Loading...
Larger font
Smaller font
Copy
Print
Contents
  • Results
  • Related
  • Featured
No results found for: "".
  • Weighted Relevancy
  • Content Sequence
  • Relevancy
  • Earliest First
  • Latest First
    Larger font
    Smaller font
    Copy
    Print
    Contents

    7. การทดสอบการเป็นสาวก

    “ถ้าใครอยู่ในพระคริสต์ เขาก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่แล้ว สิ่งสารพัดที่เก่าๆ ก็ล่วงไป นี่แน่ะกลายเป็นสิ่งใหม่ทั้งนั้น” 2 โครินธ์ 5:17 {SC 57.1}ThSC 51.1

    คนๆ หนึ่งไม่อาจบอกเวลาหรือสถานที่แน่นอนหรือลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดในกระบวนการของการกลับใจ แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ได้พิสูจน์ว่าเขาไม่ได้กลับใจ พระคริสต์ตรัสกับนิโคเดมัสว่า “ลมจะพัดไปที่ไหนก็พัดไปที่นั่น และท่านได้ยินเสียงลมนั้นแต่ไม่รู้ว่าลมมาจากไหนและไปที่ไหน คนที่เกิดจากพระวิญญาณก็เป็นอย่างนั้นทุกคน” ยอห์น 3:8 พระวิญญาณของพระเจ้าก็เป็นเหมือนเช่นลมที่มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น แต่เรามองเห็นและสัมผัสผลของพระวิญญาณของพระเจ้าที่ทำงานในจิตใจมนุษย์ได้อย่างชัดเจน อำนาจการบังเกิดใหม่ซึ่งสายตามนุษย์ไม่อาจจะมองเห็นได้นั้นจะทำให้เกิดชีวิตใหม่ขึ้นในจิตวิญญาณ อำนาจนั้นสร้างคนใหม่ที่มีพระฉายาของพระเจ้าในตัวเขา ในขณะที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทำงานอย่างเงียบๆ และสัมผัสไม่ได้ แต่ผลของการกระทำนั้นมองเห็นได้อย่างชัดเจน หากพระวิญญาณของพระเจ้าเปลี่ยนแปลงจิตใจใหม่แล้ว ชีวิตที่ได้รับการเปลี่ยนแปลงจะเป็นพยานให้เห็นถึงความจริง ในขณะที่เราเปลี่ยนแปลงจิตใจของเราหรือนำตนเองให้มาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพระเจ้าไม่ได้ ในขณะที่เราจะต้องไม่วางใจในตัวเราหรือในการดีที่เราทำ แต่ชีวิตของเราจะแสดงออกให้เห็นว่า เรามีพระคุณของพระเจ้าร่วมสถิตอยู่ด้วยหรือไม่ เราจะมองเห็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในบุคลิก ในอุปนิสัยและในการงาน เราจะมองเห็นความแตกต่างระหว่างชีวิตในอดีตที่ผ่านมากับชีวิตในปัจจุบันได้อย่างชัดเจนและแน่นอน เราจะมองเห็นอุปนิสัยที่โน้มเอียงในการทำการดีทั้งทางวาจาและการกระทำ แทนที่จะเป็นการกระทำความชอบในโอกาสนี้และทำการไม่ดีในโอกาสอื่น {SC 57.2}ThSC 51.2

    ความประพฤติดีที่แสดงออกมาให้เห็นภายนอกอาจเกิดขึ้นได้โดยปราศจากอำนาจการบังเกิดใหม่ของพระคริสต์ จิตใจที่ปรารถนาจะได้อำนาจเหนือผู้อื่นและได้คำสรรเสริญจากผู้อื่นอาจทำให้ชีวิตมีระเบียบขึ้นมาได้ ความเคารพตนเองนำเราให้หลีกเลี่ยงการกระทำชั่ว จิตใจที่มีแต่ความเห็นแก่ตัวอาจแสดงตนเป็นผู้ที่มีใจกว้างได้ แล้วจะนำอะไรมาใช้เพื่อตัดสินว่าเราอยู่ฝ่ายใด {SC 58.1}ThSC 52.1

