Loading...
Larger font
Smaller font
Copy
Print
Contents

อุทาหรณ์จากคำสอนของพระคริสต์

 - Contents
  • Results
  • Related
  • Featured
No results found for: "".
  • Weighted Relevancy
  • Content Sequence
  • Relevancy
  • Earliest First
  • Latest First

    บทที่ 28 - บำเหน็จแห่งพระคุณ

    อ้างอิงจากมัทธิว 19:16—30, 20:1—16, มาระโก 10:17—31, ลูกา 18:18—30

    ความจริงเรื่องพระคุณของพระเจ้าที่ประทานให้โดยไม่คิดมูลค่านั้นแทบจะหายไปจากสายตาของชาวยิว พวกอาจารย์สอนว่าความเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้านั้นจะได้มาโดยการกระทำ บำเหน็จรางวัลของความชอบธรรมที่พวกเขาหวังจะได้นั้นอยู่ที่การกระทำด้วยตนเอง ดังนั้นการนมัสการของพวกเขาจึงได้รับการกระตุ้นด้วยวิญญาณแห่งความโลภและเห็นแก่ได้ สาวกของพระคริสต์ก็ไม่ได้หลุดพ้นจากความคิดเช่นเดียวกันนี้ และพระผู้ช่วยทรงพยายามฉวยโอกาสที่จะสำแดงให้เห็นถึงความผิดของพวกเขาเอง ไม่นานนักก่อนที่พระคริสต์จะตรัสอุปมาเรื่องคนทำงาน มีเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นที่เปิดโอกาสให้พระองค์เสนอหลักการที่ถูกต้อง {COL 390.1}COLTh 353.1

    ในขณะที่พระองค์ทรงดำเนินไปนั้นก็มีขุนนางหนุ่มคนหนึ่งวิ่งเข้าหาพระองค์และคุกเข่าลง คำนับพระองค์อย่างสุภาพ พูดว่า “อาจารย์ผู้ประเสริฐ ข้าพเจ้าจะทำอย่างไร ถึงจะได้ชีวิตนิรันดร์” มาระโก 10:17 {COL 390.2}COLTh 353.2

    ขุนนางผู้นี้ทักทายพระคริสต์เป็นเพียงอาจารย์ที่ประเสริฐโดยไม่ได้มองเห็นว่าพระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า พระผู้ช่วยจึงตรัสว่า “ท่านใช้คำว่าประเสริฐทำไม ไม่มีใครประเสริฐนอกจากพระเจ้าองค์เดียว” มาระโก 10:18 พระองค์ตรัสในทำนองนี้ว่า ท่านใช้หลักการใดในการเรียกเราเป็นอาจารย์ผู้ประเสริฐ พระเจ้าทรงเป็นผู้ประเสริฐแต่ผู้เดียว หากเจ้ามองเห็นว่าเราประเสริฐเจ้าจะต้องยอมรับว่าเราเป็นบุตรของพระเจ้าและเป็นผู้แทนของพระองค์ {COL 390.3} COLTh 354.1

    พระองค์ตรัสต่อไปว่า “ถ้าท่านต้องการจะเข้าสู่ชีวิตก็ให้ถือรักษาพระบัญญัติไว้” มัทธิว 19:17 พระลักษณะนิสัยของพระเจ้าสำแดงออกในบัญญัติของพระเจ้าและเพื่อที่จะให้ท่านมีความเป็นหนึ่งกับพระเจ้าหลักการของบัญญัติของพระเจ้าจะต้องเป็นสิ่งที่กระตุ้นการกระทำทุกอย่างของท่าน {COL 391.1}COLTh 354.2

    พระคริสต์ไม่ได้ทรงลดข้อเรียกร้องของพระบัญญัติ พระองค์ทรงเสนอด้วยคำพูดที่ไม่ทำให้เกิดความเข้าใจผิดว่าการเชื่อฟังเป็นเงื่อนไขของชีวิตนิรันดร์ เป็นเงื่อนไขเดียวกันกับที่เสนอไว้ให้แก่อาดัมก่อนที่เขาจะล้มลงในความบาป พระเป็นเจ้าไม่ได้ทรงตั้งความหวังในจิตวิญญาณในระดับที่ต่ำกว่าที่พระองค์ทรงตั้งไว้สำหรับมนุษย์ในอุทยานสวรรค์ คือการเชื่อฟังอย่างสมบูรณ์แบบไม่มีด่างพร้อยและชอบธรรม ข้อกำหนดภายใต้พระบัญญัติแห่งพระคุณมีความกว้างเท่าเทียมกับข้อเรียกร้องที่ทรงจัดตั้งไว้ในสวนเอเดน คือการสอดประสานเข้ากับพระบัญญัติของพระเจ้าซึ่งบริสุทธิ์ ยุติธรรมและดี {COL 391.2}COLTh 354.3

    เมื่อได้รับคำสั่ง “ให้ถือรักษาพระบัญญัติไว้” ชายหนุ่มได้ถามขึ้นว่า “พระบัญญัติข้อไหนบ้าง” มัทธิว 19:18 เขาคาดเดาว่าคงหมายถึงพระบัญญัติเกี่ยวกับการถวายบูชาข้อใดข้อหนึ่ง แต่พระคริสต์ทรงกล่าวถึงพระบัญญัติที่ทรงโปรดประทานให้จากภูเขาซีนาย พระองค์ตรัสถึงพระบัญญัติหลายข้อของพระบัญญัติสิบประการจากศิลาแผ่นที่สอง แล้วทรงสรุปเป็นข้อความเดียวว่า “จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง” มัทธิว 19:19 {COL 391.3}COLTh 354.4

    ชายหนุ่มตอบอย่างไม่รีรอ “ข้าพเจ้ารักษาข้อเหล่านั้นทุกข้ออยู่แล้ว ข้าพเจ้ายังขาดอะไรอีกบ้าง” มัทธิว 19:20 เขาเข้าใจพระบัญญัติเพียงแต่ภายนอกและผิวเผิน โดยมาตรฐานของมนุษย์แล้ว เขารักษาอุปนิสัยได้ดีไม่มีด่างพร้อย จะว่าไปแล้วจากลักษณะทั่วไป ชีวิตภายนอกของเขานั้นไม่มีความบาปผิดใด เขามีความคิดว่าการเชื่อฟังของตนเองนั้นไม่มีที่ติ ถึงกระนั้นเขายังมีความกลัวลึกๆ อยู่ภายในว่ายังมีบางสิ่งไม่ถูกต้องระหว่างจิตวิญญาณของเขากับพระเจ้า นี่คือสิ่งที่กระตุ้นให้เขาถามขึ้นว่า “ข้าพเจ้ายังขาดอะไรอีกบ้าง” {COL 391.4}COLTh 355.1

