เหตุการณ์ที่ทำให้พวกเขาทุกข์โศกเศร้าใจและสิ้นหวังนั้น เป็นเหตุการณ์เปิดประตูความหวังให้บุตรทุกคนของอาดัมและเป็นศูนย์กลางของชีวิตภายภาคหน้าและความสุขนิรันดร์สำหรับผู้ที่ซื่อสัตย์ทุกคนของพระเจ้าตลอดทุกยุค {GC 348.1}GCth17 302.3

    พระประสงค์ของพระเมตตาคุณอันไร้ขอบเขตกำลังไปถึงจุดของความสำเร็จถึงแม้โดยผ่านความผิดหวังของสาวกก็ตาม ในขณะที่พระคุณและอำนาจคำสอนของพระเจ้าเอาชนะหัวใจของพวกเขา พระองค์ “ตรัสไม่เหมือนที่มนุษย์พูด” แต่กระนั้นทองคำบริสุทธิ์แห่งความรักของพวกเขาที่มีให้กับพระเยซูระคนอยู่กับอัลลอยด์ไร้ค่าของความยโสฝ่ายโลกและความทะเยอทะยานที่เห็นแก่ตัว แม้ในห้องเลี้ยงฉลองปัสกา ในห่วงเวลาอันเคร่งขรึมนั้นเมื่อพระอาจารย์กำลังดำเนินเข้าไปอยู่ในเงามืดของสวนเกทเสมนี ยัง “มีการโต้เถียงกันในพวกสาวกว่าใครในพวกเขาที่นับว่าเป็นใหญ่” ลูกา 22:24 ภาพในนิมิตของพวกเขานั้นมีแต่บัลลังก์ มงกุฎและพระสิริ ในขณะที่ความอับอายและความระทมทุกข์ของสวน หอพิพากษา กางเขนคาลวารีอยู่เบื้องหน้าพวกเขา ความหยิ่งในหัวใจและความกระหายเกียรติยศทางฝ่ายโลกได้ทำให้พวกเขาเกาะติดอย่างแนบแน่นกับคำสอนผิดในยุคของพวกเขาและละเลยพระคำของพระผู้ช่วยให้รอดไปอย่างไม่ใส่ใจ ซึ่งเป็นพระคำที่แสดงให้เห็นถึงธรรมชาติที่แท้จริงของแผ่นดินของพระองค์และชี้ไปยังเบื้องหน้าถึงความทุกข์ระทมของพระองค์และความตาย และความผิดเหล่านี้นำไปสู่ผลของการทดลอง—ซึ่งแหลมคมแต่จำเป็น—ซึ่งอนุญาตให้เกิดขึ้นเพื่อแก้ไขพวกเขา ถึงแม้ว่าสาวกทั้งหลายเข้าใจความหมายข่าวสารของพวกเขาผิดไป และพลาดที่จะทำให้ความคาดหวังของพวกเขาเกิดขึ้นจริง แต่กระนั้นพวกเขาก็เทศนาเรื่องคำเตือนที่พระเจ้าประทานให้พวกเขาและพระเจ้าจะทรงตอบแทนความเชื่อของพวกเขาและให้เกียรติความเชื่อฟังของพวกเขา พวกเขาได้รับมอบความวางใจเพื่อทำงานประกาศให้คนทุกชาติเรื่องข่าวประเสริฐอันสง่างามของการเป็นขึ้นมาจากความตายของพระเจ้าของพวกเขา ประสบการณ์ขมขื่นที่อนุญาตให้เกิดนั้นมีจุดประสงค์ที่จะเตรียมพวกเขาเพื่องานนี้ {GC 348.2}GCth17 302.4

