Loading...
Larger font
Smaller font
Copy
Print
Contents

อุทาหรณ์จากคำสอนของพระคริสต์

 - Contents
  • Results
  • Related
  • Featured
No results found for: "".
  • Weighted Relevancy
  • Content Sequence
  • Relevancy
  • Earliest First
  • Latest First
    Larger font
    Smaller font
    Copy
    Print
    Contents

    บทที่ 1 - การใช้อุปมาเพื่อสั่งสอน

    การสอนด้วยอุปมาของพระคริสต์ ใช้หลักการเดียวกับพระราชกิจของพระองค์เองในโลก พระองค์ทรงรับสภาพของเราและอยู่ท่ามกลางเราเพื่อว่าเราจะคุ้นเคยกับพระลักษณะนิสัยและชีวิตของพระองค์ ความเป็นพระเจ้าสำแดงในความเป็นมนุษย์ เป็นพระสิริที่มองไม่เห็นสำแดงให้รู้ในรูปแบบของมนุษย์ มนุษย์เรียนรู้สิ่งที่ไม่รู้ผ่านสิ่งที่รู้จักได้ สภาพสรรพสิ่งบนสวรรค์สำแดงผ่านสภาพบนโลก พระเจ้าทรงสำแดงพระองค์ในสภาพมนุษย์ นี่คือสิ่งที่ปรากฏในคำสอนของพระคริสต์ สิ่งที่ไม่เคยรู้สำแดงผ่านสิ่งที่เปิดเผยแล้ว ความจริงแท้ของพระเจ้าสำแดงโดยสรรพสิ่งบนโลกซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกคนคุ้นเคยมากที่สุด {COL 17.1}COLTh 1.1

    พระคัมภีร์กล่าวว่า “ข้อความทั้งหมดนี้ พระองค์ตรัสกับฝูงชนเป็นอุปมาและนอกจากอุปมา พระองค์ไม่ได้ตรัสกับพวกเขาเลย ทั้งนี้เพื่อจะให้สำเร็จตามพระวจนะที่กล่าวโดยผู้เผยพระวจนะว่า ‘เราจะอ้าปากกล่าวอุปมา เราจะกล่าวข้อความซึ่งปิดซ่อนไว้ตั้งแต่เริ่มสร้างโลก’” มัทธิว 13:34, 35 สรรพสิ่งในธรรมชาติเป็นสื่อให้เห็นสิ่งที่เกี่ยวกับจิตวิญญาณ มีการเชื่อมโยงสิ่งในธรรมชาติและประสบการณ์ชีวิตของผู้ที่ฟังพระองค์ด้วยความจริงที่เขียนไว้ในพระคำ โดยการนำสิ่งที่มีอยู่ในธรรมชาติไปสู่อาณาจักรฝ่ายจิตวิญญาณ อุปมาของพระคริสต์เป็นข้อต่อในสายโซ่แห่งความจริงที่เชื่อมโยงมนุษย์กับพระเจ้า และโลกเข้ากับแผ่นดินสวรรค์ {COL 17.2}COLTh 1.2

    ในการสอนจากธรรมชาติของพระคริสต์ พระองค์ตรัสถึงสิ่งอันทรงคุณค่าซึ่งพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ของพระองค์ทรงสร้างไว้ จากความสมบูรณ์แบบดั้งเดิมของสรรพสิ่งที่สร้างขึ้นล้วนสำแดงถึงพระทัยของพระองค์ ธรรมชาติในบ้านสวนเอเดนของอาดัมและเอวานั้น เต็มไปด้วยความรอบรู้ของพระเจ้า พรั่งพร้อมไปด้วยคำสอนจากสวรรค์ พระปัญญาตรัสที่สายตาและรับเข้าสู่จิตใจเพราะเขาทั้งหลายอยู่ร่วมกับพระเจ้าในผลงานแห่งการทรงสร้างของพระองค์ ทันทีที่ผู้บริสุทธิ์ทั้งคู่ล่วงละเมิดพระบัญญัติของพระผู้สูงสุด แสงสว่างจากพระพักตร์ของพระเจ้าได้ละห่างไปจากธรรมชาติ โลกนี้จึงแปดเปื้อนด้วยบาป แม้จะอยู่ในสภาพที่เสื่อมลง แต่ยังคงมีความสวยงามอีกมากมายหลงเหลืออยู่ บทเรียนสอนใจของพระเจ้าไม่ได้ถูกลบเลือนฉันใด เมื่อเข้าใจได้อย่างถูกต้องแล้ว ธรรมชาติย่อมประกาศถึงการทรงสร้างฉันนั้น {COL 18.1}COLTh 2.1