    พระคริสต์ตรัสว่า “ถ้าท่านต้องการจะเป็นคนดีพร้อม จงไปขายทรัพย์สิ่งของที่ท่านมีอยู่แจกจ่ายให้คนยากจน แล้วท่านจะมีทรัพย์สมบัติในสวรรค์และจงตามเรามา เมื่อชายหนุ่มได้ยินถ้อยคำนั้นก็ออกไปเป็นทุกข์เพราะเขามีทรัพย์สินจำนวนมาก” มัทธิว 19:21, 22 {COL 391.5}COLTh 355.2

    ผู้ที่รักตนเองเป็นผู้ที่ล่วงละเมิดพระบัญญัติ พระเยซูทรงปรารถนาที่จะเปิดเผยให้ชายหนุ่มได้เห็น และพระองค์ทรงทดสอบเขาเพื่อจะเปิดเผยความเห็นแก่ตัวในใจของเขา พระองค์ทรงแสดงให้เขาเห็นจุดชั่วร้ายในอุปนิสัยของเขา ชายหนุ่มไม่ต้องการที่จะรู้แจ้งเห็นจริงเพิ่มเติม เขาเก็บถนอมรูปเคารพตนหนึ่งไว้ในจิตใจ โลกเป็นพระของเขา เขาอ้างว่าตนเป็นผู้ที่ถือรักษาพระบัญญัติ แต่เขาขาดแคลนหลักการซึ่งเป็นหัวใจและชีวิตของทุกสิ่งทั้งหมด เขาไม่มีความรักแท้จริงให้กับพระเจ้าหรือมนุษย์ การขาดแคลนนี้เป็นการขาดแคลนทุกสิ่งที่จะทำให้เขามีความเหมาะสมเพื่อเข้าไปยังแผ่นดินสวรรค์ ความรักตนเองและการได้มาซึ่งสมบัติทางโลก ทำให้เขาดำเนินชีวิตไม่สอดคล้องกับหลักการของสวรรค์ {COL 392.1}COLTh 355.3

    ในขณะที่ขุนนางผู้นี้มาหาพระเยซู ความจริงใจและความตั้งใจของเขาได้ชนะพระทัยของพระผู้ช่วย พระองค์ “ทรงเพ่งดูคนนั้น ก็ทรงรักเขา” มาระโก 10: 21 TBS1971 ในตัวของชายหนุ่มคนนี้ พระองค์ทรงเห็นคนหนึ่งซึ่งจะทำงานรับใช้พระเจ้าในฐานะผู้ประกาศแห่งความชอบธรรมได้ พระองค์ทรงพร้อมที่จะต้อนรับขุนนางหนุ่มและประทานความสามารถเหมือนกับที่พระองค์ทรงต้อนรับชาวประมงยากจนที่ได้ติดตามพระองค์ หากชายหนุ่มอุทิศความสามารถของเขาเพื่อการช่วยจิตวิญญาณให้รอด เขาก็อาจจะเป็นผู้รับใช้ของพระคริสต์ที่ขยันขันแข็งและประสบความสำเร็จ {COL 392.2}COLTh 355.4

    แต่ก่อนอื่น เขาจะต้องยอมรับเงื่อนไขของการเป็นสาวก เขาจะต้องถวายตัวแก่พระเจ้าโดยไม่มีข้อแม้ เมื่อพระผู้ช่วยให้รอดทรงเรียก ยอห์น มัทธิวและเพื่อนของเขา พวกเขา “ก็สละสิ่งสารพัดทิ้ง ลุกขึ้นตามพระองค์ไป” ลูกา 5:28 ขุนนางหนุ่มคนนี้ก็ต้องมีใจที่อุทิศตนแบบเดียวกัน การอุทิศตนเช่นนี้พระคริสต์ไม่ได้เรียกร้องการเสียสละที่ยิ่งใหญ่ไปกว่าที่พระองค์ทรงยอมสละมาแล้ว “แม้พระองค์ทรงมั่งคั่ง ก็ยังทรงยอมเป็นคนยากจนเพราะเห็นแก่ท่านทั้งหลาย เพื่อท่านทั้งหลายจะได้เป็นคนมั่งคั่งเนื่องจากความยากจนของพระองค์” 2 โครินธ์ 8:9 ชายหนุ่มคนนี้เพียงแต่ต้องเดินตามในทางที่พระคริสต์ทรงนำไป {COL 393.1}COLTh 356.1

    พระคริสต์ทอดพระเนตรชายหนุ่มและทรงต้องการจิตวิญญาณของเขา พระองค์ทรงหวังที่จะส่งเขาไปเป็นผู้สื่อข่าวแห่งพระพรแก่เพื่อนมนุษย์ พระองค์ทรงทดแทนความเสียสละที่เรียกร้องจากเขา ด้วยการเสนอสิทธิพิเศษคือการเป็นมิตรกับพระองค์ให้แก่เขา พระองค์ตรัสว่า “จงตามเรามา” เป็นสิทธิพิเศษที่เปโตร ยากอบ และยอห์นถือว่าเป็นความชื่นชมยินดี ชายหนุ่มเองมองพระคริสต์ด้วยความยกย่องนับถือ หัวใจของเขาถูกนำเข้าใกล้พระผู้ช่วยให้รอด แต่เขาไม่พร้อมที่จะรับหลักการเสียสละของพระผู้ช่วยให้รอด เขาเลือกสมบัติของตนก่อนการเลือกพระเยซู เขาต้องการชีวิตนิรันดร์ แต่ความรักที่ไม่เห็นแก่ตัวซึ่งเป็นชีวิตนั้นเขากลับไม่ยอมรับไว้ในจิตวิญญาณ และด้วยจิตใจที่ทุกข์โศกได้เดินจากพระคริสต์ไป {COL 393.2}COLTh 356.2