    ภายหลังที่พระเยซูทรงเป็นขึ้นจากความตายแล้ว พระองค์ทรงปรากฏต่อสาวกของพระองค์บนทางที่มุ่งหน้าไปยังหมู่บ้านเอมมาอูสและ “พระองค์ทรงอธิบายพระคัมภีร์ที่เล็งถึงพระองค์ทุกข้อให้เขาฟัง เริ่มต้นตั้งแต่โมเสสและบรรดาผู้เผยพระวจนะ” ลูกา 24:27 หัวใจของสาวกทั้งสองเร่าร้อน ความเชื่อจุดประกายขึ้นมา พวกเขาได้รับการ “ทรงโปรดให้...บังเกิดใหม่เข้าในความหวังที่ยั่งยืน” 1 เปโตร 1:3 แม้ก่อนที่พระเยซูจะทรงเปิดเผยพระองค์เองให้แก่พวกเขา เป็นพระประสงค์ของพระองค์ที่จะส่องให้ความเข้าใจของเขาสว่างและตรึงความเชื่อของเขาลงบน “คำเผยพระวจนะที่แน่นอนยิ่งกว่านั้นอีก” 2 เปโตร 1:19 พระองค์ทรงปรารถนาที่จะให้ความจริงฝังรากแน่นลงในความนึกคิดของพวกเขา ไม่ใช่เพียงเพราะถูกสนับสนุนด้วยคำพยานส่วนตัวของพระองค์เอง แต่เป็นเพราะหลักฐานที่ปราศจากข้อสงสัยซึ่งถูกนำเสนอให้เห็นด้วยสัญลักษณ์และเงาของกฎระเบียบที่เป็นแบบจำลองและด้วยคำพยากรณ์ของพระคริสตธรรมคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม บรรดาผู้ติดตามพระคริสต์จำเป็นต้องมีความเชื่อที่ฉลาดซึ่งไม่เพียงมีไว้สำหรับตัวเขาเองเท่านั้นแต่เพื่อพวกเขาจะได้นำความรู้เรื่องของพระคริสต์ไปให้แก่โลกด้วย และในขั้นตอนแรกสุดของการให้ความรู้นี้ พระเยซูทรงชี้แนะสาวกทั้งหลายไปยัง “โมเสสและบรรดาผู้เผยพระวจนะ” ด้วยคำพยานในลักษณะนี้นี่เองที่พระผู้ช่วยให้รอดผู้ทรงเป็นขึ้นจากความตายได้ทรงใช้เพื่อกล่าวถึงคุณค่าและความสำคัญของพระคริสตธรรมคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม {GC 349.1}GCth17 303.1

    เกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรเช่นนี้ในหัวใจของสาวกทั้งหลายเมื่อพวกเขามองดูพระพักตร์ของพระอาจารย์ที่พวกเขารักอีกครั้ง ลูกา 24:32 ด้วยสำนึกที่สมบูรณ์และบริบูรณ์กว่าเดิม พวกเขา “พบคนที่โมเสสกล่าวถึงในหนังสือธรรมบัญญัติและคนที่พวกผู้เผยพระวจนะกล่าวถึง” ยอห์น 1:45 ความไม่แน่นอน ความทุกข์ระทม ความสิ้นหวังหลีกทางให้กับความมั่นใจที่บริบูรณ์และความเชื่อที่ไม่มัวหมอง เป็นเรื่องแปลกอะไรเช่นนี้เมื่อภายหลังที่พระองค์เสด็จกลับสวรรค์แล้ว พวกเขา “อยู่ในพระวิหารทุกวัน สรรเสริญพระเจ้า” ตลอดเวลา ลูกา 24:53 ประชาชนที่รู้เพียงแต่ความตายอันน่าอับอายนั้นมองไปยังใบหน้าของพวกเขาเหล่านั้นเพื่อมองดูสีหน้าที่เศร้าสร้อยสับสนและพ่ายแพ้ แต่กลับเห็นความชื่นชมและความมีชัย ช่างเป็นการตระเตรียมอะไรเช่นนี้สำหรับสาวกเหล่านี้เพื่องานที่อยู่ต่อหน้าพวกเขา พวกเขาดำเนินผ่านความทุกข์ยากที่แสนระทมสาหัสซึ่งเป็นประสบการณ์ที่พวกเขาทนได้ และมองเห็นแล้วว่าจะเป็นเช่นไรเมื่อในสายตามนุษย์นั้นทุกสิ่งดูพ่ายแพ้ไปแต่พระคำของพระเจ้ากระทำการสำเร็จอย่างมีชัย นับจากนี้ไปจะมีสิ่งอันใดอีกไหมที่จะมาคุกคามความเชื่อของพวกเขาหรือทำให้ความรักอันเร่าร้อนของเขาเย็นชาลงไป ในความเศร้าใจอันแสนระทม พวกเขาจะ “ได้รับการชูใจอย่างมากมาย” ความหวังที่เปรียบ “เสมือนสมอที่แน่นอนและมั่นคงของจิตใจ” ฮีบรู 6:18, 19 พวกเขาเป็นพยานให้กับพระปัญญาและอำนาจของพระเจ้าและ “แน่ใจว่า แม้ความตายหรือชีวิตหรือบรรดาทูตสวรรค์หรือเทพเจ้าหรือสิ่งซึ่งมีอยู่ในปัจจุบันนี้หรือสิ่งซึ่งจะมีในภายหน้าหรือฤทธิ์เดชทั้งหลาย หรือซึ่งสูงหรือซึ่งลึกหรือสิ่งใดๆ อื่นที่ได้ทรงสร้างแล้ว” จะแยกเราทั้งหลายให้ออกไปจาก “ความรักของพระเจ้าซึ่งมีอยู่ในพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราได้” พวกเขากล่าวต่อไปว่า “ในเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ เรามีชัยเหลือล้นโดยพระองค์ผู้ทรงรักเราทั้งหลาย” โรม 8:38, 39, 37 “พระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้ายั่งยืนอยู่เป็นนิตย์” 1 เปโตร 1:25 และ “ใครจะเป็นผู้ลงโทษอีก พระเยซูคริสต์ผู้สิ้นพระชนม์แล้วหรือ และยิ่งกว่านั้นอีกพระเจ้าทรงให้พระองค์เป็นขึ้นมาจากความตาย พระองค์สถิต ณ เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าและทรงอธิษฐานขอเพื่อเราด้วย” โรม 8:34 {GC 349.2}GCth17 303.2

    องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “ประชากรของเราจะไม่ต้องอับอายอีกต่อไป” โยเอล 2:26 “การร้องไห้อาจจะคงอยู่สักคืนหนึ่ง แต่ความยินดีจะมาเวลาเช้า” สดุดี 30:5 ในวันที่พระองค์ทรงเป็นขึ้นจากความตาย เมื่อสาวกเหล่านี้พบพระผู้ช่วยให้รอดและหัวใจของพวกเขาเร่าร้อนอยู่ภายในขณะที่ฟังพระดำรัสของพระองค์ เมื่อพวกเขามองไปยังพระเศียรและพระหัตถ์และพระบาทที่บาดเจ็บเพื่อเขาทั้งหลายนั้น ก่อนการเสด็จกลับสวรรค์ เมื่อพระเยซูทรงนำพวกเขาไปไกลจนถึงหมู่บ้านเบธานีและชูพระหัตถ์ขึ้นอวยพรพวกเขาและทรงบัญชาว่า “จงออกไปทั่วโลก ประกาศข่าวประเสริฐแก่มนุษย์ทุกคน” และตรัสต่อไปอีกว่า “เราจะอยู่กับท่านทั้งหลายเสมอไป” มาระโก 16:15 มัทธิว 28:20 ในวันเพ็นเทคอสต์เมื่อพระผู้ช่วยที่ทรงโปรดสัญญาไว้นั้นเสด็จมาและประทานอำนาจจากเบื้องบนและจิตวิญญาณของผู้เชื่อต่างตื้นตันด้วยความรู้สึกถึงการทรงสถิตอยู่ด้วยขององค์พระผู้เป็นเจ้าของพวกเขาผู้เสด็จกลับไปสวรรค์แล้วนั้น นับแต่นั้นเป็นต้นมาถึงแม้ทางเดินของพวกเขาจะนำไปสู่การถวายบูชาและการพลีชีพเพราะความเชื่อเช่นเดียวกับพระองค์ พวกเขาจะยอมเอาการรับใช้ข่าวประเสริฐแห่งพระคุณกับ “มงกุฎแห่งความชอบธรรม” 2 ทิโมธี 4:8 ซึ่งจะได้รับเมื่อพระองค์เสด็จมา เพื่อมาแลกกับสง่าราศีของบัลลังก์ฝ่ายโลกซึ่งเคยเป็นความหวังในช่วงต้นของการเป็นสาวกหรือ “พระองค์ผู้ทรงสามารถทำทุกสิ่งได้มากยิ่งกว่าที่ทูลขอหรือคิด” เอเฟซัส 3:20 ทรงโปรดประทานให้พวกเขาเหล่านั้นร่วมทุกข์กับพระองค์ มีส่วนร่วมในความสุขของพระองค์—เป็นความสุขของการ “นำบุตรจำนวนมากไปสู่ศักดิ์ศรี” ฮีบรู 2:10 ความปีติยินดีเป็นล้นพ้นเหลือที่จะกล่าว เป็น “ศักดิ์ศรีนิรันดร์มากมาย” ซึ่งเปาโลกล่าวว่า “เปรียบ” ไม่ได้กับ “ความยากลำบากชั่วคราวและเล็กน้อยของเรา” 2 โครินธ์ 4:17 {GC 350.1}GCth17 304.1

    ประสบการณ์ของเหล่าสาวกที่ประกาศ “ข่าวประเสริฐเรื่องแผ่นดินพระเจ้า” มัทธิว 24:14 ในช่วงการเสด็จมาครั้งที่หนึ่งของพระคริสต์นั้นจะมีให้เห็นอีกในประสบการณ์ของผู้ประกาศข่าวการเสด็จมาครั้งที่สองของพระองค์ ดั่งสาวกที่ออกไปประกาศว่า “เวลากำหนดมาถึงแล้วและแผ่นดินของพระเจ้าก็มาใกล้แล้ว” มาระโก 1:15 มิลเลอร์และเพื่อนออกประกาศว่าช่วงเวลาแห่งคำพยากรณ์ที่ยาวที่สุดและเป็นช่วงสุดท้ายที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์กำลังจะสิ้นสุดแล้ว และเวลาพิพากษากำลังจะมาถึงและอาณาจักรนิรันดร์กำลังจะเข้ามาแล้ว คำเทศนาของสาวกในเรื่องของเวลานั้นวางอยู่บนพื้นฐานเรื่องเจ็ดสิบสัปดาห์ของพระธรรมดาเนียลบทที่ 9 ข่าวสารของมิลเลอร์และเพื่อนประกาศการสิ้นสุดของ 2300 วันของพระธรรมดาเนียล 8:14 ซึ่งมีเจ็ดสิบสัปดาห์เป็นส่วนหนึ่งของช่วงเวลานี้ การเทศนาของแต่ละเรื่องวางอยู่บนพื้นฐานของเหตุการณ์ในแต่ละส่วนที่เกิดขึ้นจริงตรงตามคำพยากรณ์ของช่วงเวลาคำพยากรณ์ยิ่งใหญ่อันเดียวกัน {GC 351.1}GCth17 304.2

