Loading...
Larger font
Smaller font
Copy
Print
Contents

สงครามครั้งยิ่งใหญ่

 - Contents
  • Results
  • Related
  • Featured
No results found for: "".
  • Weighted Relevancy
  • Content Sequence
  • Relevancy
  • Earliest First
  • Latest First

    บท 10 - ความก้าวหน้าของการปฏิรูปในประเทศเยอรมนี

    การหายตัวไปอย่างลึกลับของลูเธอร์สร้างความตื่นตระหนกไปทั่วประเทศเยอรมนี เสียงถามหาความเป็นอยู่ของเขาดังขึ้นทุกแห่งหน ข่าวลือที่โหดร้ายที่สุดแพร่สะพัดไปทั่วและหลายคนเชื่อว่าเขาถูกลอบสังหารไปแล้ว มีการร่ำไห้คร่ำครวญอย่างทุกข์ระทมไม่เพียงในหมู่มิตรร่วมสาบานทั้งหลายแต่รวมถึงผู้ที่ไม่เปิดเผยตัวเองว่ายืนเข้าข้างการปฏิรูปศาสนา หลายคนเอ่ยปากปฏิญาณกับตนเองว่าจะแก้แค้นให้กับการตายของลูเธอร์ {GC 185.1}GCth17 151.1

    ผู้นำชาวโรมันมองดูด้วยความหวาดผวาถึงความรู้สึกต่อต้านพวกตนที่เพิ่มมากขึ้น แม้ว่าในช่วงแรกพวกเขาจะยินดีปรีดากับการตายของลูเธอร์ตามที่สันนิษฐานไว้ก็ตาม แต่ไม่นานต่อมาพวกเขาปรารถนาที่จะหลบออกไปจากความโกรธแค้นของประชาชน ศัตรูของเขาไม่ได้เป็นทุกข์มากนักจากการกระทำอันกล้าหาญที่สุดของเขาที่ผ่านมาในขณะที่เขาอยู่ท่ามกลางพวกเขาเมื่อเปรียบเทียบกับตอนที่เขาถูกกำจัดออกไปแล้ว ความกลัวเข้ามาครอบงำพวกที่โกรธแค้นและพากเพียรที่จะทำลายนักปฏิรูปผู้กล้าคนนี้ซึ่งในเวลานี้กลายเป็นผู้ต้องขังที่ช่วยตัวเองไม่ได้ มีคนหนึ่งพูดว่า “มีอยู่ทางเดียวที่จะช่วยพวกเราให้รอดได้คือให้จุดคบเพลิงและค้นหาลูเธอร์ทั่วทั้งโลก เพื่อนำเขากลับคืนมาให้แก่ประชาชาติที่ตามหาเขาอยู่” D’Aubigné เล่มที่ 9 บทที่ 1 คำสั่งของจักรพรรดิดูประหนึ่งว่าไม่มีอำนาจ บรรดาผู้แทนของพระสันตะปาปาโกรธแค้นจัดเมื่อพวกเขาเห็นว่ามีคนสนใจพวกเขาน้อยกว่าจุดจบของลูเธอร์เสียอีก {GC 185.2}GCth17 151.2

    ข่าวเรื่องที่ว่าเขาปลอดภัย แม้จะกลายเป็นนักโทษทำให้ความกลัวของประชาชนสงบลง แต่ยิ่งปลุกเร้าความสนใจที่จะชื่นชมเขาต่อไป มีการอ่านผลงานเขียนของเขาด้วยความกระตือรือร้นมากกว่าเดิม มีคนจำนวนเพิ่มขึ้นมาเข้าร่วมอุดมการณ์ของชายผู้กล้าหาญที่กล้ายืนขึ้นปกป้องพระวจนะของพระเจ้าในสภาพที่เสี่ยงภัยเช่นนี้ ความเข้มแข็งของการปฏิรูปศาสนาเพิ่มขึ้นอย่างไม่ลดละ เมล็ดที่ลูเธอร์หว่านไปแล้วนั้นงอกขึ้นในทุกแห่งหน การหายตัวของเขาทำให้งานหนึ่งสำเร็จซึ่งหากเขายังปรากฏตัวอยู่อาจทำไม่สำเร็จก็ได้ คนทำงานอื่นๆ ตระหนักถึงความรับผิดชอบใหม่ที่เกิดขึ้นซึ่งบัดนี้ผู้นำยิ่งใหญ่ของพวกเขาถูกกำจัดออกไปจากพวกเขา ด้วยความเชื่อและความกระตือรือร้นที่ใหม่ พวกเขารุกคืบไปข้างหน้าด้วยกำลังของเขาเท่าที่จะทำได้เพื่องานซึ่งเริ่มขึ้นอย่างงามสง่าจะได้ไม่ถูกขัดขวาง {GC 185.3}GCth17 151.3

    แต่ซาตานไม่ได้อยู่นิ่งเฉย บัดนี้มันหันมาใช้ความพยายามที่เคยทำมาแล้วในทุกขบวนการของการปฏิรูปอื่นๆ นั่นคือการหลอกลวงและการทำลายประชาชนด้วยวิธีตบตาเอาของเทียมมาแทนของแท้ ดั่งในคริสตจักรของศตวรรษที่หนึ่งที่มีพระคริสต์เทียมเท็จ ในศตวรรษที่สิบหกก็มีผู้เผยพระวจนะจอมปลอมด้วยเช่นกัน {GC 186.1}GCth17 152.1

    มีชายอยู่จำนวนหนึ่งที่ได้ผลกระทบจากความตื่นเต้นในโลกของศาสนา พวกเขาจินตนาการนึกว่าตนได้รับการเปิดเผยพิเศษจากสวรรค์และอ้างว่าได้รับการบัญชาจากพระเจ้าให้สานต่อการปฏิรูปศาสนาที่ลูเธอร์เริ่มต้นอย่างบอบบางให้สำเร็จ ความจริงพวกเขากำลังจะรื้อถอนงานที่ลูเธอร์ทำเสร็จสิ้นไปแล้ว พวกเขาปฏิเสธหลักการยิ่งใหญ่ซึ่งเป็นรากฐานของงานการปฏิรูปศาสนา ที่ว่าพระวจนะของพระเจ้าเป็นกฎแห่งความเชื่อและการปฏิบัติที่ครบถ้วนบริบูรณ์ รวมทั้งยังเอามาตรฐานของความคิดและความรู้สึกที่เปลี่ยนแปลงได้และไม่แน่นอนของพวกตนไปแทนที่พระวจนะซึ่งไม่ผิดพลาด ด้วยวิธีนี้ พวกเขาเคลื่อนย้ายเครื่องจับเท็จของพระเจ้าและเปิดทางสะดวกให้ซาตานนำความเท็จมาควบคุมสติปัญญาของมนุษย์ตามที่มันพึงพอใจ {GC 186.2}GCth17 152.2