    ในสมัยของพระคริสต์ บทเรียนเหล่านี้ถูกละเลย มนุษย์ไม่สนใจเรื่องของพระเจ้าโดยผ่านพระหัตถกิจของพระองค์ ความผิดบาปของมนุษย์ปกคลุมความงดงามของสิ่งที่ทรงสร้าง และแทนที่จะสำแดงพระเจ้าอย่างชัดแจ้ง พระหัตถกิจของพระองค์กลับกลายเป็นเครื่องกีดขวางที่ปกปิดพระองค์ไว้ มนุษย์ “นมัสการและปรนนิบัติสิ่งถูกสร้างขึ้นแทนพระองค์ผู้ทรงสร้าง” ดังนั้นมนุษย์ไม่รู้จักพระเจ้าจึง “คิดในสิ่งที่ไม่เป็นสาระและจิตใจโง่เขลาของเขาก็มืดมัวไป” โรม 1:25, 21 ดังนั้นอิสราเอลจึงนำคำสอนของมนุษย์แทนที่คำสอนของพระเจ้า ไม่เพียงแต่สิ่งต่างๆ ในธรรมชาติเท่านั้น แม้กระทั่งพิธีกรรมในการถวายบูชาและพระคัมภีร์ซึ่งประทานไว้เพื่อสำแดงถึงพระเจ้าได้ถูกบิดเบือนจนปิดบังพระองค์ไปเช่นกัน {COL 18.2}COLTh 2.2

    พระคริสต์ทรงเพียรพยายามขจัดสิ่งที่บดบังความจริง พระองค์เสด็จมาเปิดม่านแห่งบาปที่ปิดกั้นธรรมชาติ เพื่อสะท้อนพระสิริทั้งหมดที่ทรงสร้าง พระดำรัสของพระองค์ทำให้คำสอนจากธรรมชาติและพระคัมภีร์มีข้อคิดในมุมใหม่และเปิดเผยสิ่งใหม่ {COL 18.3}COLTh 2.3

    พระเยซูทรงเด็ดดอกไม้อันสวยงามและใส่ไว้ในมือของเด็กๆ และเยาวชน และขณะที่พวกเขามองไปยังพระพักตร์อันเยาว์วัยของพระองค์ที่สดใสด้วยแสงอาทิตย์ของพระฉายของพระบิดา พระองค์ประทานบทเรียนดังนี้ว่า “จงพิจารณาดูว่าดอกไม้ในทุ่งนานั้นเติบโตขึ้นอย่างไร [ในความงดงามตามธรรมชาติ] มันไม่ทำงาน มันไม่ปั่นด้าย แต่เราบอกพวกท่านว่า แม้แต่กษัตริย์ซาโลมอนเมื่อทรงบริบูรณ์ด้วยศักดิ์ศรีก็ไม่ได้แต่งพระองค์งามเท่าดอกไม้เหล่านี้สักดอกหนึ่ง” หลังจากนั้นก็ทรงให้ความมั่นใจและบทเรียนที่สำคัญอีกบทหนึ่งว่า “ถ้าพระเจ้าทรงตกแต่งหญ้าที่ทุ่งนาอย่างนั้น ซึ่งเป็นอยู่วันนี้และรุ่งขึ้นต้องทิ้งในเตาไฟ โอ พวกมีความเชื่อน้อย พระองค์จะไม่ทรงตกแต่งท่านมากยิ่งกว่านั้นหรือ” {COL 19.1}COLTh 3.1