    ใครเป็นผู้ครอบครองหัวใจของเรา ใครอยู่ในความนึกคิดของเรา เราชื่นชอบที่จะสนทนากับผู้ใด ใครได้ความรู้สึกดีที่สุดและได้พละกำลังที่ดีเลิศสุดของเรา หากเราเป็นของพระคริสต์ ความนึกคิดของเราจะอยู่กับพระองค์ และความคิดหวานชื่นที่สุดจะเป็นเรื่องของพระคริสต์ ทุกสิ่งที่เรามีและที่เราเป็นอยู่จะมอบถวายให้พระองค์ เราปรารถนาที่จะได้พระฉายาของพระองค์ หายใจด้วยวิญญาณของพระองค์ กระทำตามพระประสงค์ของพระองค์และทำทุกสิ่งให้เป็นที่พอพระทัยพระองค์ {SC 58.2}ThSC 52.2

    ผู้ที่ได้รับการสร้างใหม่แล้วในพระเยซูคริสต์จะเกิดผลของพระวิญญาณ “ความรัก ความยินดี สันติสุข ความอดทน ความกรุณา ความดี ความซื่อสัตย์ ความสุภาพอ่อนโยน การรู้จักบังคับตน” กาลาเทีย 5: 22, 23 พวกเขาจะไม่ใส่ใจต่อกิเลสตัณหาในอดีต แต่โดยความเชื่อในพระบุตรของพระเจ้า พวกเขาจะดำเนินตามพระองค์ สะท้อนพระอุปนิสัยของพระองค์และชำระตัวให้บริสุทธิ์เหมือนพระองค์ สิ่งที่เขาเคยเกลียดชัง บัดนี้เขารัก และสิ่งที่เขาเคยรักบัดนี้เขาเกลียดชัง ผู้ที่ยโสและเห็นแก่ตัวจะกลายเป็นคนที่สงบเสงี่ยมและมีใจอ่อนสุภาพ ผู้ที่หยิ่งและจองหองจะกลายเป็นคนเอาจริงเอาจังและไม่โอ้อวด คนเมากลับเป็นคนที่มีเหตุมีผลและคนไร้ศีลธรรมกลายเป็นคนที่ไม่มีราคี ธรรมเนียมและความนิยมของชาวโลกจะถูกปัดทิ้งไป คริสเตียนจะไม่แสวงหาการ “ประดับตัวแต่ภายนอก” “แต่จะประดับด้วยบุคลิกที่ซ่อนอยู่ในใจ ด้วยเครื่องประดับซึ่งไม่รู้เสื่อมสลาย คือด้วยจิตใจที่สุภาพอ่อนโยนและจิตในที่สงบ” 1 เปโตร 3: 3,4 {SC 58.3}ThSC 53.1

    ไม่มีหลักฐานใดที่จะแสดงให้เห็นว่ามีการกลับใจที่แท้จริงนอกจากว่าการกลับใจนั้นจะก่อให้เกิดการปฏิรูป หากเขาทำตามสิ่งที่ได้สัญญาไว้ ส่งคืนสิ่งของที่ได้ปล้นมา สารภาพบาปของเขาและรักพระเจ้าและเพื่อนมนุษย์ คนบาปนั้นจึงอาจจะมั่นใจได้ว่าเขาได้ก้าวจากความตายไปสู่ชีวิต {SC 59.1}ThSC 53.2

    เมื่อเราเข้ามาหาพระคริสต์ในสภาพของคนบาปและได้รับพระคุณแห่งการอภัยบาปของพระองค์แล้ว ความรักจะเกิดขึ้นภายในจิตใจ ทุกภาระจะเบาลง เพราะแอกที่พระคริสต์ทรงวางไว้ให้นั้นพอเหมาะ ภาระหน้าที่กลายเป็นเรื่องที่ทำด้วยความยินดี การเสียสละจะเป็นสิ่งที่สร้างความสุข หนทางเบื้องหน้าที่เคยดูประหนึ่งว่า ถูกปกคลุมด้วยความมืดมิด จะสว่างไสวด้วยลำแสงจากดวงอาทิตย์แห่งความชอบธรรม {SC 59.2}ThSC 53.3