    หนึ่งในพวกผู้เผยพระวจนะเหล่านี้อ้างว่าตนได้รับการชี้แนะจากทูตสวรรค์กาเบรียล นักเรียนคนหนึ่งซึ่งเข้าร่วมกับเขาและได้ละทิ้งการเรียนไป เปิดเผยว่าพระเจ้าเองประทานพระปัญญาของพระองค์แก่เขาเพื่ออธิบายพระวจนะของพระองค์ ส่วนคนอื่นๆ ที่มีแนวโน้มไปในทางความคลั่งไคล้ก็เข้าร่วมกับพวกเขา การดำเนินการของผู้สนับสนุนเหล่านี้ก่อให้เกิดความตื่นเต้นไม่น้อย การเทศนาของลูเธอร์ที่ผ่านมาได้ปลุกประชาชนทุกแห่งหนให้ตระหนักถึงความจำเป็นที่ต้องปฏิรูป แต่ในเวลานี้คนที่จริงใจอย่างแท้จริงบางคนกลับถูกเล่ห์เหลี่ยมของผู้เผยพระวจนะใหม่นำไปในทางผิด {GC 186.3}GCth17 152.3

    ผู้นำของขบวนการนี้มุ่งหน้าไปยังเมืองวิตเทนเบิร์กและเร่งเร้าคำอ้างของพวกเขาให้กับเมลังค์ธอนและผู้ร่วมงานของเขา พวกเขาพูดว่า “พระเจ้าทรงจัดส่งเรามาให้สอนประชาชน เราได้สนทนาด้วยความสนิทสนมกับพระเจ้า เรารู้ดีว่าอะไรจะเกิดขึ้น กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ เราเป็นอัครทูตและผู้เผยพระวจนะ และจะมาอ้อนวอน ดร. ลูเธอร์” Ibid. เล่มที่ 9 บทที่ 7 {GC 187.1}GCth17 152.4

    นักปฏิรูปศาสนาทั้งหลายรู้สึกแปลกใจและงุนงง เป็นเรื่องที่พวกเขาไม่เคยเผชิญหน้ามาก่อนและพวกเขาไม่รู้ว่าจะปฏิบัติตามแนวทางใดดี เมลังค์ธอนพูดขึ้นมาว่า “แน่นอนทีเดียว ชายเหล่านี้มีวิญญาณพิเศษอยู่ด้วยแต่เป็นวิญญาณประเภทใด.....ในทางหนึ่งให้เราระวังอย่าไปดับพระวิญญาณของพระเจ้าและอีกทางหนึ่งก็อย่าให้วิญญาณของซาตานนำเราให้หลงทาง” Ibid. เล่มที่ 9 บทที่ 7 {GC 187.2}GCth17 152.5

    ผลของคำสอนใหม่ปรากฏให้เห็นในเร็ววัน คำสอนนี้นำประชาชนให้ละเลยหรือแม้กระทั่งทิ้งพระคัมภีร์ไปโดยสิ้นเชิง โรงเรียนตกสู่สภาพโกลาหล นักเรียนปัดทิ้งการควบคุมทั้งหมด ละทิ้งการเรียนและถอนตัวออกจากมหาวิทยาลัย กลุ่มคนที่คิดว่าตนมีความสามารถฟื้นฟูและควบคุมงานของการปฏิรูปศาสนาเกือบนำอุดมการณ์นี้ไปสู่ความหายนะอย่างสมบูรณ์ บัดนี้เหล่าผู้นิยมลัทธิโรมันได้ความมั่นใจกลับคืนมาและร้องอุทานด้วยความปรีดาว่า “การต่อสู้อยู่ขั้นสุดท้ายแล้วและทั้งหมดก็จะตกเป็นของเรา” Ibid. เล่มที่ 9 บทที่ 7 {GC 187.3}GCth17 153.1

    ที่เมืองวาร์ตบูร์ก เมื่อลูเธอร์ได้ยินสิ่งที่เกิดขึ้น ก็พูดด้วยความห่วงใยอย่างสุดซึ้งว่า “ข้าพเจ้าคาดคะเนอยู่เสมอว่า ซาตานจะส่งภัยพิบัตินี้มาให้เรา” Ibid. เล่มที่ 9 บทที่ 7 เขามองเห็นธาตุแท้ของผู้เผยพระวจนะเสแสร้งเหล่านั้นและมองเห็นภัยอันตรายที่คุกคามอุดมการณ์ของสัจธรรม การต่อต้านของพระสันตะปาปาและของจักรพรรดิไม่ได้ทำให้เขางุนงงและเป็นทุกข์เหมือนที่เป็นอยู่ในขณะนี้ ศัตรูเลวร้ายที่สุดออกมาจากกลุ่มคนที่อ้างว่าตนเป็นมิตรของการปฏิรูปศาสนา สัจธรรมอันเดียวกันนี้ที่เคยนำความชื่นชมยินดีและกำลังใจมาให้เขากำลังถูกนำมาก่อความอลหม่านและสร้างความสับสนให้เกิดขึ้นในคริสตจักร {GC 187.4}GCth17 153.2

    ในงานของการปฏิรูป พระวิญญาณของพระเจ้าเคยนำลูเธอร์ให้รุกคืบหน้ามาแล้วและก้าวรุดล้ำเกินหน้าตัวเขาเองไป เขาไม่ได้เสนอตัวที่จะมาทำหน้าที่ที่เขาทำแล้วนี้หรือทำการเปลี่ยนแปลงที่รุนแรงเช่นนี้ เขาเป็นเพียงภาชนะในพระหัตถ์ของพระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพอันไร้ขอบเขต แต่กระนั้นเขาจะหวั่นวิตกกับผลของงานอยู่เสมอ เขาเคยพูดครั้งหนึ่งว่า “หากข้าพเจ้ารู้ว่าคำสอนของข้าพเจ้าจะไปทำให้คนหนึ่งเจ็บเพียงคนเดียว ไม่ว่าจะเป็นคนที่ต่ำต้อยหรือไม่มีชื่อเสียง ซึ่งเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เพราะเป็นข่าวประเสริฐเอง—ข้าพเจ้าจะยอมตายสิบครั้งดีกว่าที่จะไม่ถอนคำพูด” Ibid. เล่มที่ 9 บทที่ 7 {GC 188.1}GCth17 153.3