    พระองค์ตรัสคำเทศนาบนภูเขาแก่กลุ่มชนอื่นๆ นอกเหนือจากเยาวชนและเด็ก พระองค์ตรัสแก่ฝูงชนชาย หญิงที่กังวลและสับสน และผิดหวังและมีทุกข์ พระเยซูตรัสต่อไปว่า “เหตุฉะนั้นอย่ากระวนกระวายและกล่าวว่าจะเอาอะไรกินหรือจะเอาอะไรดื่ม หรือจะเอาอะไรนุ่งห่ม เพราะว่าบรรดาคนต่างชาติแสวงหาสิ่งทั้งปวงนี้ แต่ว่าพระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์ทรงทราบแล้วว่าท่านต้องการสิ่งทั้งปวงนี้” จากนั้นทรงยกพระหัตถ์กางออกต่อหน้าฝูงชนที่ห้อมล้อมนั้น ตรัสว่า “แต่พวกท่านจงแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงนี้ให้” มัทธิว 6:28—33 {COL 19.2}COLTh 3.2

    ด้วยวิธีนี้พระคริสต์ทรงอธิบายข้อความที่พระองค์ประทานไว้กับดอกไม้และต้นหญ้าในทุ่งนา พระองค์ทรงประสงค์ให้เราอ่านข่าวนี้จากดอกไม้ทุกดอกและใบหญ้าทุกใบ พระวจนะของพระองค์เต็มไปด้วยถ้อยคำที่ให้ความมั่นใจ และคำรับรองว่าเราวางใจพระเจ้าได้ {COL 19.3}COLTh 3.3

    ภาพความจริงของพระคริสต์กว้างไกลเหลือเกิน คำสั่งสอนของพระองค์อยู่ทั่วทุกแห่งหน ซึ่งทุกแง่มุมของธรรมชาติแสดงให้เห็นถึงความจริง มีการนำภาพที่สายตามนุษย์มองอยู่ทุกวันเข้ามาเชื่อมโยงกับความจริงฝ่ายจิตวิญญาณ จนธรรมชาติปกคลุมด้วยอุปมาของพระอาจารย์ {COL 20.1}COLTh 4.1

    ในช่วงแรกของพระราชกิจ พระคริสต์ตรัสกับฝูงชนด้วยถ้อยคำง่ายๆ จนผู้ฟังทุกคนเข้าใจความจริงซึ่งเป็นความจริงที่ทำให้เกิดปัญญาจนถึงความรอด แต่มีจิตใจอีกหลายดวงที่ไม่ยอมให้ความจริงฝังรากลึกลงไป และถูกนำออกไปอย่างรวดเร็ว พระองค์ตรัสว่า “เพราะว่าถึงเขาเห็นก็เหมือนไม่เห็น ถึงได้ยินก็เหมือนไม่ได้ยินและไม่เข้าใจ เพราะว่าชนชาตินี้กลายเป็นคนมีใจเฉื่อยชา หูก็ตึงและตาของพวกเขาก็ปิด” มัทธิว 13:13-15 {COL 20.2}COLTh 4.2

    พระเยซูทรงปรารถนาให้เกิดความตื่นตัว พระองค์ทรงแสวงหาวิธีปลุกความเฉื่อยชาให้ตื่นและสลักความจริงลงในใจ การสอนด้วยอุปมาเป็นที่นิยมและเป็นที่ยอมรับและเป็นที่สนใจไม่เพียงเฉพาะชาวยิวเท่านั้นแต่รวมทั้งชนชาติอื่นๆ ด้วย ไม่มีวิธีการสอนแบบใดที่มีประสิทธิผลมากไปกว่านี้ ถ้าผู้ฟังของพระองค์ปรารถนาปัญญาที่มาจากสวรรค์พวกเขาคงเข้าใจคำตรัสของพระองค์เพราะพระองค์ทรงพอพระทัยที่จะอธิบายให้ผู้ที่ถามด้วยความจริงใจเสมอ {COL 20.3} COLTh 4.3