    พระลักษณะที่น่ารักของพระคริสต์จะปรากฏให้เห็นในตัวของผู้ติดตามพระองค์ พระคริสต์ทรงชื่นชอบกับการทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า ความรักที่พระองค์ถวายพระเจ้าและความร้อนรนในการถวายพระสิริให้พระเจ้าคืออำนาจที่คอยควบคุมในชีวิตของพระผู้ช่วยให้รอดของเรา ความรักส่งผลให้ทุกสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำแลดูสวยงามและสูงส่ง ความรักมาจากพระเจ้า จิตใจที่ยังไม่ได้อุทิศถวายพระเจ้าจะก่อให้เกิดหรือแสดงความรักเช่นนี้ออกมาไม่ได้ ความรักเช่นนี้จะพบได้ในจิตใจที่มีพระเยซูครอบครองอยู่เท่านั้น “เรารัก ก็เพราะพระองค์ทรงรักเราก่อน” 1 ยอห์น 4:19 ในจิตใจที่สร้างขึ้นมาใหม่ด้วยพระคุณของพระเจ้านั้นจะมีความรักเป็นหลักการของการกระทำ ความรักนี้จะหล่อหลอมอุปนิสัย บังคับความรู้สึก ควบคุมกิเลสตัณหา ลดความเป็นศัตรูกันและทำให้ความรักสูงส่ง ความรักเช่นนี้จะถนอมจิตวิญญาณและทำให้ชีวิตหวานชื่นและกระจายอิทธิพลบริสุทธิ์ให้แก่ทุกคนที่อยู่รอบข้าง {SC 59.3}ThSC 53.4

    มีความผิดอยู่สองประการที่บุตรทั้งหลายของพระเจ้าจะต้องระวัง โดยเฉพาะคนที่เพิ่งเข้ามามอบความวางใจในพระคุณของพระองค์ได้ไม่นาน ประการแรก เป็นเรื่องที่กล่าวมาแล้ว คือการมองไปที่ผลงานของตนเองและเชื่อมั่นในการกระทำเพื่อนำตัวเองให้เข้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพระเจ้า ผู้ที่พยายามทำตัวเองให้บริสุทธิ์ด้วยการถือรักษาพระบัญญัติกำลังพยายามทำในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ การกระทำทั้งหมดที่มนุษย์ทำไปโดยปราศจากพระคริสต์ล้วนเปรอะเปื้อนด้วยความเห็นแก่ตัวและบาป มีเพียงพระคุณของพระเจ้าที่เราได้รับโดยความเชื่อเท่านั้นที่จะทำให้เราบริสุทธิ์ {SC 59.4}ThSC 54.1

    ความผิดในทางกลับกันและอันตรายไม่น้อยกว่ากันคือการเชื่อว่าพระคริสต์ทรงปลดปล่อยมนุษย์ให้หลุดพ้นจากการถือรักษาพระบัญญัติของพระเจ้าแล้ว โดยให้เหตุผลว่าเราจะมีส่วนในพระคุณของพระคริสต์ได้ด้วยความเชื่อเท่านั้น การกระทำไม่มีผลต่อความรอดของเราเลย {SC 60.1}ThSC 54.2

    แต่ขอให้สังเกตว่า การเชื่อฟังไม่ใช่เป็นการร่วมมือที่ปรากฏให้เห็นแต่เพียงภายนอก การเชื่อฟังเป็นการรับใช้แห่งรัก พระบัญญัติของพระเจ้าซึ่งแสดงให้เห็นธรรมชาติของพระเจ้า เป็นศูนย์รวมแห่งหลักการที่ยิ่งใหญ่ของความรักและเป็นรากฐานการปกครองของพระเจ้าทั้งในสวรรค์และบนโลก หากหัวใจของเราถูกเปลี่ยนใหม่ให้เหมือนของพระเจ้า หากบัญญัติแห่งรักของพระเจ้าถูกปลูกฝังเข้าไปอยู่ในจิตวิญญาณ พระบัญญัติของพระเจ้าจะไม่ปรากฏออกให้เห็นในชีวิตของเราหรือ เมื่อหลักการแห่งความรักถูกปลูกฝังลงในจิตใจ เมื่อมนุษย์ถูกสร้างขึ้นใหม่ตามแบบพระฉายาของพระองค์ผู้ทรงสร้างเขามานั้น พระสัญญาใหม่ก็จะเกิดขึ้น “เราจะบรรจุธรรมบัญญัติของเราไว้ในใจของพวกเขา และเราจะจารึกมันไว้ในจิตใจของพวกเขา” ฮีบรู 10:16 และหากบทบัญญัติถูกจารึกลงไปในใจของเขาแล้ว พระบัญญัติจะไม่หล่อหลอมชีวิตของเขาหรือ การเชื่อฟังซึ่งเป็นการรับใช้และความภักดีของความรักจะเป็นหมายสำคัญของการเป็นสาวกที่แท้จริง ด้วยเหตุนี้พระคัมภีร์จึงได้กล่าวไว้ว่า “เพราะว่าความรักต่อพระเจ้าเป็นอย่างนี้ คือเมื่อเราประพฤติตามพระบัญญัติของพระองค์” “ผู้ที่กล่าวว่า ‘ข้าพเจ้ารู้จักพระองค์’ แต่ไม่ได้ประพฤติตามพระบัญญัติของพระองค์ คนนั้นเป็นคนพูดมุสาและสัจจะไม่ได้อยู่ในเขาเลย” 1 ยอห์น 5: 3; 2:4 เราไม่ได้ถูกปลดปล่อยให้พ้นจากการต้องเชื่อฟัง แต่ด้วยความเชื่อและความเชื่อเพียงอย่างเดียวเท่านั้นที่จะช่วยให้เรามีส่วนในพระคุณของพระคริสต์และทำให้เราเชื่อฟัง {SC 60.2}ThSC 54.3