    ขณะที่ชายหนุ่มหันหลังไป พระเยซูตรัสกับสาวกว่า “คนมั่งมีจะเข้าในแผ่นดินของพระเจ้าก็ยากจริงๆ” มาระโก 10:23 ถ้อยคำนี้ทำให้สาวกต่างตกตะลึง พวกเขาได้รับการสอนว่าคนร่ำรวยเป็นที่โปรดปรานของสวรรค์ พวกเขาหวังที่จะได้รับอำนาจและความมั่งคั่งของทางโลกในอาณาจักรของพระเมสสิยาห์ หากคนร่ำรวยเข้าแผ่นดินสวรรค์ไม่ได้แล้ว คนอื่นๆ จะมีความหวังใดเล่า {COL 393.3}COLTh 356.3

    พระเยซูตรัสแก่พวกเขาอีกว่า ลูกเอ๋ย สำหรับคนที่วางใจในทรัพย์สมบัติ การเข้าในแผ่นดินของพระเจ้าก็ยากจริงๆ อูฐจะลอดรูเข็มก็ง่ายกว่าคนมั่งมีจะเข้าในแผ่นดินของพระเจ้า เหล่าสาวกก็ประหลาดใจอย่างยิ่ง” บัดนี้พวกเขารู้ตัวแล้วว่า ตนเองก็รวมอยู่ในคำเตือนสำคัญนี้ ในแสงสว่างของคำพูดขององค์พระผู้เป็นเจ้า ความต้องการอำนาจและทรัพย์สมบัติที่แอบซ่อนอยู่ภายในได้ถูกเปิดเผย ด้วยความหวั่นหวาดใจตนเอง พวกเขาจึงร้องขึ้นว่า “ถ้าอย่างนั้นใครจะรอดได้” มาระโก 10:24-26 {COL 394.1}COLTh 357.1

    พระเยซูทอดพระเนตรพวกเขาแล้วตรัสว่า ส่วนมนุษย์ก็เหลือกำลังที่จะทำได้ แต่ไม่เหลือกำลังของพระเจ้า เพราะว่าพระเจ้าทรงทำให้สำเร็จได้ทุกสิ่ง” มาระโก 10:27 {COL 394.2}COLTh 357.2

    คนที่ร่ำรวยในสภาพเช่นชายคนนี้เข้าสวรรค์ไม่ได้ สมบัติของเขาให้สิทธิเพื่อรับมรดกของธรรมมิกชนแห่งความสว่างไม่ได้ โดยอาศัยพระคุณอันไร้ขอบเขตจำกัดของพระคริสต์เท่านั้นที่มนุษย์ไม่ว่าจะเป็นใครก็เข้าไปยังนครของพระเจ้าได้ {COL 394.3}COLTh 357.3

    พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าตรัสกับคนร่ำรวยไม่ด้อยไปกว่ากับคนยากจนว่า “ท่านทั้งหลายไม่ใช่เจ้าของตัวท่านเอง เพราะว่าพระเจ้าทรงซื้อท่านไว้แล้ว” 1โครินธ์ 6:19 , 20 เมื่อมนุษย์เชื่ออย่างนี้ ทุกสิ่งที่เขาครอบครองอยู่ก็จะถือว่าได้รับฝากไว้เพื่อใช้ตามที่พระเจ้าทรงชี้แนะ สำหรับช่วยผู้ที่หลงหายและสงเคราะห์ผู้ตกทุกข์ได้ยากและผู้ยากไร้ สำหรับมนุษย์ เป็นเรื่องที่ทำไม่ได้ เพราะใจยึดติดกับสมบัติทางโลก จิตวิญญาณที่ผูกพันกับการรับใช้ทรัพย์สมบัติจะไม่ได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือของเพื่อนมนุษย์ แต่ทุกสิ่งเป็นไปได้สำหรับพระเจ้า การมองไปยังความรักอันไม่มีสิ่งใดเปรียบได้ของพระคริสต์ทำให้จิตใจที่เห็นแก่ตัวละลายไปและยอมจำนนต่อพระองค์ เศรษฐีคนนี้จะถูกนำให้พูดเช่นเดียวกับเซาโลคนฟาริสีว่า “อะไรที่เคยเป็นกำไรของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าได้ถือว่าสิ่งนั้นเป็นการขาดทุนแล้วเพราะเหตุพระคริสต์ ยิ่งกว่านั้นข้าพเจ้าถือว่าทุกสิ่งเป็นการขาดทุนเพราะเหตุคุณค่าอันสูงยิ่งของการได้รู้จักพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้า” ฟีลิปปี 3:7, 8 แล้วเขาจะไม่นับสิ่งใดว่าเป็นของตน พวกเขาจะชื่นชมที่ถือว่าตนเป็นผู้อารักขาพระคุณอันใหญ่หลวงของพระเจ้าและเป็นผู้รับใช้มนุษย์ทุกคนเพื่อเห็นแก่พระองค์ {COL 394.4}COLTh 357.4

    เปโตรเป็นคนแรกที่แสดงออกถึงความคิดอันลึกล้ำ ซึ่งเป็นผลจากพระดำรัสของพระผู้ช่วยให้รอด เขาคิดด้วยความภูมิใจในสิ่งที่เขาและน้องชายยอมเสียสละเพื่อพระผู้ช่วยให้รอด เขาพูดว่า “นี่แหละ ข้าพระองค์ทั้งหลายยอมสละสิ่งสารพัดและติดตามพระองค์มา” เขาคิดถึงคำสัญญาอันมีข้อแม้ที่ขุนนางหนุ่มได้รับที่กล่าวว่า “ท่านจึงมีทรัพย์สมบัติในสวรรค์” และเขาก็ถามว่าเขาและเพื่อนๆ จะได้สิ่งใดเป็นการตอบแทนสำหรับการเสียสละของพวกเขา มาระโก 10:27, 21 {COL 395.1}COLTh 358.1

    คำตอบของพระผู้ช่วยให้รอดสร้างความตื่นเต้นให้แก่ชาวประมงชาวกาลิลีเหล่านี้ เพราะเป็นภาพของเกียรติยศที่จะทำให้ความฝันอันสูงสุดของพวกเขาสำเร็จ “เราบอกความจริงกับท่านทั้งหลายว่า ในโลกใหม่เมื่อบุตรมนุษย์นั่งบนพระที่นั่งอันรุ่งโรจน์นั้น พวกท่านที่ติดตามเราจะได้นั่งบนบัลลังก์สิบสองที่พิพากษาชนอิสราเอลสิบสองเผ่า” และพระองค์ตรัสต่อไปอีกว่า “ใครก็ตามที่สละบ้านหรือพี่น้องชายหญิง หรือบิดามารดา หรือลูก หรือไร่นา เพราะเห็นแก่เราและข่าวประเสริฐของเรา คนนั้นจะได้รับผลตอบแทนร้อยเท่าในยุคนี้คือ บ้าน พี่น้องชายหญิง มารดา ลูกและไร่นา พร้อมการข่มเหงด้วย และในยุคหน้าจะได้ชีวิตนิรันดร์” มาระโก 10:28-30 {COL 395.2}COLTh 358.2

