Loading...
Larger font
Smaller font
Copy
Print
Contents

อุทาหรณ์จากคำสอนของพระคริสต์

 - Contents
  • Results
  • Related
  • Featured
No results found for: "".
  • Weighted Relevancy
  • Content Sequence
  • Relevancy
  • Earliest First
  • Latest First

    ผู้หว่านและเมล็ดพืช

    ด้วยการใช้อุปมาเรื่องคนหว่านพืช พระคริสต์ทรงอธิบายด้วยตัวอย่างเรื่องของอาณาจักรแห่งสวรรค์ และพันธกิจของพระองค์ผู้ทรงเป็นเจ้าของสวนผู้ยิ่งใหญ่เพื่อประชากรของพระองค์ เหมือนผู้หว่านข้าวในทุ่งนา พระองค์เสด็จมาเพื่อหว่านเมล็ดแห่งความจริง และคำสอนด้วยอุปมาของพระองค์นี้เป็นเมล็ดความจริงแห่งพระคุณอันมีค่ายิ่งที่หว่านออกไป เนื่องจากอุปมาเรื่องผู้หว่านนี้เรียบง่าย ทำให้มองไม่เห็นถึงคุณค่าของเรื่องนี้เท่าที่ควร จากเมล็ดพืชที่หว่านลงไปในดิน พระคริสต์ทรงปรารถนาที่จะนำความนึกคิดของเรามาสู่เมล็ดแห่งพระกิตติคุณ ซึ่งการหว่านนี้จะมีผลในการนำมนุษย์กลับมาสู่ความจงรักภักดีต่อพระเจ้า พระองค์ผู้ประทานอุปมาของเมล็ดเล็กๆ นี้ก็คือผู้ทรงฤทธิ์อำนาจแห่งสวรรค์ และกฎอันเดียวกันที่ควบคุมเหนือการหว่านเมล็ดพืชบนโลกนี้ควบคุมการหว่านพืชแห่งความจริงด้วยเช่นกัน {COL 33.1}COLTh 9.1

    ณ ชายฝั่งทะเลกาลิลี มีฝูงชนที่เต็มไปด้วยความตั้งใจและมีความหวังใจชุมนุมกันเพื่อจะได้เห็นและฟังพระเยซู คนเจ็บป่วยก็พากันมาอยู่ที่นั่น พวกเขานอนอยู่บนเสื่อของตนเฝ้ารอที่จะเสนอความต้องการต่อพระพักตร์พระองค์ พระคริสต์ทรงมีสิทธิอำนาจที่พระเจ้าประทานให้เพื่อการรักษาความทุกข์ทรมานของชนชาติที่มีบาปเหล่านี้ และขณะนี้พระองค์ทรงขับไล่โรคภัยและทรงแผ่ชีวิต สุขภาพดีและสันติสุขไปรอบพระองค์ {COL 33.2}COLTh 10.1

    ขณะที่ฝูงชนทวีจำนวนขึ้น พวกเขาก็พากันเบียดเสียดรอบข้างพระกายพระคริสต์จนไม่มีที่เพื่อรองรับคนเหล่านั้น ดังนั้นเมื่อพระองค์ตรัสกับชายที่อยู่ในเรือหาปลา ก็เสด็จประทับในเรือซึ่งจอดรอพร้อมที่จะนำพาพระองค์ข้ามทะเลสาบ และพระองค์ตรัสสั่งให้สาวกทั้งหลายผลักเรือออกจากฝั่งเล็กน้อย แล้วจึงตรัสกับฝูงชนที่นั่งอยู่บนชายฝั่ง {COL 34.1}COLTh 10.2

    บนชายฝั่งทะเลนั้นมีที่ราบงดงามแห่งเกนเนซาเร็ท ห่างออกไปก็เป็นเทือกเขาและบนไหล่เขาตลอดที่ราบนั้นมีทั้งผู้หว่านและผู้เก็บเกี่ยวกำลังยุ่งอยู่กับการงาน ฝ่ายหนึ่งกำลังหว่านเมล็ดพืช อีกฝ่ายหนึ่งกำลังเก็บเกี่ยวผลข้าวที่ปลูกไว้ก่อนหน้านี้ ขณะที่ทอดพระเนตรภาพเหล่านั้นพระคริสต์ตรัสดังนี้{COL 34.2}COLTh 10.3