    ในเวลานี้ที่เมืองวิตเทนเบิร์กเอง จุดศูนย์กลางของงานการปฏิรูปศาสนากำลังตกสู่อำนาจของความบ้าคลั่งและไร้กฎระเบียบ สภาพอันน่ากลัวเช่นนี้ไม่ได้เกิดจากคำสอนของลูเธอร์ แต่ทั่วทั้งประเทศเยอรมนี ศัตรูของเขากำลังระดมกล่าวหาเขาว่าเป็นต้นเหตุ ด้วยความขมขื่นในจิตวิญญาณเขาถามขึ้นในบางครั้งว่า “งานปฏิรูปศาสนาอันยิ่งใหญ่นี้จะจบลงในลักษณะเช่นนี้หรือ” Ibid. เล่มที่ 9 บทที่ 7 อีกครั้งที่เมื่อเขาปล้ำสู้กับพระเจ้าในคำอธิษฐาน สันติสุขหลั่งไหลเข้าไปในจิตใจของเขา เขาพูดว่า “งานนี้ไม่ใช่เป็นงานของข้าพเจ้าแต่เป็นของพระองค์เอง พระองค์คงไม่ปล่อยให้ความงมงายหรือความคลั่งไคล้มากัดกร่อนพระราชกิจนี้” เขาไม่อาจทนรับกับความคิดที่ยอมนิ่งเฉยไม่ทำอะไรกับความขัดแย้งในวิกฤตเช่นนี้อีกต่อไป จึงตัดสินใจกลับไปเมืองวิตเทนเบิร์ก {GC 188.2}GCth17 153.4

    เขาเริ่มออกเดินทางเสี่ยงภัยครั้งนี้โดยไม่รีรอ เขาอยู่ภายใต้คำสั่งต้องห้ามของอาณาจักร ศัตรูมีสิทธิเสรีที่จะปลิดชีวิตของเขาได้ มิตรสหายได้รับคำสั่งห้ามเกื้อหนุนหรือให้ที่เขาพักพิง รัฐบาลของจักรพรรดิกำลังใช้วิธีกวดขันเข้มงวดที่สุดกับผู้ติดตามของเขา แต่เขาเห็นว่างานของการประกาศข่าวประเสริฐกำลังตกอยู่ในอันตรายและในพระนามของพระเจ้าเขาจึงออกไปต่อสู้ในสงครามเพื่อสัจธรรมอย่างไม่เกรงกลัว {GC 188.3}GCth17 154.1

    ในจดหมายฉบับหนึ่งที่เขียนถึงอิเล็กเตอร์ ลูเธอร์ทูลถึงจุดประสงค์ของเขาที่จะออกจากเมืองวาร์ตบูร์กว่า “ขอกราบทูลให้ฝ่าพระบาททราบว่าข้าพเจ้ากำลังจะเดินทางไปเมืองวิตเทนเบิร์กภายใต้การคุ้มครองที่เหนือกว่าทั้งของขุนนางและอิเล็กเตอร์ทั้งหลาย ข้าพเจ้าไม่ได้คิดที่จะทูลขอการสนับสนุนของฝ่าพระบาทและยิ่งไม่ปรารถนาที่จะขอการคุ้มครองของท่าน ข้าพเจ้าประสงค์ที่จะปกป้องตัวเอง หากข้าพเจ้าทราบว่าฝ่าพระบาทจะสามารถปกป้องและจะปกป้องข้าพเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าคงจะไม่มุ่งหน้าไปยังเมืองวิตเทนเบิร์กเลย ไม่มีดาบอันใดที่จะสานต่ออุดมการณ์นี้ได้ พระเจ้าเท่านั้นที่จะทรงกระทำทุกสิ่งโดยไม่ต้องการช่วยเหลือหรือความเห็นชอบของมนุษย์ ผู้ที่มีความเชื่อยิ่งใหญ่ที่สุดจะเป็นผู้ที่ปกป้องได้ดีที่สุด” Ibid. เล่มที่ 9 บทที่ 8 {GC 188.4}GCth17 154.2

    ในจดหมายฉบับที่สองที่เขียนในระหว่างการเดินทางไปเมืองวิตเทนเบิร์ก ลูเธอร์เขียนเพิ่มเติมว่า “ข้าพเจ้าพร้อมที่จะรับความไม่พอพระทัยของฝ่าพระบาทและความโกรธของคนทั้งโลก คนเมืองวิตเทนเบิร์กไม่ใช่ลูกแกะของข้าพเจ้าหรือ พระเจ้าไม่ได้ทรงมอบพวกเขามาอยู่ภายใต้การดูแลของเราหรือและหากจำเป็น ไม่ควรหรือที่ข้าพเจ้าจะต้องเสี่ยงตายเพื่อเขาทั้งหลาย นอกจากนี้แล้วข้าพเจ้ากลัวที่จะเห็นการจลาจลที่น่ากลัวเกิดขึ้นในประเทศเยอรมนีซึ่งเป็นวิธีที่พระเจ้าจะทรงใช้ในการลงโทษบ้านเมืองของเรา” Ibid. เล่มที่ 9 บทที่ 7 {GC 189.1}GCth17 154.3

    ด้วยความระมัดระวังและความถ่อมตนแต่กระนั้นด้วยการตัดสินใจอย่างแน่วแน่และเข้มแข็ง เขาก้าวเข้าสู่งานของเขา เขาพูดว่า “ เราจะต้องใช้คำพูดปราบและทำลายสิ่งที่เกิดขึ้นจากความรุนแรง ข้าพเจ้าจะไม่ใช้กำลังต่อต้านความงมงายและความไม่เชื่อ.....ไม่มีผู้ใดจะต้องถูกบังคับฝืนใจ เสรีภาพเป็นแก่นแท้ของความเชื่อ” Ibid. เล่มที่ 9 บทที่ 8 {GC 189.2}GCth17 154.4