    แต่คำถามของเปโตรที่ว่า “พวกข้าพระองค์จะได้อะไรบ้าง” มัทธิว 10:27 แสดงออกถึงจิตใจที่หากไม่ได้รับการแก้ไขจะทำให้พวกสาวกไม่เหมาะที่จะเป็นผู้สื่อข่าวของพระคริสต์ เพราะเป็นจิตใจของคนรับจ้าง ในขณะที่ความรักของพระเยซูดึงดูดใจของสาวกทั้งหลาย พวกเขายังไม่ได้หลุดพ้นจากความคิดแบบฟาริสี พวกเขายังทำงานด้วยความคิดที่จะได้รับสิ่งตอบแทนตามแรงงานที่ทุ่มเทไป พวกเขายังรักจิตใจที่ยกย่องตนเองและพอใจในตนเอง และเปรียบเทียบระหว่างพวกเดียวกันเอง เมื่อคนหนึ่งในพวกเขาล้มลงในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง คนอื่นก็จะหมกมุ่นกลับความรู้สึกว่าตนเองอยู่เหนือผู้อื่น {COL 396.1}COLTh 358.3

    เพื่อป้องกันสาวกทั้งหลายที่จะมองพลาดหลักการของข่าวประเสริฐ พระคริสต์ตรัสอุปมาเพื่ออธิบายถึงวิธีปฏิบัติของพระเจ้าต่อผู้รับใช้และลักษณะวิญญาณแห่งการรับใช้ที่พระองค์ทรงปรารถนา {COL 396.2}COLTh 358.4

    พระองค์ตรัสว่า “เพราะว่าแผ่นดินสวรรค์เป็นเหมือนเจ้าของสวนคนหนึ่ง ที่ออกไปจ้างคนงานเพื่อสวนองุ่นของตนตั้งแต่เวลาเช้าตรู่” มัทธิว 20:1 ตามธรรมเนียม คนหางานจะไปรอคอยในตลาด และนายจ้างจะมาหาคนทำงาน นายจ้างในอุปมานี้ออกมาหาคนงานในเวลาต่างๆ กัน ผู้ที่จ้างมาในเวลาเช้าตรู่ตกลงรับค่าจ้างตามที่บอกไว้ คนรับจ้างในเวลาต่อมาปล่อยให้ผู้จ้างพิจารณาค่าจ้างตอบแทนตามความพอใจ {COL 396.3}COLTh 359.1

    เมื่อถึงเวลาพลบค่ำ เจ้าของสวนสั่งผู้จัดการว่า ไปเรียกพวกคนงานมา แล้วให้ค่าจ้างแก่พวกเขา เริ่มจากพวกสุดท้ายจนถึงพวกแรก พวกที่มาทำงานเวลาประมาณห้าโมงเย็นนั้น ได้ค่าจ้างคนละหนึ่งเดนาริอัน พวกแรกจึงคิดว่าเขาจะได้มากกว่านั้น แต่ก็ได้คนละหนึ่งเดนาริอันเหมือนกัน” มัทธิว 20:8-10 {COL 396.4}COLTh 359.2

    เจ้าของสวนที่ปฏิบัติต่อคนงานในสวนองุ่นเปรียบได้กับการปฏิบัติของพระเจ้าต่อครอบครัวมนุษยชาติ เป็นการกระทำที่ค้านกับธรรมเนียมการปฏิบัติของมนุษย์ ในธุรกิจทางโลก การตอบแทนจะให้ตามงานที่ทำ คนงานหวังที่จะได้ค่าจ้างเท่ากับงานที่ทำ แต่ในอุปมานี้พระคริสต์ทรงแสดงให้เห็นถึงหลักการของแผ่นดินสวรรค์ของพระองค์ เป็นแผ่นดินที่ไม่ใช่ของโลกนี้ พระองค์ไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของมาตรฐานมนุษย์ พระยาห์เวห์ตรัสว่า “ความคิดของเราไม่ใช่ความคิดของเจ้า และทางของพวกเจ้าก็ไม่ใช่ทางของเรา…เพราะฟ้าสวรรค์สูงกว่าแผ่นดินโลกอย่างไร ทางของเราก็สูงกว่าทางของพวกเจ้าและความคิดของเราก็สูงกว่าความคิดของเจ้าอย่างนั้น” อิสยาห์ 55:8, 9COLTh 359.3

    ในอุปมานี้ คนงานคนแรกตกลงทำงานเพื่อค่าจ้างที่กำหนดไว้และพวกเขาก็ได้ค่าจ้างเท่ากับที่กำหนดไว้โดยไม่ได้ส่วนเพิ่มมากไปกว่านี้ ส่วนผู้ที่รับจ้างมาทีหลังเชื่อตามสัญญาของนายจ้างที่ว่า “ท่านจะได้รับค่าจ้างที่สมควร” Thai KJV พวกเขาแสดงออกถึงความไว้ใจในนายจ้างโดยไม่ถามเรื่องค่าตอบแทน ไม่ใช่โดยปริมาณงานที่ทำแต่ได้รับการตอบแทนตามความตั้งใจอันเต็มด้วยความกรุณาของนายจ้าง {COL 397.1}COLTh 359.4

    ด้วยเหตุนี้พระเจ้าทรงปรารถนาให้เราวางใจพระองค์ผู้ทรงชำระคนอธรรม พระองค์ไม่ได้ประทานการตอบแทนตามความดีของเรา แต่ประทานให้ตามพระประสงค์ของพระองค์เอง “ที่พระองค์ทรงทำแล้วในพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา” เอเฟซัส 3:11 “ไม่ใช่เพราะความชอบธรรมที่เราทำเอง แต่ด้วยพระเมตตาของพระองค์โดยผ่านการชำระให้บังเกิดใหม่” ทิตัส 3:5 และสำหรับผู้ที่วางใจในพระองค์ พระองค์จะทรง “สามารถทำทุกสิ่งได้มากยิ่งกว่าที่เราทูลขอหรือคิด” เอเฟซัส 3:20 {COL 397.2}COLTh 360.1