    เราไม่ได้รับความรอดเป็นค่าจ้างตอบแทนการเชื่อฟัง เพราะความรอดเป็นของประทานของพระเจ้าที่ประทานให้เปล่าๆ ซึ่งเราจะรับมาได้โดยความเชื่อ แต่การเชื่อฟังเป็นผลของความเชื่อ “พวกท่านรู้อยู่แล้วว่าพระองค์ทรงปรากฏเพื่อกำจัดบาปของเราให้หมดไป และไม่มีบาปอยู่ในพระองค์เลย ผู้ที่อยู่ในพระองค์ไม่ทำบาปอีกต่อไป ส่วนผู้ที่ทำบาปอยู่เรื่อยๆ คนนั้นยังไม่เห็นพระองค์และยังไม่รู้จักพระองค์” 1 ยอห์น 3: 5, 6 นี่คือการทดสอบที่แท้จริง หากเราอยู่ในพระคริสต์ หากความรักของพระเจ้าอยู่ภายในตัวเรา ความรู้สึกของเรา ความคิดของเรา เป้าหมายของเรา การกระทำของเราจะประสานเข้ากับน้ำพระทัยของพระเจ้าตามที่พระบัญญัติบริสุทธิ์ของพระองค์ได้สอนไว้ว่า “ลูกทั้งหลายเอ๋ย อย่าให้ใครชักจูงท่านให้หลง ผู้ที่ประพฤติชอบก็ชอบธรรมเหมือนอย่างที่พระองค์ทรงชอบธรรม” 1 ยอห์น 3:7 ความชอบธรรมถูกกำหนดด้วยมาตรฐานพระบัญญัติบริสุทธิ์ของพระเจ้าที่ได้สำแดงให้เห็นในหลักการสิบประการที่ทรงโปรดประทานจากภูเขาซีนาย {SC 61.1}ThSC 55.1

    ความเชื่อในพระคริสต์ที่อ้างว่าได้ปลดปล่อยให้มนุษย์หลุดพ้นจากการถูกกำหนดให้เชื่อฟังพระเจ้า แท้จริงแล้วไม่ใช่ความเชื่อแต่เป็นการทึกทักคิดขึ้นมาเอง “ท่านทั้งหลายได้รับความรอดแล้วด้วยพระคุณโดยทางความเชื่อ” “ทำนองเดียวกัน ลำพังความเชื่อ ถ้าไม่มีการปฏิบัติ ก็เป็นสิ่งที่ตายแล้ว” เอเฟซัส 2:8; ยากอบ 2:17 พระเยซูตรัสถึงพระองค์เองในสมัยก่อนที่พระองค์จะเสด็จมายังโลกว่า “ข้าพระองค์ยินดีทำตามพระทัยพระองค์ ธรรมบัญญัติของพระองค์อยู่ในจิตใจของข้าพระองค์” สดุดี 40:8 ก่อนที่พระองค์จะเสด็จกลับไปยังสวรรค์เพียงเล็กน้อย พระองค์ทรงประกาศว่า “เราประพฤติตามบัญญัติของพระบิดาและติดสนิทอยู่กับความรักของพระองค์” ยอห์น 15:10 พระคัมภีร์กล่าวว่า “ถ้าเราประพฤติตามพระบัญญัติของพระองค์ เราจะมั่นใจได้ว่าเรารู้จักพระองค์. . . .ผู้ที่กล่าวว่าตนอยู่ในพระองค์ ผู้นั้นก็ควรดำเนินชีวิตเหมือนพระองค์” 1 ยอห์น 2: 3, 6 “เพราะว่าพระคริสต์ทรงทนทุกข์เพื่อพวกท่าน พระองค์ทรงวางแบบอย่างแก่พวกท่าน เพื่อท่านจะได้ดำเนินตามรอยพระบาทของพระองค์” 1 เปโตร 2:21 {SC 61.2} ThSC 56.1