    นี่แน่ะ มีผู้หว่านคนหนึ่งออกไปหว่านพืช และเมื่อเขาหว่าน เมล็ดพืชก็ตกตามหนทางบ้าง แล้วนกก็มากินเสีย บ้างก็ตกในที่ซึ่งมีพื้นหิน มีเนื้อดินน้อย จึงงอกขึ้นอย่างเร็วเพราะดินไม่ลึก แต่เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้น มันก็ถูกแผดเผา จึงเหี่ยวไปเพราะรากไม่มี บ้างก็ตกกลางต้นหนาม ต้นหนามก็งอกขึ้นปกคลุมเสีย บ้างก็ตกที่ดินดี แล้วเกิดผลร้อยเท่าบ้าง หกสิบเท่าบ้าง สามสิบเท่าบ้าง ” มัทธิว 13:3-8 {COL 34.3}COLTh 10.4

    ประชาชนในสมัยนั้นไม่เข้าใจภารกิจหน้าที่ของพระคริสต์ สภาพการเสด็จมาของพระองค์นั้นไม่ได้เป็นไปตามที่พวกเขาคาดหวังไว้ พระเยซูทรงเป็นรากฐานขององค์ประกอบทั้งหมดของชาวยิว พิธีการปฏิบัติต่างๆ อันสง่าล้วนมาจากพระบัญชาของพระเจ้า เป็นพิธีที่ทรงตั้งไว้เพื่อสอนประชาชนให้ทราบว่าเมื่อถึงเวลาที่กำหนดไว้จะมีผู้หนึ่งเสด็จมาตามที่พิธีการที่เขาทั้งหลายปฏิบัติอยู่นั้นเล็งถึง แต่ชาวยิวยกพิธีการและรูปแบบของพิธีที่ปฏิบัตินั้นขึ้น จนกระทั่งหลงลืมจุดมุ่งหมายของสิ่งเหล่านี้ ธรรมเนียมประเพณี หลักคำสอนและกฎที่มนุษย์ตั้งขึ้นขวางกั้นพวกเขาจากบทเรียนที่พระเจ้าทรงมีพระประสงค์ถ่ายทอดให้แก่พวกเขา หลักคำสอนและธรรมเนียมประเพณีต่างๆ กลายเป็นสิ่งกีดขวางความเข้าใจและการปฏิบัติกิจศาสนาที่แท้จริง และเมื่อพระผู้เป็นองค์แท้จริงเสด็จมาในรูปกายของพระคริสต์ พวกเขากลับมองไม่เห็นพระองค์พระผู้เสด็จมาทำพิธีกรรมทั้งหลายให้สำเร็จ สิ่งเหล่านี้เป็นเงาของความจริง พวกเขาปฏิเสธพระผู้เที่ยงแท้ และยึดติดกับสิ่งจำลองและพิธีการที่ไร้ค่า พระบุตรของพระเจ้าเสด็จมาแล้ว แต่พวกเขากลับถามหาหมายสำคัญ สำหรับข่าวที่ประกาศว่า “จงกลับใจใหม่เพราะว่าแผ่นดินสวรรค์มาใกล้แล้ว” พวกเขาร้องขอการอัศจรรย์ มัทธิว 3:2 ข่าวประเสริฐของพระคริสต์กลายเป็นอุปสรรคสำหรับพวกเขาเพราะพวกเขาร้องขอหมายสำคัญแทนที่จะแสวงหาพระผู้ช่วยให้รอด คนเหล่านี้ต่างหวังจะเห็นพระเมสสิยาห์พิสูจน์พระองค์เองโดยการกระทำอันยิ่งใหญ่ในการครอบครอง เพื่อจัดตั้งอาณาจักรของพระองค์บนสิ่งปรักหักพังของโลก พระคริสต์ทรงตอบความคาดหวังในเรื่องนี้ด้วยอุปมาเรื่องผู้หว่านพืช อาณาจักรของพระเจ้าจะประสบชัยชนะไม่ใช่ด้วยกำลังทหาร ไม่ใช่การเผชิญหน้าด้วยความรุนแรง แต่ด้วยการปลูกฝังหลักการใหม่ในจิตใจของมนุษย์ {COL 34.4}COLTh 11.1

    “ผู้หว่านเมล็ดพืชดีนั้นได้แก่บุตรมนุษย์” มัทธิว 13:37 พระคริสต์เสด็จมาไม่ใช่ในฐานะกษัตริย์ แต่ในฐานะผู้หว่าน ไม่ใช่มาคว่ำอาณาจักรทั้งหลาย แต่มาเพื่อหว่านเมล็ดให้กระจายออกไป ไม่ใช่เพื่อชี้นำผู้ติดตามพระองค์ไปสู่ชัยชนะฝ่ายโลก และความยิ่งใหญ่ของประชาชาติ แต่ชี้ไปสู่การเก็บเกี่ยวที่จะมีขึ้นภายหลังการตรากตรำทำงานด้วยความอดทนและการสูญเสีย และความผิดหวัง {COL 35.1}COLTh 11.2