    งานที่มีคุณค่าสำหรับพระเจ้าไม่ได้ขึ้นอยู่กับปริมาณแรงงานที่ทุ่มลงไปหรือผลของงานที่มองเห็นได้ แต่ขึ้นกับความตั้งใจของวิญญาณที่ทุ่มเทกับการทำงานนั้น ผู้ที่เข้ามายังสวนในเวลาห้าโมงนั้น มีจิตใจแห่งการขอบคุณที่ได้งานทำ หัวใจของพวกเขาเต็มล้นด้วยความซาบซึ้งใจต่อผู้ที่ยอมรับพวกเขาและเมื่อถึงเวลาเย็นเจ้าของสวนได้จ่ายเงินค่าแรงเต็มวัน พวกเขาแปลกใจเป็นอย่างยิ่ง พวกเขาทราบดีว่าตนเองไม่สมควรที่จะได้ค่าจ้างเช่นนี้ และความเมตตาที่แสดงออกมาให้เห็นในสีหน้าของนายจ้างทำให้พวกเขามีความสุข พวกเขาจะไม่มีวันลืมความดีของเจ้าของสวนหรือค่าแรงที่ให้มาด้วยความเอื้อเฟื้อ ด้วยประการเช่นนี้ คนบาปผู้ที่ทราบดีถึงความไม่เหมาะสมของตนเอง เมื่อเข้าไปทำงานในสวนของพระผู้ทรงเป็นเจ้านายในเวลาบ่ายห้าโมง เวลาในการรับใช้นั้นสั้นเหลือเกิน เขารู้ว่าค่าตอบแทนนั้นไม่เหมาะสมกับตนเอง แต่เขาก็มีใจเปี่ยมล้นด้วยความสุขที่พระเจ้าทรงรับเขา เขาทำงานด้วยจิตวิญญาณที่ถ่อมตนและไว้วางใจ สำนึกถึงพระคุณที่ได้เข้าเป็นผู้ร่วมงานกับพระคริสต์ จิตใจแห่งการรับใช้เช่นนี้พระเจ้าทรงยอมรับด้วยความพอพระทัย {COL 397.3}COLTh 360.2

    พระยาห์เวห์ทรงประสงค์ที่จะให้เราวางใจในพระองค์โดยไม่ต้องถามถึงขนาดของค่าตอบแทน เมื่อพระคริสต์สถิตอยู่ในใจ เรื่องบำเหน็จตอบแทนจะไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุด นี่ไม่ใช่สิ่งจูงใจที่กระตุ้นการทำงานรับใช้ของเรา จริงอยู่ภายใต้จิตสำนึกของเรา เราสมควรที่จะให้ความเคารพต่อการให้ค่าตอบแทน พระเจ้าทรงประสงค์ให้เรารู้สำนึกบุญคุณถึงพระพรแห่งพระสัญญา แต่พระองค์ไม่ได้ทรงต้องการให้เราเอาใจจดจ่อต่อการจะได้รับค่าตอบแทนหรือรู้สึกว่าจะต้องได้รับค่าตอบแทนสำหรับทุกงานที่ทำ เราไม่ควรวิตกห่วงใยกับค่าตอบแทนมากไปนัก แต่ควรใส่ใจกับการกระทำที่ถูกต้องไม่ว่าจะได้การตอบแทนมากเท่าไรก็ตาม ความรักที่ถวายให้กับพระเจ้าและรักที่ให้กับเพื่อนมนุษย์จะต้องเป็นแรงจูงใจของเรา {COL 398.1}COLTh 360.3

    อุปมานี้ไม่ให้โอกาสแก้ตัวแก่ผู้ที่ถูกเรียกเข้าทำงานกลุ่มแรกแต่ให้โอกาสคนที่ละเลยที่จะเข้าสู่สวนองุ่นขององค์พระผู้เป็นเจ้า เมื่อเจ้าของสวนไปตลาดตอนบ่ายห้าโมง และพบคนว่างงาน ท่านจึงพูดขึ้นว่า “พวกท่านยืนอยู่ว่างๆ ที่นี่ทั้งวันทำไม” คำตอบที่ได้รับก็คือ “เพราะว่าไม่มีใครจ้างเรา” มัทธิว 20:6, 7 คนที่ได้รับการเรียกในเวลาเย็น ไม่ได้อยู่ที่นั่นในช่วงเช้า พวกเขาไม่ได้ปฏิเสธการเชิญชวน คนที่ปฏิเสธและต่อมาภายหลังได้กลับใจก็ดีแล้ว แต่เป็นเรื่องไม่ปลอดภัยที่จะไม่เอาจริงกับการทรงเรียกแห่งพระเมตตาคุณครั้งแรก {COL 399.1}COLTh 361.1

    เมื่อผู้ที่ทำงานทั้งหลายในสวนได้รับ “คนละหนึ่งเดนาริอัน” แล้ว มัทธิว 20:10 คนที่ทำงานตั้งแต่เช้าก็ไม่พอใจ พวกเขาทำงานนานถึงสิบสองชั่วโมงไม่ใช่หรือ จึงพากันให้เหตุผลว่าเป็นเรื่องถูกต้องไม่ใช่หรือที่พวกเขาจะต้องได้รับมากกว่าผู้ที่ได้ทำงานเพียงชั่วโมงเดียวในเวลาที่อากาศเย็นสบายแล้ว จึงต่างพูดว่า “ พวกสุดท้ายทำงานแค่ชั่วโมงเดียว แต่ท่านกลับให้ค่าจ้างพวกเขาเท่ากับเราที่ทำงานตรากตรำกลางแดดตลอดวัน” มัทธิว 20:12 {COL 399.2}COLTh 361.2

    เจ้าของสวนตอบคนหนึ่งในพวกนั้นว่า “ เพื่อนเอ๋ย เราไม่ได้โกงท่านเลย ท่านตกลงกับเราวันละหนึ่งเดนาริอันไม่ใช่หรือ รับค่าจ้างของท่านไปเถิด เราต้องการจะให้กับคนสุดท้ายนี้เท่ากับท่าน เราจะใช้เงินทองของเราตามใจตัวเองไม่ได้หรือ ทำไมท่านอิจฉาเมื่อเห็นเราใจดี {COL 399.3}COLTh 361.3