    ในเวลานี้ เงื่อนไขที่จะได้ชีวิตนิรันดร์ก็ยังคงเหมือนเดิม เป็นเหมือนกับครั้งที่เป็นอยู่ในสรวงสวรรค์ก่อนที่บรรพบุรุษคู่แรกล้มลงในบาป นั่นคือการเชื่อฟังบทบัญญัติของพระเจ้าอย่างบริบูรณ์ มีผลให้เกิดความชอบธรรมที่สมบูรณ์ หากจะลดเงื่อนไขการรับชีวิตนิรันดร์ลง ความผาสุกของทั่วทั้งจักรวาลก็จะตกอยู่ในอันตราย เป็นการเปิดทางให้บาปนำความทุกข์และความโศกเศร้าให้ยั่งยืนเป็นอมตะตลอดไป {SC 62.1}ThSC 56.2

    ก่อนอาดัมล้มลงในบาป อาดัมพัฒนาบุคลิคชอบธรรมด้วยการเชื่อฟังพระบัญญัติของพระเจ้าได้ แต่อาดัมพลาดในเรื่องนี้ และเนื่องจากบาปของอาดัม ธรรมชาติของเราจึงตกต่ำลงและเราทำให้ตัวเราเองชอบธรรมไม่ได้ เนื่องจากเราเป็นคนบาปหนา ไม่บริสุทธิ์ เราจึงเชื่อฟังบทบัญญัติศักดิ์สิทธิ์อย่างสมบูรณ์แบบไม่ได้ เราไม่มีความชอบธรรมของเราเองที่จะนำมาชดใช้ค่าเสียหายตามที่พระบัญญัติของพระเจ้าเรียกร้องได้ แต่พระคริสต์ทรงจัดหาหนทางให้เราหลุดพ้น พระองค์ทรงดำเนินชีวิตที่ปราศจากบาป พระองค์ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อเราและบัดนี้พระองค์ทรงเสนอตัวรับบาปของเราและประทานความชอบธรรมของพระองค์ให้แก่เรา หากท่านจะถวายตัวให้พระองค์และยอมรับพระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของท่านแล้ว ไม่ว่าท่านจะมีบาปหนาเพียงไรและโดยหนทางของพระองค์ ท่านจะได้เป็นคนชอบธรรม พระลักษณะของพระคริสต์จะเข้ามาในอุปนิสัยของท่านและต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้า ท่านจะได้รับการยอมรับว่าท่านไม่เคยทำบาปมาก่อนเลย {SC 62.2}ThSC 56.3

    นอกเหนือจากนี้ พระคริสต์ทรงเปลี่ยนแปลงจิตใจของท่านได้ และโดยความเชื่อพระองค์ร่วมสถิตอยู่ในใจของท่าน และท่านจะต้องรักษาความสัมพันธ์นี้ไว้โดยความเชื่อและมอบถวายความตั้งใจของท่านให้พระองค์เรื่อยไป และตราบเท่าที่ท่านยังคงทำเช่นนี้ พระองค์จะทรงกระทำกิจอยู่ภายในตัวท่านเพื่อให้ความต้องการและความปรารถนาของท่านเป็นไปตามชอบพระทัยของพระองค์ แล้วท่านจะพูดได้ว่า “ชีวิตซึ่งข้าพเจ้าดำเนินอยู่ในร่างกายขณะนี้ ข้าพเจ้าดำเนินอยู่โดยความเชื่อในพระบุตรของพระเจ้าผู้ได้ทรงรักข้าพเจ้า และได้ทรงสละพระองค์เองเพื่อข้าพเจ้า” กาลาเทีย 2:20 ดังที่พระเยซูตรัสกับสาวกของพระองค์ว่า “ผู้ที่พูดไม่ใช่ตัวท่านเอง แต่เป็นพระวิญญาณแห่งพระบิดาของพวกท่านผู้ตรัสผ่านท่าน” มัทธิว 10:20 เมื่อท่านมีพระคริสต์กระทำการในตัวท่าน ท่านก็จะมีจิตวิญญาณที่เหมือนของพระองค์และกระทำงานที่ดีแบบเดียวกัน นั่นคืองานของความชอบธรรมและการเชื่อฟัง {SC 62.3}ThSC 57.1