    เหมือนเช่นสาวกรุ่นแรก วิลเลียม มิลเลอร์และเพื่อนเองไม่ได้เข้าใจอย่างเต็มที่ถึงความหมายของข่าวสารที่พวกเขาประกาศ ความผิดที่ก่อร่างมาเนิ่นนานในคริสตจักรได้ขัดขวางพวกเขาที่จะไปให้ถึงการแปลความหมายจุดสำคัญของคำพยากรณ์ได้อย่างถูกต้อง ด้วยเหตุนี้ ถึงแม้พวกเขาจะประกาศข่าวสารที่พระเจ้าทรงบัญชาให้พวกเขาประกาศแก่ชาวโลกก็ตามที แต่กระนั้นโดยความเข้าใจความหมายของมันผิดไป พวกเขาจึงตกลงสู่ความผิดหวัง {GC 351.2}GCth17 304.3

    ในการอธิบายพระธรรมดาเนียล 8:14 “อยู่นานสองพันสามร้อยวัน แล้วสถานบริสุทธิ์นั้นจะได้รับการชำระ” TKJV นั้น ตามที่กล่าวมาแล้วว่า มิลเลอร์เอาแนวคิดที่รับกันทั่วไปว่าโลกเป็นสถานบริสุทธิ์ และเขาเชื่อว่าการชำระสถานบริสุทธิ์หมายถึงการชำระโลกให้บริสุทธิ์ด้วยไฟเมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมา ดังนั้นเมื่อเขาค้นพบว่าเวลาสิ้นสุดของ 2300 วันนั้นบอกไว้ล่วงหน้าอย่างแน่นอนแล้ว เขาจึงสรุปว่านี่คือวันของการเสด็จมาครั้งที่สองของพระเยซู ความผิดของเขาเกิดจากการยอมรับแนวคิดนิยมที่ว่าอะไรคือสถานบริสุทธิ์ {GC 352.1}GCth17 305.1

    ในระบบการประกอบพิธีที่เป็นแบบจำลอง ซึ่งเป็นเงาของการถวายบูชาและการเป็นปุโรหิตของพระคริสต์นั้น การชำระวิหารเป็นพิธีสุดท้ายที่มหาปุโรหิตจะปฏิบัติหน้าที่ในการรับใช้ประจำปี พิธีนี้เป็นภารกิจปิดท้ายของการลบมลทินบาป —ซึ่งเป็นการขจัดหรือการนำบาปออกไปจากชนชาติอิสราเอล พิธีนี้ทำให้เห็นภาพในเบื้องหน้าถึงพระราชกิจปิดท้ายของพระมหาปุโรหิตของพวกเราในสวรรค์ในการนำบาปออกไปหรือลบบาปของประชากรของพระองค์ทิ้งไป ซึ่งเป็นบาปที่ถูกบันทึกไว้ในสมุดของสวรรค์ พิธีนี้เกี่ยวข้องกับงานของการพิจารณาตรวจสอบซึ่งเป็นงานของการพิพากษา และมันจะเกิดขึ้นทันทีก่อนการเสด็จมาของพระคริสต์บนเมฆในท้องฟ้าด้วยฤทธานุภาพและทรงพระรัศมีอย่างยิ่ง มัทธิว 24:30 เพราะเมื่อพระองค์เสด็จมา ทุกคดีจะต้องตัดสินเสร็จแล้ว พระเยซูตรัสว่า “เราจะนำบำเหน็จของเรามาด้วยเพื่อตอบแทนตามการกระทำของแต่ละคน” วิวรณ์ 22:12 ภารกิจของการพิพากษานี้ที่จะมีขึ้นก่อนเวลาพระคริสต์เสด็จมาครั้งที่สองเล็กน้อยนั้นเป็นข่าวของทูตสวรรค์องค์ที่หนึ่งในพระธรรมวิวรณ์ 14:7 “จงเกรงกลัวพระเจ้า และถวายพระเกียรติแด่พระองค์ เพราะถึงเวลาที่พระองค์จะทรงพิพากษาแล้ว” {GC 352.2}GCth17 305.2