    ฟาริสีทั้งหลายเข้าใจความหมายของอุปมาของพระคริสต์ แต่พวกเขาไม่ยอมรับบทเรียนที่ได้ยิน พวกเขาแกล้งทำทีว่าไม่เข้าใจ แต่สำหรับฝูงชนที่ฟังนั้นยิ่งกลายเป็นสิ่งลึกลับมากยิ่งขึ้น พวกเขาไม่เข้าใจจุดมุ่งหมายของครูผู้สอนคนใหม่นี้ผู้ทรงมีคำสอนที่จับใจ แต่ก็ทำให้ความคาดหวังของพวกเขาผิดหวังอย่างขมขื่น สาวกทั้งหลายเองก็ไม่เข้าใจอุปมา แต่ความสนใจของคนเหล่านี้ได้ถูกปลุกขึ้น พวกเขาจึงเข้าเฝ้าพระเยซูตามลำพังและทูลขอคำอธิบาย {COL 35.2}COLTh 12.1

    นี่คือความปรารถนาที่พระคริสต์ทรงประสงค์ที่จะกระตุ้นให้เกิดขึ้น เพื่อพระองค์จะทรงให้คำสั่งสอนที่ชัดแจ้งมากยิ่งขึ้นได้ พระองค์ทรงอธิบายอุปมาให้เขาเหล่านั้นฟัง ดังเช่นที่พระองค์ทรงยินดีที่จะอธิบายพระคำของพระองค์ให้ทุกคนที่แสวงหาพระองค์ด้วยความจริงใจ บรรดาผู้ที่ศึกษาพระวจนะของพระเจ้าด้วยจิตใจที่เปิดออกต่อการดลใจของพระวิญญาณบริสุทธิ์แล้ว จะไม่ตกอยู่ในความมืดในเรื่องความหมายของพระธรรม พระคริสต์ตรัสว่า “ถ้าใครตั้งใจประพฤติตามพระประสงค์ของพระองค์ คนนั้นก็จะรู้ว่าคำสอนนี้มาจากพระเจ้าหรือว่าเราพูดตามใจชอบเอง” ยอห์น 7:17 ทุกคนที่มาหาพระคริสต์เพื่อความเข้าใจในความจริงมากขึ้นจะได้รับความเข้าใจ พระองค์จะทรงเปิดสิ่งล้ำลึกแห่งแผ่นดินสวรรค์แก่เขา และจิตใจที่ต้องการความจริงจะเข้าใจความลึกลับนี้ด้วยใจ แสงสว่างแห่งสวรรค์จะฉายเข้าไปในวิหารแห่งจิตวิญญาณ แล้วเขาก็จะเปิดเผยออกต่อหน้าผู้อื่นดังเช่นแสงกล้าจากตะเกียงบนหนทางที่มืดมัว {COL 35.3}COLTh 12.2

    “มีผู้หว่านคนหนึ่งออกไปหว่านพืช ” ในประเทศแถบตะวันออก บ้านเมืองไม่ค่อยสงบสุข มีภัยอันตรายจากเหตุการณ์รุนแรง จึงทำให้ประชาชนส่วนใหญ่ต้องอาศัยอยู่ภายในกำแพงประตูเมือง คนทำนาต้องออกไปนอกกำแพงเมืองเพื่อทำงานของตนทุกวัน ด้วยเหตุนี้พระคริสต์ผู้หว่านแห่งสวรรค์เสด็จออกไปเพื่อหว่าน พระองค์ทรงจากบ้านอันปลอดภัยและสงบ ทรงละพระสิริที่มีอยู่ขณะดำรงอยู่ร่วมกับพระบิดาก่อนสร้างโลก ทรงละยศถาบรรดาศักดิ์แห่งบัลลังก์ของจักวาล พระองค์ทรงออกไปในฐานะมนุษย์ที่ทนทุกข์และถูกทดลอง ทรงออกไปอย่างโดดเดี่ยวลำพัง ทรงหว่านด้วยน้ำตา และรดด้วยพระโลหิตของพระองค์ เพื่อหว่านเมล็ดพืชแห่งชีวิตสำหรับโลกที่หลงหาย {COL 36.1}COLTh 12.3