    อย่างนั้นแหละ คนที่เป็นคนสุดท้ายจะกลับเป็นคนแรกและคนที่เป็นคนแรกจะกลับเป็นคนสุดท้าย [ด้วยว่าผู้รับเชิญก็มาก แต่ผู้ที่ทรงเลือกก็น้อย Thai KJV]” มัทธิว 20:13-16 {COL 399.4}COLTh 361.4

    ผู้ที่เข้าทำงานกลุ่มแรกตามอุปมาเป็นตัวแทนของผู้ที่อ้างตนว่ามีสิทธิเหนือผู้อื่นอันเนื่องจากหน้าที่การงาน พวกเขาทำงานด้วยจิตใจที่ชื่นชมยกย่องตัวเอง หาได้ทำงานด้วยความเสียสละและควบคุมตัวเองไม่ พวกเขาอาจจะแสดงตนว่ารับใช้พระเจ้าตลอดชีวิตของตน อาจจะเป็นคนแรกที่ต้องทนทุกข์ ขัดสนและเผชิญการทดลอง ด้วยเหตุนี้จึงคิดว่าตนน่าจะเป็นผู้ที่ได้รับบำเหน็จรางวัลตอบแทนที่ยิ่งใหญ่ พวกเขาคิดถึงค่าตอบแทนมากกว่าโอกาสการเป็นผู้รับใช้ของพระคริสต์ ในทัศนะของพวกเขา การทำงานและการเสียสละของพวกเขาจะต้องได้รับเกียรติยศมากกว่าผู้อื่น และเนื่องจากการเรียกร้องนี้ไม่ได้รับการตอบสนอง พวกเขาจึงขุ่นเคืองใจ หากพวกเขาเอาจิตใจที่มีความรักและวิญญาณแห่งความไว้วางใจใส่เข้าไปในการทำงานแล้ว พวกเขาก็จะได้เป็นหนึ่งอย่างต่อเนื่องตลอดไป แต่เพราะจิตใจที่มีแต่การทะเลาะเบาะแว้งมีแต่การบ่นติเตียนซึ่งเป็นลักษณะที่ไม่เหมือนกับชีวิตของพระคริสต์ ได้พิสูจน์ให้เห็นว่าพวกเขาไม่มีความเหมาะสม เป็นการแสดงให้เห็นถึงความต้องการให้ตัวเองก้าวขึ้นไปข้างหน้า แสดงถึงการไม่วางใจในพระเจ้าและจิตใจที่มีแต่ความอิจฉาริษยาพี่น้องของตน สำหรับคนอย่างนี้ความดีและน้ำพระทัยที่กว้างขวางของพระเป็นเจ้า เป็นเพียงให้โอกาสแก่เขาในการบ่นติเตียน การกระทำเช่นนี้แสดงให้เห็นว่าจิตใจของพวกเขาหาได้มีความสัมพันธ์กับพระเจ้าไม่ พวกเขาไม่เข้าใจถึงความสุขแห่งการได้ร่วมมือกับพระเจ้าผู้ทรงเป็นนายงาน {COL 399.5}COLTh 362.1

    ไม่มีสิ่งใดสร้างความขุ่นเคืองต่อพระเจ้ามากไปกว่าจิตใจที่คับแคบและเห็นแก่ตัว พระองค์ทำงานร่วมกับผู้ที่แสดงตัวลักษณะแบบนี้ไม่ได้ พวกเขาจะไม่มีความรู้สึกไวต่อการทำงานของพระวิญญาณของพระองค์ {COL 400.1}COLTh 362.2

    ชาวยิวถูกเรียกให้เข้าไปทำงานในสวนองุ่นของพระเจ้าก่อนผู้อื่น และด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงเย่อหยิ่งและเข้าใจว่าตนเองดีพร้อม เวลาแห่งการรับใช้นานหลายปีทำให้พวกเขาคิดว่าจะต้องได้บำเหน็จตอบแทนมากกว่าผู้อื่น ไม่มีสิ่งใดที่จะทำให้พวกเขาโมโหโกรธามากไปกว่าการให้คนต่างชาติเข้าร่วมรับสิทธิที่เท่าเทียมกับพวกตนในเรื่องของพระเจ้า {COL 400.2}COLTh 362.3

    พระคริสต์ทรงเตือนสาวกที่ได้รับการทรงเรียกให้ติดตามพระองค์ก่อนผู้อื่น หาไม่แล้วความชั่วร้ายชนิดเดียวกันจะเกิดขึ้นในพวกเขา พระองค์ทรงเห็นว่าจิตใจที่คิดว่าตนเองเป็นคนชอบธรรมจะนำความอ่อนแอ คำสาปแช่งมาสู่คริสตจักร มนุษย์คิดว่าเขาสามารถทำอะไรสักอย่างหนึ่งเพื่อจะมีที่อยู่ในแผ่นดินสวรรค์ พวกเขาคิดว่าเมื่อก้าวหน้าขึ้นไปถึงจุดหนึ่งแล้ว พระเป็นเจ้าจะเสด็จมาช่วยพวกตน ดังนั้นพวกเขาจึงเต็มไปด้วยอัตตาแต่ไม่มีพระเยซู หลายคนที่ได้ก้าวขึ้นไปเพียงเล็กน้อยจะเย่อหยิ่งและคิดว่าตนเองเหนือกว่าผู้อื่น พวกเขาพร้อมที่จะรับคำยกยอปอปั้น เมื่อไม่ได้รับการยกย่องว่ามีความสำคัญก็จะเกิดความอิจฉา พระคริสต์ทรงพยายามหาทางปกป้องสาวกจากภัยอันตรายเหล่านี้ {COL 400.3}COLTh 363.1

    ในตัวเราต้องไม่มีการอวดอ้างถึงคุณงามความดีของตนเอง “อย่าให้ผู้มีปัญญาอวดสติปัญญาของตน อย่าให้ชายฉกรรจ์อวดความเข้มแข็งของตน อย่าให้คนมั่งมีอวดความมั่งคั่งของตน แต่ให้ผู้อวด อวดสิ่งนี้คือการที่เขาเข้าใจและรู้จักเราว่าเราคือพระยาห์เวห์ผู้สำแดงความรักมั่นคง ความยุติธรรมและความชอบธรรมในโลกเพราะเราพอใจในสิ่งเหล่านี้ พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้แหละ” เยเรมีย์ 9:23 , 24COLTh 363.2