    ในไม่ช้ามีข่าวกระจายไปทั่วเมืองวิตเทนเบิร์กว่าลูเธอร์กลับมาแล้วและจะมาเทศนา ประชาชนเดินทางมาจากทั่วสารทิศและเข้ามาในโบสถ์จนล้นโบสถ์ ลูเธอร์ก้าวขึ้นสู่ธรรมาสน์ เขาเทศนา สอนสั่งและเตือนด้วยพระปัญญายิ่งใหญ่และความอ่อนโยน เขาพูดถึงวิถีของบางคนที่เข้าหาวิธีการรุนแรงเพื่อลบล้างพิธีมิสซา เขาพูดว่า {GC 189.3}GCth17 154.5

    “พิธีมิสซานั้นเป็นสิ่งไม่ดี เป็นพิธีที่พระเจ้าทรงต่อต้าน ควรที่จะกำจัดทิ้งไป และข้าพเจ้าปรารถนาว่าทั่วทั้งโลกควรเอางานเลี้ยงแห่งข่าวประเสริฐเข้ามาแทน แต่อย่าเอากำลังแยกผู้ใดออกมา เราจะต้องปล่อยเรื่องนี้ให้อยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า พระวจนะของพระเจ้าจะเป็นผู้กระทำ ไม่ใช่ด้วยคำพูดของเราและทำไมจึงเป็นเช่นนี้ ท่านจะถาม เพราะข้าพเจ้าไม่ได้กำหัวใจของมนุษย์ไว้ในมือของข้าพเจ้าเหมือนดินในมือของช่างปั้นหม้อ เรามีสิทธิที่จะพูด เราไม่มีสิทธิที่จะลงมือทำ ให้เราเทศนา ส่วนงานที่เหลือเป็นของพระเจ้า หากข้าพเจ้าจะใช้กำลังข้าพเจ้าจะได้ประโยชน์อะไร หน้าตาบูดบึ้ง พิธีรีตรอง ถูกล้อเลียน กฎระเบียบของมนุษย์ และความหน้าซื่อใจคด.......แต่จะไม่มีความจริงใจหรือความเชื่อหรือความรัก เมื่อขาดสามสิ่งนี้แล้ว ทุกสิ่งก็จะพร่องไปด้วยและข้าพเจ้าจะไม่ยอมแลกกิ่งหนึ่งของต้นแพร์กับผลเช่นนี้......พระเจ้าทรงกระทำการด้วยพระวจนะของพระองค์เพียงอย่างเดียวได้มากกว่าที่ท่านและข้าพเจ้าและคนทั้งโลกร่วมแรงลงมือทำ พระเจ้าทรงสัมผัสที่หัวใจและเมื่อทรงกำหัวใจได้แล้ว ทุกสิ่งก็จะมีชัย.......{GC 189.4}GCth17 155.1

    “ข้าพเจ้าจะเทศนา ปรึกษาหารือกันและเขียน แต่ข้าพเจ้าจะไม่บังคับผู้ใด เพราะความเชื่อเป็นการกระทำที่ทำด้วยความสมัครใจ ให้คิดตามดูว่าข้าพเจ้าทำอะไรไปบ้าง ข้าพเจ้าลุกขึ้นต่อต้านพระสันตะปาปา ใบลบมลทินบาป และบรรดาผู้นิยมระบอบเปปาซี แต่ปราศจากความรุนแรงหรือเอะอะโวยวาย ข้าพเจ้านำเสนอพระวจนะของพระเจ้า ข้าพเจ้าเทศนาและเขียน นี่คือสิ่งทั้งหมดที่ข้าพเจ้าทำ และกระนั้นในขณะที่ข้าพเจ้านอนหลับอยู่.....พระวจนะที่ข้าพเจ้าเทศนาไปนั้นได้ล้มล้างหลักคำสอนและพิธีกรรมของระบอบเปปาซี จนแม้เจ้าชายหรือจักรพรรดิก็ไม่เคยอาจทำลายล้างได้มากเท่านี้และกระนั้นข้าพเจ้าไม่ได้ทำอะไรเลย พระวจนะทำงานนี้โดยลำพัง หากข้าพเจ้าปรารถนาที่จะเข้าพึ่งการใช้กำลังแล้ว ทั้งประเทศเยอรมนีคงนองเลือดไปแล้ว แต่ผลจะเป็นเช่นไร ความเสียหายและความพินาศทั้งต่อร่างกายและจิตวิญญาณ ข้าพเจ้าจึงนิ่งเงียบไว้และปล่อยให้พระวจนะแพร่กระจายไปทั่วโลกตามลำพัง” Ibid. เล่มที่ 9 บทที่ 8 {GC 190.1}GCth17 155.2

    วันแล้ววันเล่า ตลอดทั้งสัปดาห์ ลูเธอร์เทศนาให้กับฝูงชนที่สนใจต่อไป พระวจนะของพระเจ้าสลายมนตร์ขลังของความคลั่งไคล้ในศาสนา อำนาจของข่าวประเสริฐนำประชาชนที่หลงผิดให้กลับมาสู่เส้นทางแห่งสัจธรรม {GC 190.2}GCth17 155.3

    ลูเธอร์ไม่ปรารถนาที่จะเผชิญหน้ากับผู้ที่คลั่งศาสนาซึ่งวิธีของพวกเขาคือการสร้างความเลวทรามต่ำช้า เขารู้ว่าคนเหล่านี้เป็นคนที่มีแนวทางการตัดสินใจที่ไม่มั่นคงและมีอารมณ์ที่ควบคุมไม่ได้ เป็นคนที่อ้างตนว่าได้รับความกระจ่างจากสวรรค์ส่องลงมาเป็นพิเศษแต่จะไม่ยอมทนกับความขัดแย้งแม้เพียงเล็กน้อยที่สุดหรือแม้แต่การเตือนสอนและคำแนะนำอย่างเมตตาที่สุด พวกเขาอ้างตนอย่างอวดดีว่ามีอำนาจสูงสุด และกำหนดให้ทุกคน ต้องยอมรับคำกล่าวอ้างของพวกเขาโดยปราศจากข้อสงสัยใดๆ แต่เมื่อพวกเขายื่นคำขาดที่จะขอสัมภาษณ์เขา [ลูเธอร์] เขาก็ตอบตกลงที่จะพบพวกเขาและถือโอกาสเปิดโปงเล่ห์เหลี่ยมการหลอกลวงของพวกเขาได้สำเร็จ จนคนหลอกลวงเหล่านั้นต้องออกจากเมืองวิตเทนเบิร์กทันที {GC 190.3}GCth17 155.4