    เช่นเดียวกัน ผู้รับใช้ของพระองค์จะต้องออกไปเพื่อหว่าน เมื่ออับราฮัมได้รับการทรงเรียกให้เป็นผู้หว่านเมล็ดแห่งความจริงว่า “ เจ้าจงออกจากดินแดนของเจ้า จากญาติพี่น้องของเจ้า จากบ้านบิดาของเจ้าไปยังดินแดนที่เราจะสำแดงแก่เจ้า ” ปฐมกาล 12:1 “ และเดินทางออกไปโดยไม่รู้ว่าจะไปที่ไหน ” ฮีบรู 11:8 เช่นเดียวกับอัครสาวกเปาโลขณะที่กำลังอธิษฐานอยู่ในวิหารในกรุงเยรูซาเล็ม ข่าวของพระเจ้ามาบอกว่า “จงไปเถิด เราจะใช้เจ้าไปไกล ไปหาบรรดาคนต่างชาติ” กิจการ 22:21 ดังนั้นเพื่อติดตามพระคริสต์ ผู้ที่ได้รับการทรงเรียกให้เข้าสนิทกับพระองค์จะต้องละทิ้งทุกสิ่ง จะต้องตัดความสัมพันธ์เก่าให้ขาด ปล่อยแผนการในชีวิต ยกเลิกความหวังในโลกไป จะต้องหว่านเมล็ดด้วยการตรากตรำและน้ำตา ทำอย่างโดดเดี่ยวและด้วยความเสียสละ {COL 36.2}COLTh 13.1

    ผู้หว่านนั้นก็หว่านพระวจนะ ” พระคริสต์เสด็จมาเพื่อหว่านพระวจนะแห่งความจริงในโลกนี้ ตั้งแต่มนุษย์พ่ายแพ้ในบาป ซาตานเที่ยวหว่านเมล็ดแห่งความผิด มันเข้าควบคุมมนุษย์เป็นครั้งแรกได้ก็โดยการพูดโกหก และมันยังคงทำงานของมันเพื่อโค่นล้มแผ่นดินของพระเจ้าบนโลกนี้และนำมนุษย์ให้ไปอยู่ภายใต้อำนาจของมัน พระคริสต์ผู้หว่านจากโลกที่เหนือกว่าเสด็จมาเพื่อหว่านเมล็ดแห่งความจริง พระองค์ผู้ทรงเคยอยู่ท่ามกลางคณะที่ปรึกษาของพระเจ้า ผู้ทรงเคยสถิตอยู่อภิสุทธิสถานในพลับพลาของพระผู้ทรงชนม์เป็นนิตย์ ทรงนำกฎเกณฑ์อันบริสุทธิ์แห่งความจริงมาสู่มนุษย์ นับตั้งแต่มนุษย์ล้มลง พระคริสต์ทรงเป็นผู้เผยความจริงต่อโลกนี้ด้วยพระองค์เอง โดยพระองค์เมล็ดที่ไม่เปื่อยเน่าคือ “ พระวจนะของพระเจ้าที่มีชีวิตและดำรงอยู่ ” ได้ถ่ายทอดให้กับมนุษย์ 1 เปโตร 1:23 พระคริสต์ทรงหว่านเมล็ดแห่งข่าวประเสริฐเป็นครั้งแรกเมื่อทรงสัญญากับมนุษย์ที่ล้มลงในสวนเอเดน แต่อุปมาของผู้หว่านเป็นการกล่าวอย่างเจาะจงถึงการเสด็จมารับใช้ท่ามกลางมนุษย์และพระราชกิจที่พระองค์เสด็จมาจัดตั้ง {COL 37.1}COLTh 13.2

    พระวจนะของพระเจ้าคือเมล็ด เมล็ดทุกเมล็ดมีหลักการของการงอกภายในตัวของมันเอง ชีวิตของต้นไม้ก่อเกิดมาจากเมล็ด เช่นเดียวกัน พระวจนะของพระเจ้ามีชีวิตอยู่ภายใน พระคริสต์ตรัสว่า “ ถ้อยคำที่เรากล่าวกับพวกท่านมาจากพระวิญญาณและเป็นชีวิต ” ยอห์น 6:63 “ ถ้าใครฟังคำของเราและวางใจผู้ทรงใช้เรามา คนนั้นก็มีชีวิตนิรันดร์ ” ยอห์น 5:24 คำสั่งทุกคำสั่ง คำสัญญาทุกคำสัญญาของพระวจนะของพระเจ้ามีอำนาจเพราะนี่คือชีวิตของพระองค์เอง ที่ทำให้คำสอนนั้นเป็นจริงและพระสัญญานั้นสำเร็จ ผู้ที่รับถ้อยคำโดยความเชื่อก็ได้รับทั้งชีวิตและพระลักษณะนิสัยของพระเจ้า {COL 38.1}COLTh 14.1