    ดังนั้นเราจึงไม่มีสิ่งใดในตัวเราที่จะอวด เราไม่มีข้ออ้างใดที่จะยกชูตัวของเราเองให้สูงขึ้น พื้นฐานของความหวังเดียวของเราอยู่ในความชอบธรรมของพระคริสต์ที่ประทานให้แก่เราและพระวิญญาณของพระองค์ที่กระทำการอยู่ในตัวของเราและสำเร็จในเรา {SC 63.1}ThSC 57.2

    เมื่อเราพูดถึงความเชื่อแล้ว มีความแตกต่างที่เราต้องใส่ใจ มีความเชื่อบางประการที่แตกต่างจากความเชื่อที่กล่าวมาแล้วโดยสิ้นเชิง การดำรงอยู่ของพระเจ้าและอำนาจของพระองค์ ความจริงที่อยู่ในพระวจนะของพระเจ้า เรื่องเหล่านี้เป็นข้อเท็จจริงที่แม้ซาตานและบริวารของมันก็ไม่อาจปฏิเสธ พระคัมภีร์กล่าวว่า “พวกผีก็เชื่อและกลัวจนตัวสั่น” แต่นี่ไม่ใช่ความเชื่อ ยากอบ 2:19 เราจะต้องไม่เพียงเชื่อในพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้น แต่เราจะต้องนำความต้องการมามอบถวายให้พระองค์ เราจะต้องมอบถวายจิตใจให้พระองค์ ให้ความรู้สึกติดสนิทอยู่กับพระองค์ การทำเช่นนี้ต้องมีความเชื่อ ความเชื่อที่กระทำการโดยความรักและการชำระจิตวิญญาณให้บริสุทธิ์ ความเชื่อเช่นนี้จะสร้างหัวใจขึ้นมาใหม่ในพระฉายาของพระเจ้า และหัวใจที่ยังไม่ได้บังเกิดใหม่จะอยู่ภายใต้พระบัญญัติของพระเจ้าไม่ได้และจะเป็นเช่นนั้นไม่ได้ แต่บัดนี้ปีติยินดีในพระบัญญัติศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า จะร้องขึ้นพร้อมกับผู้ประพันธ์สดุดีว่า “โอ ข้าพระองค์รักธรรมบัญญัติของพระองค์จริงๆ เป็นคำภาวนาของข้าพระองค์เสมอ” สดุดี 119:97 และความชอบธรรมของพระบัญญัติสำเร็จในเรา “ผู้ไม่ดำเนินตามฝ่ายเนื้อหนัง แต่ตามฝ่ายพระวิญญาณ” โรม 8:1 (TKJV) {SC 63.2}ThSC 57.3