    บำเหน็จตอบแทนที่ได้รับไม่ใช่เป็นเพราะการกระทำเพื่อจะไม่ให้มีผู้ใดอวดได้ ทว่าทั้งหมดนี้ล้วนเป็นผลของพระคุณทั้งสิ้น “ ถ้าอย่างนั้น เราจะว่าอย่างไรในเรื่องอับราฮัมบรรพบุรุษของเราตามสายโลหิต ถ้าอับราฮัมถูกชำระให้ชอบธรรมโดยการประพฤติ ท่านก็มีทางที่จะอวดได้ แต่ไม่ใช่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า พระคัมภีร์ว่าอย่างไร ก็ว่า อับราฮัมเชื่อในพระเจ้า และพระองค์ทรงถือว่าท่านเป็นคนชอบธรรม ส่วนคนที่ทำงานก็ไม่ถือว่าค่าจ้างที่ได้นั้นเป็นบำเหน็จ แต่ถือว่าเป็นค่าแรงของงานที่ได้ทำ ส่วนคนที่ไม่ได้อาศัยการประพฤติ แต่ได้เชื่อในพระองค์ผู้ทรงให้คนอธรรมเป็นคนชอบธรรมได้ เพราะความเชื่อของคนนั้นพระเจ้าทรงถือว่าเป็นความชอบธรรม” โรม 4:1-5 ดังนั้นไม่ว่าผู้ใดก็ไม่มีโอกาสที่จะอวดตัวเองเหนือผู้อื่นหรือโกรธเคืองผู้อื่น ไม่มีใครได้สิทธิพิเศษเหนือผู้อื่น หรือยึดเอาการตอบแทนว่าเป็นสิทธิของตน {COL 401.2}COLTh 363.3

    ทั้งคนแรกและคนสุดท้ายจะมีส่วนร่วมรับบำเหน็จตอบแทนนิรันดร์ที่ยิ่งใหญ่ ผู้ที่มาก่อนจะต้องต้อนรับผู้ที่มาสุดท้ายด้วยความยินดี ผู้ที่มีใจขุ่นเคืองคนอื่นที่ได้รับบำเหน็จตอบแทนนั้น ลืมไปว่าตนเองก็รอดโดยพระคุณเหมือนกัน อุปมาของคนทำงานในสวนเรื่องนี้ตำหนิความอิจฉาและความสงสัยทุกประการ ความรักชื่นชมยินดีในความจริงและไม่สร้างการเปรียบเทียบที่เป็นความอิจฉาริษยา ผู้ที่มีความรักอยู่ในตัวจะเปรียบเทียบความรักอันดีงามของพระคริสต์กับอุปนิสัยอันไม่สมบูรณ์แบบของตนเองเท่านั้น {COL 402.1}COLTh 364.1

    อุปมานี้เป็นคำตักเตือนผู้ทำงานรับใช้ทุกคนไม่ว่าพวกเขาจะมีอายุงานการรับใช้นานเพียงใด ไม่ว่าจะมีงานหนักมากเพียงไร หากไม่มีความรักต่อพี่น้อง หากเขาไม่มีการถ่อมตนต่อพระพักตร์พระเจ้า การรับใช้เหล่านั้นก็ไม่มีคุณค่าใดเลย ผู้ที่ยกตัวเองขึ้นเป็นใหญ่เป็นคนที่ไม่มีศาสนา คนที่มีเป้าหมายทำตนให้เป็นที่ยกย่องสรรเสริญจะพบว่าตัวเขาตกอยู่ในสภาพที่ขาดพระคุณ เพราะพระคุณนี้เท่านั้นที่จะทำให้การรับใช้พระคริสต์ของเขาบังเกิดผล เมื่อใดที่ปล่อยให้ความหยิ่งยโสและความพอใจในตนเองเกิดขึ้น การงานนั้นก็ไร้ประโยชน์ {COL 402.2}COLTh 364.2

    การรับใช้ที่พระเจ้าทรงยอมรับนั้น ไม่ขึ้นอยู่ที่ระยะเวลาของการทำงานแต่ขึ้นอยู่กับความเต็มใจและความซื่อสัตย์ในการงาน สิ่งที่พระองค์ทรงเรียกร้องก็คือการถวายตัวรับใช้ด้วยความเสียสละ หน้าที่อันเล็กน้อยที่สุดแต่ทำด้วยความจริงใจ และเสียสละโดยไม่คำนึงถึงตนเองนั้นเป็นที่ชอบพระทัยพระเจ้ามากยิ่งกว่างานใหญ่โตที่มุ่งทำเพื่อให้ตนเองได้รับเกียรติ พระเจ้าทรงทอดพระเนตรดูว่าเรามีจิตใจแบบพระคริสต์มากเพียงใด และงานของเราสำแดงพระคริสต์มากเพียงใด พระองค์ทรงสนพระทัยในความรักและความซื่อสัตย์ต่องานที่เราทำมากกว่าปริมาณของงานที่เราทำ {COL 402.3}COLTh 364.3

    เมื่อใดที่ความเห็นแก่ตัวตายจากไป เมื่อใดที่การแย่งชิงความเป็นใหญ่ถูกทำลายไป เมื่อใดที่ความสำนึกในพระคุณเต็มล้นอยู่ในใจและความรักส่งกลิ่นหอมให้กับชีวิต เมื่อนั้นเท่านั้นที่พระคริสต์จะสถิตอยู่ในจิตใจและเราจะเป็นที่ยอมรับว่าเป็นผู้ร่วมงานกับพระเจ้า {COL 402.4}COLTh 364.4

    ไม่ว่างานของพวกเขาจะยากลำบากเพียงไร ผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์จะไม่ถือว่างานนั้นน่าเบื่อหน่าย พวกเขาพร้อมที่จะเสียสละทำงานและพร้อมที่จะรับใช้เพราะงานที่ทำนั้นเป็นที่น่าชื่นชม เขารับใช้ด้วยจิตใจที่ยินดี ความชื่นชมยินดีในพระเจ้าแสดงออกผ่านทางพระเยซูคริสต์ ความสุขของเขาเป็นความสุขที่ถูกจัดวางไว้ต่อหน้าพระคริสต์ผู้ทรง “กระทำตามพระประสงค์ของผู้ที่ทรงใช้เรามาและทำให้งานของพระองค์สำเร็จ” ยอห์น 4:34 พวกเขาร่วมมือกับพระเป็นเจ้าแห่งพระสิริ ความคิดเช่นนี้ทำให้การตรากตรำทำงานบรรเทาลง ช่วยค้ำจุนความตั้งใจ กระตุ้นจิตวิญญาณให้เข้มแข็งไม่ว่าจะมีสิ่งใดเกิดขึ้น การทำงานด้วยจิตใจที่ไม่เห็นแก่ตัว จิตใจที่สูงส่งขึ้นจากการมีส่วนร่วมในการทนทุกข์ของพระคริสต์ การมีส่วนร่วมในความเห็นอกเห็นใจกับพระองค์และมีส่วนทำงานร่วมกับพระองค์ สิ่งเหล่านี้ทำให้พวกเขามีส่วนช่วยเพิ่มพูนกระแสแห่งความสุขและนำเกียรติยศและคำสรรเสริญมาสู่พระนามยิ่งใหญ่อันเป็นที่ยกย่องของพระองค์ {COL 402.5}COLTh 365.1