    เมล็ดทุกเมล็ดให้ผลตามชนิดของมัน เมื่อหว่านเมล็ดภายใต้สภาวการณ์ที่เหมาะสมก็จะก่อให้เกิดชีวิตภายในต้นพืชนั้น เมื่อรับเมล็ดแห่งพระวจนะที่ไม่รู้จักเปื่อยเน่าเข้าไปในจิตใจโดยความเชื่อ ก็จะนำมาซึ่งอุปนิสัยและชีวิตที่ละม้ายคล้ายคลึงกับพระลักษณะนิสัยและชีวิตของพระเจ้า {COL 38.2}COLTh 14.2

    บรรดาอาจารย์ของชาวอิสราเอลไม่ได้หว่านเมล็ดแห่งพระวจนะของพระเจ้า พระราชกิจของพระคริสต์ในฐานะอาจารย์ผู้สอนความจริงนั้นแตกต่างอย่างชัดเจนเมื่อเทียบกับการสอนของอาจารย์ในสมัยของพระคริสต์ พวกเขาสอนเรื่องของขนบธรรมเนียม ทฤษฎีและการคาดคะเนของมนุษย์ บ่อยครั้งพวกเขาเอาสิ่งที่มนุษย์สอนและบันทึกเกี่ยวกับพระวจนะมาใช้แทนพระวจนะของพระเจ้า คำสอนของพวกเขาไม่มีอำนาจที่จะกระตุ้นจิตวิญญาณ ในขณะที่เนื้อเรื่องคำสอนและคำเทศนาของพระคริสต์คือพระวจนะของพระเจ้า พระองค์ทรงโต้ผู้ซักถามด้วยถ้อยคำ “ มีพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า ” มัทธิว 4:4 “ พระคัมภีร์ว่าอย่างไร ” โรม 4:3 “ ท่านอ่านแล้วเข้าใจอย่างไร ” ลูกา 10:26 ในทุกโอกาส เมื่อความสนใจเกิดขึ้นไม่ว่ามาจากมิตรสหายหรือศัตรู พระองค์ทรงหว่านเมล็ดแห่งพระวจนะทุกครั้ง พระองค์ผู้ทรงเป็นทางนั้นเป็นความจริงและเป็นชีวิต ทรงเป็นพระธรรมแห่งชีวิต ทรงชี้ไปยังพระคัมภีร์และตรัสว่า “ พระคัมภีร์นั้นเองเป็นพยานให้แก่เรา ” และ “เริ่มต้นตั้งแต่โมเสสและบรรดาผู้เผยพระวจนะ” พระองค์ทรงเปิดเผยต่อหน้าสาวก “ อธิบายพระคัมภีร์ที่เล็งถึงพระองค์ทุกข้อให้เขาฟัง ” ยอห์น 5:39 ลูกา 24:27 {COL 38.3}COLTh 14.3

    ผู้รับใช้ของพระคริสต์ควรกระทำอย่างเดียวกัน ในทุกวันนี้เหมือนเช่นกาลก่อน ความจริงอันสำคัญแห่งพระวจนะของพระเจ้าถูกละเลยเพื่อให้ทฤษฎีที่มนุษย์แต่งขึ้นและการสันนิษฐานต่างๆ เข้าแทนที่ ศาสนาจารย์ผู้ประกาศข่าวประเสริฐหลายคนไม่ได้ยอมรับพระคัมภีร์ทุกตอนว่าเป็นพระธรรมที่ได้รับการดลใจ บุคคลที่เฉลียวฉลาดคนหนึ่งอาจปฏิเสธข้อความตอนหนึ่ง อีกคนอาจสงสัยในอีกตอนหนึ่ง เขาต่างยกความคิดเห็นของตนไว้เหนือพระวจนะและพระคัมภีร์ซึ่งเขาสอนนั้นตั้งอยู่บนอำนาจของตนเอง ความจริงแห่งพระเจ้าถูกทำลายไป ดังนั้นเมล็ดแห่งความไม่ซื่อสัตย์จึงถูกหว่านให้แพร่กระจายไปทำให้ผู้คนสับสนและไม่ทราบว่าควรเชื่อเรื่องใด มีความเชื่อหลายอย่างที่สมองของเราไม่มีสิทธิ์รับมาพิจารณา ในสมัยของพระคริสต์พวกครูอาจารย์ใช้อำนาจ ใช้ข้อความหลายส่วนของพระคัมภีร์มาเป็นโครงสร้างคำสอนที่ล้ำลึก เนื่องจากคำสอนอันเรียบง่ายของพระเจ้ากล่าวโทษการกระทำของพวกตน พวกเขาจึงพยายามทำลายอำนาจนี้เสีย สิ่งเดียวกันนี้กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบัน พระธรรมของพระเจ้าถูกกระทำให้ดูลึกลับและไม่กระจ่าง เพื่อที่จะเป็นข้อแก้ตัวในการละเมิดพระบัญญัติของพระองค์ พระคริสต์ทรงตำหนิการประพฤติเช่นนี้ในสมัยของพระองค์ พระองค์ทรงสอนว่าทุกคนเข้าใจพระวจนะของพระเจ้าได้ พระองค์ทรงเน้นว่าพระคัมภีร์เป็นความจริงที่ปราศจากข้อกังขา และเราก็ควรทำเช่นเดียวกัน พระคัมภีร์ควรจะได้รับการนำเสนอในฐานะเป็นพระวจนะของพระเจ้าผู้ไม่มีขอบเขตจำกัด เป็นจุดสิ้นสุดของบรรดาข้อโต้แย้งทั้งหลาย และเป็นรากฐานของความเชื่อทั้งปวง {COL 39.1}COLTh 15.1