    ยังมีผู้ที่เคยรู้จักความรักแห่งการอภัยของพระคริสต์และพวกเขามีความปรารถนาอย่างจริงใจที่จะเป็นบุตรของพระเจ้า แต่ถึงกระนั้นพวกเขารู้ดีว่าอุปนิสัยของเขายังไม่สมบูรณ์แบบ ชีวิตของเขายังด่างพร้อยและเขาก็สงสัยว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้เปลี่ยนแปลงจิตใจของเขาใหม่แล้วหรือยัง ข้าพเจ้าขอบอกกับคนเหล่านี้ว่า อย่าหันกลับด้วยความท้อใจถึงแม้บ่อยครั้งเราจะต้องก้มลงและร้องไห้แทบพระบาทของพระองค์เพราะความบกพร่องและความผิดของเรา แต่เราจะต้องไม่ท้อถอย ถึงแม้ว่าเราจะพ่ายแพ้ต่อศัตรู แต่พระเจ้าก็ไม่ได้ขับไล่ ทอดทิ้งและปฏิเสธเรา ไม่ใช่เช่นนั้น พระคริสต์ประทับอยู่เบื้องขวาของพระเจ้า พระองค์ทรงทูลขอเพื่อเรา ยอห์นผู้เป็นที่รักยิ่งของพระคริสต์ได้กล่าวว่า “ข้าพเจ้าเขียนข้อความเหล่านี้ถึงท่านทั้งหลายเพื่อท่านจะได้ไม่ทำบาป และถ้าใครทำบาป เราก็มีผู้ช่วยทูลขอพระบิดาเพื่อเรา คือพระเยซูคริสต์ผู้ทรงเที่ยงธรรมนั้น” 1 ยอห์น 2:1 และขอให้ท่านอย่าลืมพระดำรัสของพระคริสต์ที่ว่า “พระบิดาเองก็ทรงรักพวกท่าน” ยอห์น 16:27 พระองค์ทรงประสงค์ที่จะนำท่านกลับมายังพระองค์เพื่อให้ความบริสุทธิ์และความศักดิ์สิทธิ์สะท้อนออกมาจากตัวท่าน และหากท่านจะยอมมอบถวายตัวท่านเองให้พระองค์ พระองค์ผู้ได้ทรงเริ่มต้นการดีในตัวท่าน จะทรงกระทำการต่อไปจนถึงวันแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้า ขอให้อธิษฐานด้วยใจร้อนรนมากยิ่งขึ้น เชื่อมั่นอย่างเต็มที่ เมื่อเรามาถึงจุดที่เราไม่วางใจในอำนาจของตนเอง ขอให้เราวางใจในอำนาจของพระผู้ไถ่และสรรเสริญพระองค์ผู้ทรงเป็นความไพบูลย์ในชีวิตของเรา {SC 64.1}ThSC 58.1

    เมื่อท่านเข้าใกล้พระเยซูมากยิ่งขึ้นเพียงไร ท่านก็จะยิ่งมองเห็นความบกพร่องในตัวของท่านเองมากขึ้นเท่านั้น เพราะสายตาของท่านจะมองเห็นได้ดียิ่งขึ้นและเมื่อท่านเทียบกับธรรมชาติที่สมบูรณ์แบบของพระองค์ ท่านก็จะเห็นความไม่สมบูรณ์ในตัวของท่านได้โจ่งแจ้งและมีความชัดเจนมากขึ้น นี่คือหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่า อำนาจการหลอกลวงของซาตานได้เสื่อมถอยไปแล้วและอิทธิพลที่ให้ชีวิตของพระวิญญาณของพระเจ้าได้ปลุกท่านให้ตื่นขึ้น {SC 64.2}ThSC 59.1

    ความรักที่มีต่อพระเยซูจะฝังลึกเข้าไปในจิตใจที่ไม่สำนึกในบาปของตนไม่ได้ จิตวิญญาณที่ได้รับการเปลี่ยนแปลงด้วยพระคุณของพระคริสต์จะชื่นชมกับพระลักษณะของพระเจ้า แต่หากเรามองไม่เห็นความบกพร่องทางคุณธรรมของเราแล้ว นั่นก็คือหลักฐานที่เด่นชัดว่า เรายังมองไม่เห็นความงามและคุณความดีของพระคริสต์ {SC 65.1}ThSC 59.2

    เมื่อเราประเมินค่าในตัวของเราเองให้ยิ่งน้อยลงเพียงไร เราก็จะประเมินค่าความบริสุทธิ์ของพระเจ้าและความดีงามของพระผู้ช่วยให้รอดมากยิ่งขึ้นเท่านั้น ภาพของความผิดบาปของเราจะผลักดันเราให้ไปหาพระองค์ ผู้ทรงให้อภัยได้ และเมื่อจิตวิญญาณตระหนักถึงความไม่สามารถช่วยตัวเองได้และยื่นมือไปหาพระคริสต์ พระองค์จะทรงเปิดเผยพระองค์เองด้วยอำนาจยิ่งใหญ่ เมื่อความรู้สึกถึงความขาดแคลนของเราผลักเราให้เข้าไปหาพระองค์และพระวจนะของพระเจ้ามากยิ่งขึ้นเพียงไร เราก็จะมองเห็นพระลักษณะของพระเจ้าได้สูงส่งมากขึ้นและเราก็จะสะท้อนพระฉายาของพระเจ้าได้บริบูรณ์มากยิ่งขึ้นเท่านั้น {SC 65.2}ThSC 59.3

    Larger font
    Smaller font
    Copy
    Print
    Contents