    พวกคลั่งศาสนาถูกหยุดยั้งไปชั่วขณะหนึ่ง แต่หลายปีต่อมาเหตุการณ์เกิดปะทุขึ้นมาอย่างรุนแรงมากกว่าและให้ผลลัพธ์ที่น่ากลัวกว่านี้ ลูเธอร์กล่าวถึงเรื่องผู้นำในการเคลื่อนไหวนี้ว่า “สำหรับพวกเขาแล้ว พระคัมภีร์เป็นเพียงจดหมายที่ตายไปแล้วฉบับหนึ่ง และพวกเขาทั้งหมดเริ่มร้องว่า ‘พระวิญญาณ พระวิญญาณ’ แน่นอนที่สุด ข้าพเจ้าจะไม่ตามไปสถานที่ซึ่งพระวิญญาณของพวกเขานำไป ขอพระเจ้าแห่งความเมตตาโปรดทรงคุ้มครองข้าพเจ้าให้พ้นจากคริสตจักรที่ไม่มีผู้ใดนอกจากนักบุญ ข้าพเจ้าปรารถนาที่จะอยู่กับคนถ่อมตนอ่อนแอ คนเจ็บป่วยที่รู้และสำนึกบาปของตนเอง และเป็นผู้ที่โอดครวญและร้องต่อพระเจ้าจากก้นบึ้งของหัวใจอยู่เสมอเพื่อจะได้รับการปลอบประโลมใจและการสนับสนุนของพระองค์” Ibid. เล่มที่ 10 บทที่ 10 {GC 190.4}GCth17 156.1

    โธมัส มูนเซอร์ เป็นคนคลั่งศาสนารุนแรงที่สุดคนหนึ่ง เขาเป็นคนที่มีความสามารถมากมายซึ่งหากนำพาในแนวทางที่ถูกต้องจะช่วยเขาให้กระทำการดีได้ แต่เขาไม่ได้เรียนรู้หลักการแท้จริงอันดับแรกของศาสนา “เขาถูกครอบงำด้วยความปรารถนาที่จะปฏิรูปโลกและเหมือนเช่นผู้ศรัทธาอย่างแรงกล้าทั้งหลายที่ลืมไปว่าการปฏิรูปจะต้องเริ่มต้นที่ตัวเขาเอง” Ibid. เล่มที่ 9 บทที่ 8 เขามีความทะเยอทะยานอยากได้ตำแหน่งและบารมี และไม่ยอมที่จะเป็นรองแม้ต่อลูเธอร์ เขาประกาศว่านักปฏิรูปศาสนาที่นำพระคัมภีร์เข้ามาแทนอำนาจของพระสันตะปาปานั้นเพียงแต่กำลังจัดตั้งหลักคำสอนและพิธีกรรมของระบอบเปปาซีรูปแบบใหม่เท่านั้น เขาอ้างว่าตัวเขาเองได้รับการบัญชาจากพระเจ้าให้นำเสนอการปฏิรูปที่แท้จริง มูนเซอร์กล่าวว่า “ผู้ที่มีวิญญาณนี้จะประกอบด้วยความเชื่อที่แท้จริงแม้ในชีวิตของเขาจะไม่เคยเห็นพระคัมภีร์ก็ตาม” Ibid. เล่มที่ 10 บทที่ 10 {GC 191.1}GCth17 156.2

    ครูของพวกคลั่งศาสนายอมปล่อยตนเองให้อยู่ในการควบคุมของความประทับใจโดยถือว่าทุกความคิดและแรงกระตุ้นเป็นพระสุรเสียงของพระเจ้า ผลที่ตามมาคือคนเหล่านี้กลายเป็นพวกสุดขั้ว บางคนถึงกับเผาพระคัมภีร์ของตนทิ้ง พร้อมกับร้องอุทานว่า “ตัวอักษรฆ่าชีวิตแต่พระวิญญาณประทานชีวิต” คำสอนของมูนเซอร์ถูกอกถูกใจความปรารถนาของมนุษย์ที่ต้องการสิ่งที่น่าพิศวงในขณะเดียวกันก็สนองต่อความหยิ่งทะนงโดยนำความคิดและความเห็นของมนุษย์มาอยู่เหนือพระวจนะของพระเจ้า คนนับพันต้อนรับคำสอนของเขา ในไม่ช้าเขาประณามระเบียบทั้งหมดของการนมัสการในที่สาธารณะและประกาศว่าการเชื่อฟังขุนนางทั้งหลายจะเป็นความพยายามในการรับใช้ทั้งพระเจ้าและพระเบลีอัล {GC 191.2}GCth17 156.3

    สติปัญญาของประชาชนที่ได้เริ่มทิ้งแอกจากการปกครองของระบอบเปปาซีนั้นก็เริ่มไม่อดทนต่อการอยู่ภายใต้การควบคุมของอำนาจรัฐเช่นกัน คำสอนแบบปฏิวัติของมูนเซอร์ที่อ้างว่ามาจากพระเจ้านำพวกเขาตีตัวออกห่างจากกฎระเบียบทั้งปวงและปล่อยการตัดสินใจไว้กับอคติและตัณหา ภาพน่ากลัวและโหดร้ายที่สุดของความไม่สงบและความขัดแย้งก็เกิดขึ้นตามมาและทุ่งนาของประเทศเยอรมนีก็จมอยู่ในกองเลือด {GC 191.3}GCth17 156.4

    ความระทมทุกข์ของจิตวิญญาณที่ลูเธอร์เคยประสบก่อนหน้านั้นเนิ่นนานมาแล้วที่เมืองเออร์เฟิร์ท บัดนี้มาทับถมทวีคูณลงบนตัวเขาเมื่อเขาเห็นผลลัพธ์ของความคลั่งศาสนากระทำต่อขบวนการปฏิรูปศาสนา ขุนนางที่นิยมระบอบเปปาซีประกาศว่าการจลาจลเป็นผลอันถูกต้องตามหลักคำสอนของลูเธอร์ และมีขุนนางอีกมากมายพร้อมที่จะสนับสนุน แม้ว่าข้อกล่าวหานี้จะปราศจากรากฐานแม้แต่น้อย แต่ก็เป็นเรื่องที่สร้างแต่ความทุกข์ระทมให้แก่ลูเธอร์ การที่อุดมการณ์ของสัจธรรมต้องมารับความอับอายขายหน้าด้วยการถูกจัดให้เทียบเท่ากับความคลั่งศาสนาอันต่ำช้าที่สุดเช่นนี้ดูเหมือนจะเกินกว่าที่เขาจะทนได้ ในอีกทางหนึ่งผู้นำของการจลาจลเกลียดชังลูเธอร์ เพราะเขาไม่เพียงต่อต้านคำสอนของพวกตนและปฏิเสธคำอ้างของพวกตนที่บอกว่าได้รับการดลใจจากเบื้องบนเท่านั้นแต่ยังประกาศว่าพวกตนเป็นกบฏต่ออำนาจรัฐอีกด้วย คนเหล่านี้โต้ด้วยการประณามเขาว่าเป็นผู้หลอกลวงที่ต่ำช้า ดูเหมือนว่าเขาจะได้สร้างศัตรูให้แก่ตัวเองทั้งจากทางฝ่ายขุนนางและฝ่ายประชาชน {GC 192.1}GCth17 157.1