    พระคัมภีร์ถูกปล้นอำนาจไปเสียและเห็นผลลัพธ์แห่งความตกต่ำในชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณ ในคำเทศนาจากธรรมาสน์หลายแห่งในปัจจุบัน ไม่มีการแสดงถึงสิ่งที่เกี่ยวกับสวรรค์อันจะปลุกจิตสำนึกและนำชีวิตมาสู่จิตวิญญาณ ผู้ฟังไม่สามารถกล่าวว่า “ ใจเราเร้าร้อนภายในเมื่อพระองค์ตรัสตามทาง และเมื่อทรงอธิบายพระคัมภีร์ให้เราฟังไม่ใช่หรือ ” ลูกา 24:32 มีหลายคนร้องหาพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ เฝ้าหวังรอคอยการสถิตอยู่ด้วยของพระองค์ แม้ว่าทฤษฎีทางปรัชญาหรือวรรณกรรมจะล้ำเลิศเพียงใดก็ดับความกระหายของจิตใจไม่ได้ การอ้างอิงและการค้นคว้าของมนุษย์นั้นเป็นสิ่งที่ไร้ค่า จงให้พระวจนะของพระเจ้าตรัสกับมนุษย์ จงให้ผู้ที่เคยได้ยินแต่เพียงธรรมเนียมประเพณีและทฤษฎีและคำสอนของมนุษย์ฟังพระสุรเสียงของพระองค์ อันเป็นถ้อยคำของพระองค์ซึ่งสร้างชีวิตใหม่ที่จะนำไปสู่ชีวิตนิรันดร์ได้ {COL 40.1}COLTh 15.2

    หลักสำคัญอันเป็นที่โปรดปรานของพระคริสต์คือ ความอ่อนโยนของพ่อและพระคุณอันเอนกอนันต์ของพระบิดาเจ้า พระองค์ทรงใช้เวลาอย่างมากยิ่งในเรื่องความบริสุทธิ์ของพระอุปนิสัยและพระบัญญัติของพระองค์ ทรงสำแดงพระองค์เองแก่ประชาชนว่าทรงเป็นทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิต จงให้สิ่งเหล่านี้เป็นหลักสำคัญของผู้รับใช้พระคริสต์ จงเสนอความจริงตามที่ควรจะเป็นในพระเยซูคริสต์ จงอธิบายข้อบังคับของพระบัญญัติและพระกิตติคุณอย่างชัดเจน จงประกาศให้ผู้คนทราบถึงชีวิตการควบคุมตนเองและการเสียสละ การถ่อมตน และการวายพระชนม์ของพระคริสต์ การเป็นขึ้นจากความตายและการเสด็จสู่สวรรค์ของพระองค์ การเสนอความแทนมนุษย์ต่อหน้าพระบัลลังก์ของพระเจ้า และพระสัญญาของพระองค์ที่ว่า “เราจะกลับมาอีกและรับท่านไปอยู่กับเรา” ยอห์น 14:3 {COL 40.2}COLTh 16.1