    ผู้ที่ประกาศคำเตือนนี้ให้ข่าวสารที่ถูกต้องในเวลาที่เหมาะสม แต่เหมือนเช่นสาวกในยุคแรกที่ประกาศว่า “เวลากำหนดมาถึงแล้วและแผ่นดินของพระเจ้าก็มาใกล้แล้ว” นั้น ข่าวของพวกเขาตั้งอยู่บนพื้นฐานคำพยากรณ์ของพระธรรมดาเนียลบทที่ 9 แต่กลับพลาดที่จะมองเห็นว่าพระคัมภีร์เล่มเดียวกันบอกถึงความตายของพระเมสสิยาห์ไว้ล่วงหน้า มิลเลอร์และเพื่อนเทศนาข่าวสารที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของดาเนียล 8:14 และวิวรณ์ 14:7 แต่กลับพลาดที่จะมองเห็นว่ายังมีข่าวอื่นที่ให้มาในพระธรรมวิวรณ์บทที่ 14 ซึ่งต้องประกาศก่อนองค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จกลับมา ดั่งสาวกที่เข้าใจผิดในเรื่องแผ่นดินที่จะมาจัดตั้งเมื่อสิ้นสุด 70 สัปดาห์ ชาวแอ๊ดเวนตีสก็เข้าใจผิดในเรื่องของเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นเมื่อสิ้นสุด 2300 วัน ในทั้งสองกรณีมีการยอมรับหรือค่อนข้างเป็นการยึดติดกับคำสอนผิดที่นิยมกันอย่างแพร่หลายซึ่งทำให้สมองมืดบอดจากความจริง คนทั้งสองกลุ่มนี้กระทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้าด้วยการประกาศข่าวที่พระองค์ทรงปรารถนาให้พวกเขาทำและทั้งสองเข้าใจข่าวสารของพวกเขาเองผิดไปจึงต้องผิดหวัง {GC 352.3}GCth17 305.3

    ถึงกระนั้น พระเจ้าทรงกระทำการสำเร็จตามพระประสงค์แห่งพระเมตตาคุณของพระองค์เองในการทรงอนุญาตให้ข่าวคำเตือนเรื่องการพิพากษาถูกประกาศออกไปเช่นนั้น วันยิ่งใหญ่นั้นกำลังจะมาถึงแล้ว และภายใต้การทรงนำของพระองค์ คนทั้งปวงตกสู่การทดสอบเรื่องของกำหนดเวลาที่เฉพาะ เพื่อจะเปิดให้พวกเขาทั้งหลายมองเห็นว่ามีสิ่งใดอยู่ในหัวใจของพวกเขา ข่าวสารนี้ถูกจัดเตรียมไว้เพื่อทดสอบและชำระคริสตจักรให้บริสุทธิ์ เป็นการนำไปเพื่อให้เห็นว่าความรักของพวกเขานั้นวางอยู่กับโลกนี้หรืออยู่กับพระคริสต์และสวรรค์ พวกเขาต่างอ้างว่ารักพระผู้ช่วยให้รอด บัดนี้จะต้องพิสูจน์ความรักของพวกเขา พวกเขาพร้อมที่จะละทิ้งความหวังและความทะเยอทะยานฝ่ายโลกและต้อนรับด้วยความชื่นชมยินดีในการเสด็จมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าของพวกเขาหรือไม่ ข่าวสารนี้ถูกจัดเตรียมไว้เพื่อให้พวกเขามองเห็นสภาพที่แท้จริงของฝ่ายจิตวิญญาณ เป็นข่าวสารที่ทรงโปรดประทานให้ด้วยความเมตตาเพื่อปลุกพวกเขาให้แสวงหาองค์พระผู้เป็นเจ้าด้วยการกลับใจและความถ่อมตน {GC 353.1}GCth17 306.1