    อีกประการหนึ่ง พระคริสต์ทรงมีความจริงที่จะเสนอ เป็นความจริงที่ฝูงชนยังไม่พร้อมจะรับหรือทำความเข้าใจ ด้วยเหตุผลนี้พระองค์จึงทรงสั่งสอนเขาด้วยอุปมา โดยการเชื่อมโยงคำสอนของพระองค์เข้ากับภาพชีวิต ประสบการณ์หรือธรรมชาติ พระองค์ทรงเรียกความสนใจของพวกเขาและสร้างความประทับใจแก่คนเหล่านั้น ภายหลังเมื่อพวกเขาเห็นตัวอย่างที่เคยหยิบยกมา พวกเขาก็จะจดจำถ้อยคำของพระอาจารย์ได้ สำหรับจิตใจที่เปิดต้อนรับองค์พระวิญญาณบริสุทธิ์แล้วนั้น ความสำคัญของคำสอนของพระผู้ช่วยให้รอดจะเปิดกว้างขึ้นเรื่อยๆ ความลึกลับจะชัดเจนและสิ่งที่ยากจะเข้าใจจะเด่นชัดขึ้น {COL 21.1}COLTh 4.4

    พระเยซูทรงแสวงหาทางที่จะเข้าถึงจิตใจของทุกคน โดยการใช้วิธีการอธิบายอย่างหลากหลาย พระองค์ไม่เพียงแต่เสนอความจริงในด้านต่างๆ แต่ทรงเร้าใจผู้ฟังหลายระดับ ความสนใจของพวกเขาถูกปลุกขึ้นโดยภาพซึ่งมาจากสิ่งรอบข้างในชีวิตประจำวัน ไม่มีผู้ใดที่ฟังพระคำของพระผู้ช่วยให้รอดแล้วจะรู้สึกว่าตนถูกละเลยหรือถูกทอดทิ้ง ผู้ที่ถ่อมใจลงมากที่สุด ผู้ที่ผิดบาปที่สุดจะได้ยินคำสอนของพระองค์เฉกเช่นน้ำเสียงซึ่งตรัสกับเขาด้วยความเห็นอกเห็นใจและเต็มไปด้วยความสุภาพอ่อนโยน {COL 21.2} COLTh 4.5

    พระองค์ทรงมีอีกเหตุผลที่ทรงสอนด้วยอุปมา ประชาชนที่ห้อมล้อมพระองค์นั้นมีครู อาจารย์ ธรรมจารย์และผู้ปกครอง ข้าราชการของเฮโรดและขุนนางผู้มักใหญ่ใฝ่สูงและผู้หลงรักชีวิตทางฝ่ายโลก คนเหล่านี้ต้องการหาเหตุปรักปรำพระองค์เป็นอันดับแรก คนสอดแนมของพวกเขาเฝ้าติดตามพระองค์ทุกวัน เพื่อคอยจับผิดคำพูดจากพระโอษฐ์ของพระองค์เพื่อใช้กล่าวหาพระองค์และหยุดยั้งพระองค์ที่ดูเหมือนจะดึงคนทั้งโลกให้ติดตามพระองค์ไปนั้นให้เงียบไปตลอดกาล พระผู้ช่วยให้รอดทรงเข้าพระทัยถึงลักษณะนิสัยของคนเหล่านี้และพระองค์ทรงเสนอความจริงที่พวกเขาจะฟ้องพระองค์ต่อสภาซันเฮดรินไม่ได้ ในอุปมานั้นพระองค์ทรงติเตียนความหน้าซื่อใจคดและความชั่วร้ายของผู้มีตำแหน่งสูง ทรงใช้ภาษาเปรียบเทียบอันแหลมคมที่ห่อหุ้มความจริง หากพระองค์ทรงกล่าวติเตียนอย่างตรงไปตรงมาแล้ว พวกเขาคงไม่ฟังคำสอนของพระองค์และจะเป็นการเร่งให้พระราชกิจของพระองค์ถึงจุดจบเร็วเกินไป แต่ขณะที่พระองค์ทรงหลีกเลี่ยงคนสอดแนมเหล่านั้น พระองค์ทรงทำให้พวกเขาเห็นความจริงอย่างแจ่มแจ้งจนทำให้ความผิดปรากฏเด่นชัดขึ้นและคนที่จริงใจได้ประโยชน์จากบทเรียนของพระองค์ สิ่งที่พระเจ้าเนรมิตสร้างเปิดเผยพระปัญญาจากสวรรค์และพระคุณอันล้นเหลืออย่างชัดแจ้ง มนุษย์เรียนรู้ถึงพระเจ้าโดยผ่านธรรมชาติและประสบการณ์ในชีวิต “ตั้งแต่เริ่มสร้างโลกมานั้น สภาพของพระเจ้าซึ่งตามนุษย์มองไม่เห็น คือฤทธานุภาพอันถาวรและเทวสภาพของพระองค์ก็ได้ปรากฏชัดในสรรพสิ่งที่พระองค์ได้ทรงสร้าง” โรม 1:20 {COL 22.1} COLTh 5.1