    เราควรประพฤติตามแบบอย่างของพระคริสต์แทนการอภิปรายในทฤษฎีที่ผิดๆ หรือพยายามต่อสู้ปฏิปักษ์ของข่าวประเสริฐ จงให้ความจริงอันสดใหม่จากขุมทรัพย์ของพระเจ้าฉายเข้าไปในชีวิต “จงประกาศพระวจนะ” “หว่านอยู่ข้างห้วงน้ำทั้งปวง” “จงทำอย่างขะมักเขม้นทั้งในขณะที่คนสนใจและไม่สนใจ” “ให้คนที่มีถ้อยคำของเรากล่าวถ้อยคำของเราอย่างสุจริต เพราะฟางข้าวจะเปรียบอะไรกับข้าวได้ พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้แหละ” “พระดำรัสทุกคำของพระเจ้าพิสูจน์แล้วว่าจริง..…อย่าเพิ่มอะไรเข้ากับพระวจนะของพระองค์ เกรงว่าจะทรงตำหนิเจ้าและทรงตัดสินว่าเจ้าพูดมุสา” 2 ทิโมธี 4:2 อิสยาห์ 32:20 เยเรมีย์ 23:28 สุภาษิต 30:5-6 {COL 40.3}COLTh 16.2

    “ผู้ที่หว่านนั้นก็หว่านพระวจนะ” มาระโก 4:14 หลักการอันยิ่งใหญ่ซึ่งควรเป็นพื้นฐานของงานการศึกษาทั้งปวงได้นำมาแสดงให้เห็นไว้ในที่นี้ “เมล็ดพืชหมายถึงพระวจนะของพระเจ้า” ลูกา 8:11 แต่โรงเรียนหลายแห่งในปัจจุบันละเลยพระวจนะของพระเจ้า วิชาอื่นๆ ครอบงำความคิด ระบบการศึกษาส่วนใหญ่บรรจุการศึกษาของผู้เขียนที่ไม่ใช่ผู้เชื่อ ความสงสัยถูกสอดแทรกเข้าไปในหนังสือเรียน การวิจัยทางวิทยาศาสตร์ทำให้ความคิดไขว้เขวไป เพราะการค้นพบต่างๆ ถูกแปลความอย่างไม่ถูกต้องและบิดเบือน มีการเปรียบเทียบพระวจนะของพระเจ้ากับคำสอนทางวิทยาศาสตร์ที่สมมติขึ้น ทำให้พระวจนะดูเหมือนว่าขาดความถูกต้องและน่าเชื่อถือ ด้วยเหตุนี้เองมีการปลูกเมล็ดแห่งความสงสัยในความนึกคิดของเยาวชน และเมื่อเวลาแห่งการทดลองมาถึงเมล็ดนี้จึงงอกขึ้น เมื่อความเชื่อในพระวจนะของพระเจ้าสูญหายไป จิตวิญญาณก็ปราศจากผู้นำและเครื่องคุ้มกัน เยาวชนถูกนำไปสู่หนทางที่เหินห่างพระเจ้าและชีวิตนิรันดร์ {COL 41.1}COLTh 16.3

    เรื่องส่วนใหญ่เหล่านี้มีผลมาจากความชั่วร้ายที่แพร่หลายในโลกทุกวันนี้ เมื่อมนุษย์ละเลยพระโอวาทของพระเจ้า จะทำให้เกิดการปฏิเสธอำนาจการยับยั้งตัณหาชั่วของจิตใจ มนุษย์หว่านสิ่งที่เกี่ยวกับเนื้อหนังและเขาก็จะเก็บเกี่ยวความชั่วร้ายจากเนื้อหนังนั้น {COL 41.2}COLTh 17.1

    สภาพอย่างนี้ทำให้สมองอ่อนแอและด้อยประสิทธิภาพ เมื่อสมองหันออกจากพระวจนะของพระเจ้าไปรับสิ่งที่แต่งโดยมนุษย์ที่ไม่ได้รับการดลใจ จะทำให้ความคิดล้าหลังและด้อยคุณค่า ความคิดไม่ได้สัมผัสกับหลักการแห่งความจริงอันเจริญเป็นนิตย์ที่มีความลึกซึ้งและกว้างไกล ความเข้าใจจะปรับตัวเองเข้ากับสิ่งที่คุ้นเคย และเมื่อใช้เวลาให้กับสิ่งที่ไร้ค่าเหล่านั้น ก็จะทำให้ความคิดที่ดีงามอ่อนแอและอ่อนกำลังลง และต่อมาอีกไม่นานก็จะเจริญขึ้นไม่ได้ {COL 41.3}COLTh 17.2

    สิ่งทั้งปวงเหล่านี้คือการศึกษาที่ผิด หน้าที่ของครูคือสอนให้เยาวชนมีความคิดยึดมั่นอยู่กับความจริงแห่งพระวจนะที่ได้รับการดลใจ นี่คือการศึกษาที่จำเป็นต่อชีวิตนี้และชีวิตหน้า {COL 41.4} COLTh 17.3