    นี่คือจิตใจของการทำงานรับใช้พระเจ้าที่แท้จริง มีคนจำนวนมากที่จิตใจขาดความรู้สึกเช่นนี้ คนที่น่าจะเป็นคนต้นแต่กลับไปเป็นคนสุดท้าย แต่คนที่มีจิตใจดังที่ว่านี้แม้จะถูกนับว่าเป็นคนสุดท้ายจะกลับกลายมาเป็นคนต้น {COL 403.1}COLTh 365.2

    มีคนจำนวนมากถวายตัวให้พระคริสต์แล้ว ถึงกระนั้นกลับมองไม่เห็นโอกาสที่จะทำงานที่ยิ่งใหญ่หรือเสียสละในการรับใช้พระองค์ คนเหล่านี้จะปลอบใจตนเองด้วยความคิดที่ว่าไม่จำเป็นที่จะต้องมอบถวายชีวิตของตนเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่พอพระทัยมากที่สุดของพระเจ้า พวกเขาอาจจะไม่ได้เป็นศาสนทูตที่ต้องเผชิญกับภัยอันตรายและความตายทุกวัน เพื่อบันทึกไว้ในที่สูงสุดของสมุดบันทึกแห่งสวรรค์ คริสเตียนที่ดำรงชีวิตส่วนตัวอย่างจริงใจ ถวายตัวทุกวัน มีความมุ่งมั่นที่จริงใจและมีความคิดที่บริสุทธิ์ มีความถ่อมตนแม้จะอยู่ในสภาวะที่ถูกทำให้โกรธ มีความเชื่อและความกตัญญู ความจงรักภักดีในสิ่งเล็กน้อยที่สุด ผู้ที่เป็นตัวแทนของพระลักษณะนิสัยของพระคริสต์แม้ขณะอยู่ภายในบ้าน บุคคลเหล่านี้มีค่าในสายพระเนตรพระเจ้ามากยิ่งกว่าคนที่โลกยกย่องว่าเป็นศาสนทูตหรือผู้ยอมเสียสละชีวิตเพื่อศาสนาเสียอีก {COL 403.2}COLTh 365.3

    โอ มาตรฐานของพระเจ้าและมาตรฐานของมนุษย์ที่ใช้วัดอุปนิสัยนั้นช่างแตกต่างกันยิ่งนัก พระเจ้าทรงเห็นวิธีต่อสู้เอาชนะการทดลองจำนวนมากที่โลกและแม้แต่มิตรสหายผู้ใกล้ชิดมองไม่เห็น คือการทดลองในบ้านและการทดลองในจิตใจ พระองค์ทรงเห็นจิตวิญญาณที่ถ่อมใจในสภาพของความอ่อนแอ ทรงเห็นการกลับใจอย่างจริงจังจากความคิดชั่วแม้เพียงความคิดเดียว พระองค์ทรงเห็นการทุ่มเทใจอุทิศตนอย่างแท้จริงเพื่อการรับใช้ในงานของพระองค์ พระองค์ทรงสังเกตช่วงเวลาการต่อสู้กับตนเองอย่างแสนสาหัส เป็นการต่อสู้จนสามารถเอาชนะได้ สิ่งทั้งหมดเหล่านี้พระเจ้าและทูตของพระองค์ทรงทราบ สำหรับผู้ที่ยำเกรงองค์พระผู้เป็นเจ้าและใคร่ครวญถึงพระนามของพระองค์ หนังสือบันทึกความทรงจำที่มีอยู่ต่อพระพักตร์ของพระองค์บันทึกชื่อของพวกเขาไว้แล้ว {COL 403.3}COLTh 366.1

    ความลับที่นำไปสู่ความสำเร็จของเราไม่ได้อยู่ที่ความรู้ ไม่ได้อยู่ที่ตำแหน่งหน้าที่ ไม่ใช่อยู่ที่จำนวนหรือของประทานที่เราได้รับ ไม่ได้อยู่ที่ความตั้งใจของมนุษย์ เมื่อตระหนักถึงความไร้ประสิทธิภาพของเรา เราต้องใคร่ครวญถึงพระคริสต์ และโดยทางพระองค์ผู้ทรงเป็นกำลังเหนือกำลังทั้งหลาย ผู้ทรงเป็นความคิดเหนือความคิดทั้งหลายที่จะทำให้ผู้ที่เชื่อและยอมกระทำตามได้รับชัยชนะติดต่อกันไปไม่มีสิ้นสุด {COL 404.1}COLTh 366.2

    ไม่ว่าหน้าที่การงานที่เรารับใช้จะสั้นหรือต่ำต้อยเพียงไรก็ตาม หากเราติดตามพระคริสต์ด้วยความเชื่อที่เรียบง่าย เราจะไม่ผิดหวังในบำเหน็จตอบแทนของพระองค์ สิ่งที่แม้ผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและฉลาดที่สุดไม่สามารถจะหามาได้แต่ผู้ที่อ่อนแอและถ่อมตนมากที่สุดจะได้รับ ประตูทองคำแห่งสวรรค์จะไม่เปิดออกสำหรับคนที่ยกย่องตนเอง ประตูนี้จะไม่เปิดออกสำหรับจิตใจที่หยิ่งยโส แต่ประตูอันเป็นนิรันดร์นี้จะเปิดกว้างแก่การสัมผัสของมืออันสั่นเทาของเด็กเล็กๆ ความสุขแห่งการตอบแทนแห่งพระคุณจะมีไว้สำหรับผู้ที่รับใช้พระเจ้าด้วยความเชื่อและความรักที่บริสุทธิ์เรียบง่าย {COL 404.2}COLTh 366.3

    *****