    บรรดาผู้นิยมลัทธิโรมันพากันยินดีปรีดาคาดว่าคงจะได้เห็นการล่มสลายอย่างรวดเร็วของขบวนการปฏิรูปศาสนาและพวกเขาโยนความผิดให้แก่ลูเธอร์ แม้กระทั่งความผิดที่เขาเคยพากเพียรอย่างจริงใจในการแก้ไข พวกคลั่งศาสนาประสบความสำเร็จได้รับความเห็นใจจากคนกลุ่มใหญ่ด้วยการอ้างความเท็จว่าถูกกระทำอย่างไร้ความยุติธรรม และก็มักจะเป็นเช่นนี้กับผู้เข้าข้างฝ่ายที่ผิดคือพวกเขากลับถูกยกย่องว่าเป็นผู้ที่ยอมพลีชีพ ด้วยเหตุนี้ ผู้ที่ลงแรงต่อต้านการปฏิรูปศาสนากลับได้รับความสงสารและยกย่องว่าเป็นเหยื่อของความโหดร้ายและการกดขี่ข่มเหง นี่เป็นงานของซาตานที่กระตุ้นด้วยวิญญาณของการกบฏซึ่งเป็นอันเดียวกันกับที่เกิดขึ้นครั้งแรกในสวรรค์ {GC 192.2}GCth17 157.2

    ซาตานเพียรพยายามอยู่ตลอดเวลาที่จะหลอกลวงมนุษย์และนำพวกเขาให้เรียกบาปเป็นความชอบธรรม มารทำงานนี้ได้ผลสำเร็จอย่างดียิ่ง บ่อยครั้งการจับผิดและการต่อว่าถูกโยนใส่ผู้รับใช้ซื่อสัตย์ของพระเจ้าเพราะพวกเขายืนหยัดปกป้องสัจธรรม มนุษย์ที่เป็นเพียงสมุนของซาตานกลับได้รับคำสรรเสริญและคำเยินยอและแม้กระทั่งถูกมองว่าเป็นผู้ยอมพลีชีพ ในขณะพวกที่ควรได้รับความเคารพและยกย่องเนื่องจากความซื่อสัตย์ต่อพระเจ้ากลับถูกละเลยให้ยืนอย่างเดียวดายภายใต้ความสงสัยและความแคลงใจ {GC 192.3}GCth17 157.3

    ความบริสุทธิ์ที่จอมปลอม การชำระบริสุทธิ์ที่หลอกลวง ยังคงทำงานของมันในการล่อลวง ภายใต้รูปแบบต่างๆนานา เล่ห์เหลี่ยมเหล่านี้ยังคงเปิดเผยถึงวิญญาณเดิมเช่นเดียวกับในสมัยของลูเธอร์ เพื่อหันเหจิตใจออกห่างจากพระคัมภีร์และนำมนุษย์ให้ติดตามความคิดและความรู้สึกของตนเองมากกว่าที่จะยอมเชื่อฟังพระบัญญัติของพระเจ้า นี่เป็นเครื่องมือหนึ่งของซาตานที่ทำงานได้อย่างเกิดผลที่สุดด้วยการโยนคำตำหนิใส่ความบริสุทธิ์และสัจธรรม {GC 193.1}GCth17 157.4

    ลูเธอร์ปกป้องข่าวประเสริฐจากการถูกโจมตีจากทุกชนชั้นอย่างไม่เกรงกลัว พระวจนะของพระเจ้าผ่านการพิสูจน์จากทุกความขัดแย้งแล้วว่าเป็นอาวุธอันทรงอานุภาพ ด้วยพระวจนะนั้นเขาต่อสู้กับอำนาจที่ปล้นมาของพระสันตะปาปาและปรัชญาแห่งเหตุผลของนักวิชาการ ในขณะที่เขาปักหลักอย่างมั่นคงดั่งศิลาต่อต้านพวกคลั่งศาสนาที่หาทางเป็นพันธมิตรกับการปฏิรูปศาสนา {GC 193.2}GCth17 158.1

    แต่ละองค์ประกอบที่ต่อต้านนี้ในตัวมันเองก็เป็นการตัดพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ออกไปและเชิดชูปัญญาของมนุษย์ให้เป็นแหล่งของความจริงและความรู้ทางศาสนาแทน ลัทธินิยมเหตุผลนั้นบูชาเหตุผลอยู่แล้วและนำเรื่องนี้มาเป็นบรรทัดฐานของศาสนา ลัทธิโรมันอ้างว่าอำนาจสูงสุดของพระสันตะปาปานั้นเป็นแรงบันดาลใจที่สืบทอดต่อเนื่องมาอย่างไม่ขาดสายจากอัครทูตและเปลี่ยนแปลงไม่ได้มาตลอดทุกยุค การอ้างนี้เปิดโอกาสมากมายให้แก่ความฟุ่มเฟือยทุกรูปแบบและความฉ้อฉลที่ถูกปกปิดภายใต้สิทธิของการปกป้องคำสั่งของอัครทูต การทรงดลใจที่มูนเซอร์และมิตรสหายอ้างนั้นได้มาจากแหล่งความคิดที่ไม่สูงไปกว่าการจินตนาการขึ้นเองแต่กลับมีอิทธิพลลบล้างอำนาจทั้งปวงไม่ว่าเป็นของมนุษย์หรือของพระเจ้า คริสเตียนที่แท้จริงจะรับพระวจนะของพระเจ้าเหมือนคลังขุมทรัพย์อันยิ่งใหญ่แห่งสัจธรรมที่ได้รับการดลใจและเป็นเครื่องทดสอบแรงดลใจทั้งปวง {GC 193.3}GCth17 158.2