    อย่าเข้าใจว่าสิ่งนี้จะขัดขวางการศึกษาศาสตร์ในด้านต่างๆ หรือทำให้มาตรฐานการศึกษาต่ำลง ความรู้ในเรื่องของพระเจ้าเป็นความรู้ที่สูงเทียบเท่าสวรรค์และกว้างไกลดุจห้วงจักรวาล ไม่มีสิ่งใดที่มีคุณค่าและทรงพลังเทียบเท่าการศึกษาในหลักการอันยิ่งใหญ่ซึ่งมีผลต่อชีวิตชั่วนิรันดร์ของเรา จงให้เยาวชนเพียรพยายามรับความจริงซึ่งประทานมาจากพระเจ้าที่จะส่งผลให้ความคิดของเขาเติบโตและขยายออกอย่างเต็มกำลัง สิ่งนี้จะนำพาให้ผู้ที่ศึกษาทุกคนซึ่งปฏิบัติตามเข้าสู่ความรู้ ความคิดที่กว้างไกล และทำให้เขาได้คลังสมบัติแห่งปัญญาที่ไม่เสื่อมสลาย {COL 42.1}COLTh 17.4

    การศึกษาที่ได้มาจากการค้นคว้าพระคัมภีร์นั้นคือความรู้ในแนวปฏิบัติของแผนการแห่งความรอด การศึกษาดังกล่าวจะนำพระฉายาของพระเจ้าคืนสู่วิญญาณจิต จะเสริมสร้างความเข้มแข็งและเป็นเกราะความคิดเสริมป้องกันการทดลอง และทำให้ผู้ที่เรียนรู้มีความเหมาะสมที่จะเป็นผู้ทำงานร่วมกับพระคริสต์ในภารกิจที่เต็มไปด้วยพระเมตตาของพระองค์ต่อชาวโลก ทำให้เขาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวในสวรรค์และตระเตรียมเขาเพื่อเข้ารับส่วนแบ่งมรดกของผู้ชอบธรรมในความสว่าง {COL 42.2}COLTh 18.1

    แต่ผู้สอนความจริงอันศักดิ์สิทธิ์แบ่งบันได้เฉพาะสิ่งที่เขาเรียนรู้มาโดยประสบการณ์ของเขาเองเท่านั้น “ ผู้หว่านพืช หว่านเมล็ดของเขา” พระคริสต์ทรงสั่งสอนความจริงเพราะพระองค์ทรงเป็นความจริง ความคิดของพระองค์เอง พระลักษณะอุปนิสัยของพระองค์และประสบการณ์ชีวิตของพระองค์ล้วนแต่แฝงอยู่ในคำสอนของพระองค์ ด้วยเหตุนี้ผู้รับใช้ของพระองค์ที่สั่งสอนพระวจนะจะต้องให้คำสั่งสอนนั้นเป็นของตนเองด้วยประสบการณ์ของตัวเขาเอง พวกเขาจะต้องเรียนรู้ว่าการให้พระคริสต์เป็นผู้ประสิทธิ์ประสาทสติปัญญาและความชอบธรรม การชำระให้บริสุทธิ์และการไถ่ให้รอดนั้นคืออะไร ในการประกาศพระธรรมของพระเจ้าแก่ผู้อื่นนั้น เขาไม่ควรทำให้ดูเหมือนว่าเป็นเพียงสิ่งสมมติขึ้นหรือความน่าจะเป็น พวกเขาควรประกาศเหมือนกับอัครสาวกเปโตรว่า “เราไม่ได้คล้อยตามนิยายที่แต่งขึ้นอย่างชาญฉลาด เมื่อเราได้ประกาศให้พวกท่านทราบถึงฤทธานุภาพและการเสด็จกลับมาของพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราทั้งหลาย แต่เราเป็นสักขีพยานถึงความยิ่งใหญ่ของพระองค์” 2 เปโตร 1:16 ผู้รับใช้ของพระคริสต์และครูผู้สอนทุกคนควรจะกล่าวได้เช่นเดียวกับอัครทูตยอห์นผู้เป็นที่รักว่า “ ชีวิตที่ว่านี้ปรากฏขึ้น เราได้เห็นและเป็นพยาน และประกาศชีวิตนิรันดร์นี้กับพวกท่าน เป็นชีวิตที่ดำรงอยู่กับพระบิดาและมาปรากฏแก่เรา” 1 ยอห์น 1:2 {COL 43.1}COLTh 18.2