    ถึงแม้ความผิดหวังนี้จะเป็นผลจากการเข้าใจผิดในข่าวสารที่พวกเขาประกาศก็ตาม ความผิดหวังนี้จะต้องถูกลบล้างออกไปตลอดกาลด้วยเช่นกัน ความผิดหวังจะทดสอบหัวใจของบรรดาผู้ที่อ้างว่ายอมรับคำเตือน ในขณะที่เผชิญกับความผิดหวัง พวกเขาหุนหันที่จะละทิ้งประสบการณ์และความวางใจที่มีในพระคำของพระเจ้าหรือไม่ หรือจะแสวงหาด้วยการอธิษฐานและการถ่อมใจเพื่อที่จะรู้ว่าจุดใดของคำพยากรณ์ที่พวกเขาพลาดที่จะเข้าใจ มีสักกี่คนที่ทำไปเนื่องจากความกลัวหรือด้วยความหุนหันและความตื่นเต้น มีสักกี่คนที่ไม่จริงใจและไม่เชื่อ คนมากมายอ้างว่าตนรักที่จะเห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมาปรากฏ แต่เมื่อได้รับการทรงเรียกให้มาร่วมทนทุกข์ การเย้ยหยันและการตำหนิของโลกและบททดสอบของการล่าช้าและความผิดหวังแล้ว พวกเขาจะประกาศยกเลิกความเชื่อหรือไม่ เนื่องจากพวกเขาไม่ได้เข้าใจทันทีถึงวิธีการที่พระเจ้าทรงปฏิบัติต่อพวกเขา พวกเขาจะละทิ้งความจริงที่ถูกสนับสนุนด้วยคำพยานอันโปร่งใสที่สุดจากพระคำของพระองค์หรือไม่ {GC 353.2}GCth17 306.2

    การทดสอบนี้จะเปิดเผยความเข้มแข็งของผู้ที่ปฏิบัติตามด้วยความเชื่อที่แท้จริงในสิ่งที่พวกเขาเชื่อว่าเป็นคำสอนของพระคำและพระวิญญาณของพระเจ้า การทดสอบนี้จะสอนพวกเขาถึงภัยอันตรายของการรับทฤษฎีและการแปลความหมายของมนุษย์แทนที่จะให้พระคัมภีร์อธิบายความหมายตัวเอง มีเพียงประสบการณ์นี้เท่านั้นที่จะสอนเรื่องนี้ได้ สำหรับเหล่าบุตรแห่งความเชื่อแล้ว ความสับสนและความทุกข์โศกเศร้าใจที่มาจากความผิดของเขาเองจะทำงานซึ่งจำเป็นสำหรับการแก้ไข จะนำพวกเขาให้ใส่ใจศึกษาคำพยากรณ์มากยิ่งขึ้น จะเป็นการสอนพวกเขาให้ตรวจสอบพื้นฐานความเชื่ออย่างระมัดระวังและปฏิเสธทุกเรื่องที่ไม่ได้วางอยู่บนพื้นฐานความจริงของพระเจ้าถึงแม้ว่าโลกคริสเตียนจะยอมรับอย่างกว้างขวางเพียงไรก็ตาม {GC 354.1}GCth17 307.1

    สิ่งที่ดูประหนึ่งว่ามืดมนต่อความเข้าใจของผู้เชื่อในห้วงเวลาแห่งการทดลองนั้นจะได้รับความกระจ่างในภายหลังเช่นเดียวกับสาวกรุ่นแรก เมื่อพวกเขาจะเห็นสิ่งที่ “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงทำให้เขาในบั้นปลาย” พวกเขาจะรู้ว่า แม้จะมีการทดลองอันเนื่องจากความเข้าใจผิดของพวกเขา พระประสงค์แห่งรักของพระเจ้าที่มีต่อพวกเขาเกิดขึ้นสม่ำเสมอ พวกเขาจะเรียนรู้โดยประสบการณ์อันจะทำให้เกิดความสุขว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงมีความสงสารและความเมตตากรุณา” และ “พระมรรคาทั้งสิ้นของพระยาห์เวห์เป็นความรักมั่นคงและความสัตย์จริงแก่ผู้ที่รักษาพันธสัญญาและพระโอวาทของพระองค์” ยากอบ 5:11 สดุดี 25:10 {GC 354.2}GCth17 307.2

    *****