    อุปมาของพระผู้ช่วยให้รอดชี้ให้เห็นว่า “การศึกษาขั้นสูง” ที่แท้จริงประกอบด้วยอะไร พระคริสต์ทรงปรารถนาจะเปิดเผยความจริงทางวิทยาศาสตร์ต่อมนุษย์ พระองค์ทรงปรารถนาที่จะคลี่คลายข้อลึกลับที่ต้องลงแรงและศึกษาค้นหาหลายศตวรรษ พระองค์อาจจะประทานคำแนะนำทางวิทยาศาสตร์ที่เป็นอาหารสมองและเป็นตัวกระตุ้นการประดิษฐ์จนถึงยุคสุดท้าย แต่พระองค์ไม่ได้ทรงกระทำเช่นนั้น พระองค์ไม่ทรงเอื้อนพระโอษฐ์เพียงเพื่อดับความอยากรู้อยากเห็นหรือสนองความปรารถนาของมนุษย์ด้วยการเปิดประตูไปสู่ความยิ่งใหญ่ในโลกนี้ ในคำสอนทั้งหมดของพระคริสต์ พระองค์ทรงนำความนึกคิดของมนุษย์ไปสัมผัสกับสติปัญญาอันไร้ขอบเขตของพระองค์ พระองค์ไม่ได้ทรงชักนำให้ประชาชนศึกษาทฤษฎีของมนุษย์ที่เกี่ยวกับพระเจ้า พระวจนะของพระองค์หรือพระราชกิจของพระองค์ แต่พระองค์ทรงสอนพวกเขาให้มองไปยังพระองค์ตามที่เปิดเผยในพระราชกิจของพระองค์ ในพระธรรมคำสอนและการทรงจัดเตรียมไว้ของพระองค์” {COL 22.2}COLTh 5.2

    พระคริสต์ไม่ได้ทรงข้องเกี่ยวกับทฤษฎีที่จับต้องไม่ได้ แต่ทรงเกี่ยวข้องกับสิ่งที่จำเป็นต่อการพัฒนาอุปนิสัยและเพิ่มความสามารถในมนุษย์เพื่อรู้จักกับพระเจ้าและเพิ่มประสิทธิภาพเพื่อการสร้างความดี พระองค์ตรัสกับมนุษย์ในเรื่องความจริงที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติตนในชีวิตและการไขว่คว้าสิ่งที่เป็นนิรันดร์ {COL 23.1} COLTh 6.1