    เมื่อลูเธอร์กลับจากเมืองวาร์ทเบิร์ก เขาแปลพระคริสตธรรมคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่จนเสร็จสมบูรณ์และไม่นานต่อมาได้แจกจ่ายข่าวประเสริฐให้กับประชาชนในประเทศเยอรมนีในภาษาของพวกเขาเอง ผู้ที่รักความจริงรับผลงานแปลนี้ด้วยความปลื้มปีติอย่างยิ่ง ส่วนผู้ที่ฝักใฝ่ในขนบธรรมเนียมและบัญญัติของมนุษย์ก็จะปฏิเสธอย่างเหยียดหยาม {GC 193.4}GCth17 158.3

    บาทหลวงทั้งหลายต่างหวาดผวาเมื่อรู้ว่าประชาชนทั่วไปสามารถโต้ตอบกับพวกเขาในเรื่องคำสอนของพระวจนะของพระเจ้าและความไม่รู้ของพวกเขาจะถูกเปิดโปง อาวุธในการใช้เหตุผลฝ่ายเนื้อหนังของพวกเขานั้นไม่มีประสิทธิภาพที่จะไปต่อกรกับดาบของพระวิญญาณ โรมจึงสั่งระดมผู้ที่มีอำนาจทั้งหมดให้ขัดขวางการแจกจ่ายพระคัมภีร์ แต่คำสั่ง คำประณามและการทรมานล้วนมีค่าเท่ากันคือไม่เกิดผล โรมยิ่งประณามและยิ่งสั่งห้ามพระคัมภีร์มากเพียงไร ความกระตือรือร้นของประชาชนที่อยากรู้ว่าสอนเรื่องอะไรกันแน่ยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้น ทุกคนที่อ่านหนังสือได้ ร้อนรนอยากศึกษาพระวจนะของพระเจ้าด้วยตนเอง พวกเขาพกพาพระคัมภีร์ไปทุกแห่งและอ่านแล้วอ่านอีกและจะไม่พอใจจนกว่าจะท่องพระคัมภีร์ส่วนใหญ่ได้ เมื่อเห็นถึงความชื่นชอบที่ประชาชนต้อนรับพระคริสตธรรมคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ ลูเธอร์ก็เริ่มแปลภาคพันธสัญญาเดิมทันทีและตีพิมพ์เป็นตอนๆ ในทันทีที่แปลเสร็จ {GC 194.1}GCth17 158.4

    ผลงานเขียนของลูเธอร์ได้รับการต้อนรับแบบเดียวกันทั้งในเมืองและในหมู่บ้านเล็กๆ “อะไรที่ลูเธอร์และมิตรสหายเขียน คนอื่นๆ ก็จะเผยแพร่ออกไป พระนักบวชจำนวนมากเมื่อเข้าใจถึงข้อกำหนดของชีวิตนักบวชที่ผิดบทบัญญัติก็มีความปรารถนาที่จะแลกเปลี่ยนชีวิตเฉื่อยชายืดยาดกับชีวิตที่กระฉับกระเฉงตื่นตัว แต่พวกเขาขาดความรู้ที่จะประกาศพระวจนะของพระเจ้าจึงทำได้เพียงเดินทางไปยังหมู่บ้าน เดินเยี่ยมไปตามหมู่บ้านเล็กๆ และกระต๊อบต่างๆ ขายหนังสือของลูเธอร์และเพื่อน ต่อมาไม่นาน จึงมีบรรณากรผู้กล้าหาญเหล่านี้กระจายไปทั่วประเทศเยอรมนี” Ibid. เล่มที่ 9 บทที่ 11 {GC 194.2}GCth17 159.1

    คนมั่งมีและคนยากจน คนมีการศึกษาและคนขาดความรู้ต่างศึกษาผลงานเขียนเหล่านี้ด้วยความสนใจอย่างยิ่ง ยามค่ำคืน ครูของโรงเรียนในหมู่บ้านอ่านออกเสียงให้คนกลุ่มเล็กๆ ที่ล้อมอยู่รอบเตาผิงฟัง ในแต่ละความพยายามจะมีจิตวิญญาณบางดวงสำนึกได้ในสัจธรรมเหล่านี้และรับพระวจนะด้วยความยินดี พวกเขาจะกระจายข่าวดีต่อไปให้แก่ผู้อื่น {GC 194.3}GCth17 159.2

    พระวจนะที่ได้รับการดลใจเหล่านี้ผ่านการรับรองแล้วว่า “การอธิบายพระวจนะของพระองค์ให้ความสว่าง ทั้งให้ความเข้าใจแก่คนรู้น้อย” สดุดี 119:130 การศึกษาพระคัมภีร์กำลังสร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ในสติปัญญาและจิตใจของประชาชน กฎของระบอบเปปาซีผูกแอกเหล็กไว้บนประชาชนผู้อยู่ใต้การปกครองของตน ซึ่งบังคับพวกเขาให้อยู่ในความโง่เขลาและความตกต่ำ มีการถือรักษาพิธีงมงายต่างๆ อย่างเหนียวแน่น แต่สติปัญญาและหัวใจของพวกเขามีส่วนร่วมเพียงน้อยนิดในพิธีกรรมเหล่านั้น คำเทศนาของลูเธอร์ที่เปิดเผยสัจธรรมอันชัดเจนเรียบง่ายของพระวจนะของพระเจ้าได้ถูกวางไว้ในมือของประชาชนธรรมดา และจากนั้นพระวจนะนี้เองก็จะปลุกอำนาจที่หลับไปของพวกเขาให้ตื่นขึ้น พระวจนะเหล่านี้ไม่เพียงชำระและยกระดับธรรมชาติฝ่ายวิญญาณให้บริสุทธิ์เท่านั้น แต่ยังประทานกำลังและความกระปรี้กระเปร่าใหม่แก่สติปัญญาอีกด้วย {GC 195.1}GCth17 159.3