    พระคริสต์ทรงเป็นผู้นำด้านการศึกษาของชาวอิสราเอล พระองค์ตรัสเรื่องของพระบัญญัติและกฎหมายของพระผู้เป็นเจ้าไว้ว่า “ท่านจงสอนถ้อยคำเหล่านั้นแก่บุตรหลานของท่าน และพูดถึงถ้อยคำเหล่านั้นเมื่อท่านนั่งอยู่ในบ้าน เดินอยู่ตามทาง นอนลงหรือลุกขึ้น จงเอาถ้อยคำเหล่านี้ผูกไว้ที่มือของท่านเป็นหมายสำคัญ และคาดไว้ที่หน้าผากของท่านเป็นสัญลักษณ์ และจงเขียนถ้อยคำเหล่านี้ไว้ที่เสาประตูบ้านและที่ประตูของท่าน” เฉลยธรรมบัญญัติ 6:7-9 ในคำสอนของพระเยซูเอง พระองค์ทรงแสดงให้เห็นวิธีทำให้พระบัญชานี้สำเร็จ วิธีเปิดเผยให้เห็นคุณค่าและความงามของพระบัญญัติและหลักการของอาณาจักรของพระเจ้า ขณะที่พระยาห์เวห์ฝึกสอนคนอิสราเอลให้เป็นผู้แทนพิเศษของพระองค์เอง พระองค์ประทานบ้านเรือนให้เขาท่ามกลางขุนเขาลำเนาไพร พวกเขาสัมผัสธรรมชาติและพระคำของพระเจ้าอยู่เสมอด้วยการใช้ชีวิตในบ้านเรือนและในการปฏิบัติตนทางศาสนา ดังนั้น พระคริสต์ทรงสอนสาวกทั้งหลายตามริมทะเลสาบ บนไหล่เขา ในทุ่งนาและหมู่แมกไม้ซึ่งพวกเขามองเห็นสิ่งต่างๆ ที่มีอยู่ในธรรมชาติเพื่อเป็นตัวอย่างที่พระองค์ทรงหยิบยกขึ้นมาเพื่อใช้อธิบายสั่งสอน และขณะที่เขาทั้งหลายเรียนรู้ถึงพระคริสต์ เขาทั้งหลายนำความรู้นั้นไปใช้ร่วมกับพระองค์ในพระราชกิจของพระองค์ {COL 23.2} COLTh 6.2

    ดังนั้นเราจะคุ้นเคยกับพระผู้ทรงสร้างผ่านการเนรมิตสร้าง หนังสือธรรมชาติเล่มนี้เป็นหนังสือเรียนอันยิ่งใหญ่ซึ่งเชื่อมโยงกับพระคัมภีร์ที่เราใช้สอนผู้อื่นถึงพระลักษณะของพระองค์ และนำแกะที่หลงหายกลับคืนสู่ฝูงแกะของพระเจ้า ขณะที่เราศึกษาพระราชกิจของพระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์จะส่องประกายความเชื่อเข้ามาในความนึกคิด นี่ไม่ใช่ความเชื่อที่เกิดจากเหตุผลด้านตรรกวิทยา แต่หากความคิดของเราไม่มืดมนจนทำให้ไม่รู้จักพระเจ้า หรือสายตาของเราไม่มืดมัวจนมองไม่เห็นพระองค์ หรือหูของเราไม่ตึงจนไม่ได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์แล้ว เราจะจับใจความได้ลึกซึ้งขึ้นและความจริงของพระวจนะที่จารึกไว้ในจิตวิญญาณอย่างสง่างามจะฝังอยู่ในจิตใจของเรา {COL 24.1} COLTh 7.1

    หนังสือเรียนเหล่านี้ที่ส่งตรงจากธรรมชาติมีความเรียบง่ายและบริสุทธิ์จนทำให้บทเรียนเกิดคุณค่าสูงสุด ทุกคนจำเป็นต้องฟังคำสอนจากต้นกำเนิดนี้ เนื้อหาคำสอนจากความงามของธรรมชาติจะนำจิตใจให้ออกห่างจากบาป จากสิ่งล่อใจทางโลกและนำไปสู่ความบริสุทธิ์ สันติสุขและพระเจ้า บ่อยครั้งที่นักเรียนถูกครอบงำด้วยทฤษฎีและการคาดเดาของมนุษย์ที่เรียกผิดๆ ว่าวิทยาศาสตร์และปรัชญาครอบงำ เราต้องนำคนเหล่านั้นกลับมาใกล้ชิดธรรมชาติ ให้เขาเหล่านั้นเรียนรู้ว่าการทรงสร้างและคริสตศาสนานั้นมีพระเจ้าเพียงองค์เดียว สอนให้เขาเหล่านั้นมองเห็นความกลมกลืนของธรรมชาติและจิตวิญญาณ ให้ทุกสิ่งที่เขาเห็นด้วยตาหรือจับต้องด้วยมือนั้นเป็นบทเรียนสร้างอุปนิสัย ด้วยประการฉะนี้ อำนาจฝ่ายจิตใจจะเข้มแข็งขึ้น อุปนิสัยจะพัฒนาขึ้นและชีวิตจะสูงส่งไปตลอด {COL 24.2} COLTh 7.2

    พระประสงค์ของพระคริสต์ในการสั่งสอนด้วยอุปมานั้นมีความสัมพันธ์โดยตรงกับจุดประสงค์ของวันสะบาโต พระเจ้าทรงให้มนุษย์เห็นถึงอนุสรณ์แห่งฤทธิ์อำนาจการเนรมิตสร้างของพระองค์ในพระราชกิจการเนรมิตสร้างของพระองค์วันสะบาโตเชิญชวนให้เรามองเห็นพระสิริของพระผู้ทรงสร้างที่ปรากฏ และเนื่องจากพระเยซูทรงปรารถนาให้เราทำ พระองค์จึงทรงเอาบทเรียนล้ำค่าของพระองค์มาเชื่อมต่อกับความงามของสิ่งต่างๆ ในธรรมชาติ เราควรศึกษาพระคำที่พระเจ้าทรงจารึกไว้เพื่อเราในธรรมชาติเมื่อวันพักผ่อนอันบริสุทธิ์ที่เหนือกว่าทุกวันมาถึง เราควรศึกษาอุปมาของพระผู้ช่วยให้รอดตามสถานที่ต่างๆ ที่พระองค์ตรัสถึง นั่นคือบริเวณทุ่งหญ้าและตามป่าละเมาะ ท้องฟ้าสดใส ท่ามกลางต้นหญ้าและหมู่มวลดอกไม้ ขณะที่เราเข้าใกล้แก่นแท้ของธรรมชาติ พระคริสต์จะทรงสำแดงพระพักตร์ให้เราพบอย่างแท้จริงและจะตรัสกับจิตใจของเราถึงสันติสุขและความรักของพระองค์ {COL 25.1} COLTh 8.1

    พระคริสต์ไม่ได้เพียงเชื่อมโยงคำสอนของพระองค์กับวันแห่งการหยุดพักเท่านั้นแต่ทรงโยงถึงสัปดาห์แห่งการตรากตรำการงานเข้ามาด้วย พระองค์ทรงมีพระปัญญาไว้สำหรับผู้ที่จับคันไถและหว่านพืช ในการไถและหว่าน การพรวนดินและเก็บเกี่ยว พระองค์ทรงสอนให้เราเห็นภาพการทำงานแห่งพระคุณในจิตใจ ดังนั้นพระองค์ทรงปรารถนาที่จะให้เราพบบทเรียนแห่งความจริงในงานทุกด้านและทุกสิ่งที่ชีวิตของเรามีส่วนเกี่ยวข้อง ด้วยเหตุนี้ การตรากตรำทำงานในแต่ละวันของเราจะไม่ดึงดูดความสนใจจนทำให้ลืมพระเจ้า แต่จะช่วยเตือนเราเสมอถึงพระผู้ทรงสร้างและพระผู้ไถ่ การใคร่ครวญถึงพระเจ้าจะเป็นเหมือนสายใยทองคำที่สอดแทรกเข้าสู่ภารกิจงานบ้านและหน้าที่การงานของเรา สำหรับเราแล้ว เราจะเห็นพระสิริของพระพักตร์พระองค์ปรากฏอยู่เหนือธรรมชาติ เราจะเรียนรู้บทเรียนใหม่ๆ ของความจริงแห่งสวรรค์อยู่เสมอและเจริญขึ้นในพระฉายาอันบริสุทธิ์ของพระองค์ ด้วยเหตุนี้ เรา “จะได้รับการสั่งสอนจากพระยาห์เวห์” เราทุกคนและในทุกสถานภาพที่เราได้รับการทรงเรียกมานั้น เราจะ“อยู่กับพระเจ้า” อิสยาห์ 54:13 1โครินธ์ 7:24 TBS1971 {COL 26.1}COLTh 8.2

    *****

    Larger font
    Smaller font
    Copy
    Print
    Contents