    เป็นที่แน่ชัดว่าประชาชนทุกระดับชั้นถือพระคัมภีร์ไว้ในมือ พวกเขาปกป้องหลักคำสอนของการปฏิรูปศาสนา บรรดาผู้นิยมระบอบเปปาซีซึ่งพึ่งการศึกษาพระคัมภีร์ไว้กับบาทหลวงและนักบวชทั้งหลายนั้นบัดนี้พยายามเกลี้ยกล่อมผู้สอนให้ก้าวออกมาและลบล้างคำสอนใหม่ แต่เนื่องจากขาดความรู้ทั้งในเรื่องของพระคัมภีร์และอำนาจของพระเจ้า บาทหลวงและนักบวชภราดรทั้งหลายจึงพ่ายแพ้อย่างยับเยินให้กับผู้ที่พวกเขาประณามว่าไร้การศึกษาและนอกรีต นักเขียนคาทอลิกคนหนึ่งเขียนบันทึกไว้ว่า “ด้วยความไม่เป็นสุข ลูเธอร์ได้ชักชวนผู้ติดตามของเขาให้อย่าวางใจคำสอนอื่นนอกจากพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์” D’Aubigné เล่มที่ 9 บทที่ 11 ประชาชนจะชุมนุมกันเพื่อฟังสัจธรรมซึ่งพูดสนับสนุนโดยผู้ที่มีการศึกษาน้อย และแม้แต่ฟังการอภิปรายของพวกเขากับนักศาสนศาสตร์ที่มีการศึกษาและมีวาทศิลป์ ความรู้ไม่เท่าทันอันน่าอับอายของบุคคลผู้มีหน้าที่สำคัญเหล่านี้ปรากฏให้เห็นอย่างแจ่มแจ้งเมื่อคำโต้เถียงของพวกเขาต้องถูกหักล้างด้วยคำสอนเรียบง่ายของพระวจนะของพระเจ้า กรรมกร ทหาร สตรีและแม้กระทั่งเด็กๆ คุ้นเคยกับคำสอนของพระคัมภีร์มากกว่าบรรดาบาทหลวงและดุษฎีบัณฑิตทั้งหลายที่มีการศึกษาสูง {GC 195.2}GCth17 159.4

    ความแตกต่างระหว่างสาวกของข่าวประเสริฐกับผู้สนับสนุนความเชื่องมงายของระบบสันตะปาปาปรากฏให้เห็นในหมู่ชนชั้นผู้มีการศึกษาไม่น้อยไปกว่าในหมู่คนธรรมดา “ ตรงกันข้ามกับ ผู้ปกป้องหลักการคำสอนฝ่ายสภาการปกครองของสงฆ์ฝ่ายเดิม ผู้ซึ่งได้ ละเลยการศึกษาภาษาและพัฒนาความรู้ด้านวรรณกรรม....... [ฝ่ายปฏิรูป] คือ เยาวชนผู้มีใจเปิดกว้าง ผู้ซึ่งอุทิศตัวในการศึกษา การค้นคว้าพระคัมภีร์และฝึกฝนตัวพวกเขาเองให้คุ้นเคยกับผลงานชิ้นเอกในอดีต พวกเขามีสมองที่ว่องไว มีจิตวิญญาณที่สูงส่งและหัวใจที่กล้าหาญ ในไม่ช้าชายหนุ่มเหล่านี้กอบโกยความรู้มากมายจนช่วงเวลาหนึ่งที่ยาวนานไม่มีผู้ใดสามารถแข่งกับพวกเขาได้.....ฉะนั้นเมื่อผู้ปกป้องขบวนการปฏิรูปเยาว์วัยเหล่านี้มาเผชิญหน้าอภิปรายกับดุษฎีบัณฑิตผู้นิยมโรมทั้งหลายในที่ประชุมใดก็ตาม พวกเขาโจมตีคู่ต่อสู้ได้อย่างง่ายดายและด้วยความมั่นใจจนคู่ต่อสู้ลังเลใจ เสียหน้า และตกสู่สภาพอันน่าอับอายในสายตาของทุกคน” Ibid. เล่มที่ 9 บทที่ 11 {GC 195.3}GCth17 160.1

    เมื่อคณะสงฆ์ของโรมเห็นจำนวนคนที่มาเข้าร่วมประชุมในโบสถ์ลดน้อยลง พวกเขาร้องขอความช่วยเหลือของเจ้าพนักงานการปกครองและใช้ทุกวิธีที่อำนาจของพวกตนจะทำได้เพื่อพยายามนำผู้ฟังกลับคืนมา แต่ประชาชนพบคำสอนใหม่ซึ่งสนองความต้องการฝ่ายจิตวิญญาณของเขาทั้งหลายแล้ว พวกเขาจึงหันหนีจากผู้ที่ป้อนพวกเขาด้วยแกลบของความงมงายและประเพณีของมนุษย์อันไร้ค่าที่ปฏิบัติมาอย่างยาวนาน {GC 196.1}GCth17 160.2

    เมื่อการกดขี่ข่มเหงเริ่มต้นกระทำต่อบรรดาครูสอนสัจธรรม พวกเขาทำตามพระดำรัสของพระคริสต์ที่ว่า “เมื่อเขาข่มเหงท่านในเมืองหนึ่งจงหนีไปยังอีกเมืองหนึ่ง” มัทธิว 10:23 ความกระจ่างส่องทะลุไปทุกแห่งหน ในบางแห่ง ผู้ลี้ภัยมักจะพบประตูที่เป็นมิตรเปิดให้พวกเขาเพื่อพักอยู่ที่นั่น พวกเขาก็จะเทศนาเรื่องพระคริสต์ ในบางครั้งก็เทศนากันในโบสถ์หรือหากสิทธิพิเศษนั้นถูกปฏิเสธก็จะเทศนากันในบ้านหรือในที่กลางแจ้ง ที่ใดก็ตามที่มีผู้ฟัง ที่นั่นก็คือวิหารศักดิ์สิทธิ์ สัจธรรมที่ถูกประกาศออกไปด้วยพลังและความมั่นใจเช่นนี้แผ่ขยายออกไปด้วยฤทธานุภาพที่ไม่อาจต้านทานได้ {GC 196.2}GCth17 160.3

    อำนาจทั้งฝ่ายสงฆ์และฝ่ายปกครองระดมกำลังกันเข้าบดขยี้พวกนอกรีตอย่างไร้ผล พวกเขาเปลี่ยนไปใช้การคุมขัง การทรมาน เผาทั้งเป็นและคมดาบ ซึ่งก็ไร้ผลเช่นกัน ผู้เชื่อนับพันประทับตราความเชื่อด้วยเลือดของตนเอง แต่งานก็ยังคงดำเนินต่อไป การกดขี่ได้แต่ทำหน้าที่กระจายสัจธรรมให้ยิ่งกว้างไกลออกไปและพวกคลั่งศาสนาที่ซาตานพยายามนำเข้ามาผูกติดกับพวกปฏิรูปทำให้ความแตกต่างระหว่างงานของซาตานและพระราชกิจของพระเจ้าเห็นเด่นชัดยิ่งขึ้น {GC 196.3}GCth17 161.1

    *****