ชีวิตของพระคริสต์มีอำนาจชักจูงอย่างกว้างขวางและไม่มีขอบเขตจำกัด เป็นอิทธิพลในทางดีที่ผูกมัดพระองค์กับพระเจ้าและมนุษยชาติเข้าไว้ด้วยกัน พระเจ้าทรงโปรดประทานอำนาจที่ช่วยให้มนุษย์สามารถดำรงชีวิตอยู่โดยลำพังตนเองโดยผ่านทางพระคริสต์ เราแต่ละคนต่างก็มีความเกี่ยวดองกับเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ถือว่านี่คือส่วนหนึ่งแห่งความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าและเราก็มีหน้าที่ต้องปฏิบัติต่อกันและกัน ไม่มีผู้ใดสามารถอยู่โดดเดี่ยวโดยไม่มีเพื่อน เพราะความเป็นอยู่ของแต่ละคนมีความเกี่ยวพันอยู่เสมอ พระประสงค์ของพระเจ้าคือการที่เราต่างนึกถึงชีวิตผู้อื่นและคอยหาการช่วยเหลือให้คนเหล่านั้นได้รับความสุขในชีวิต {COL 339.2} COLTh 301.1
จิตวิญญาณของเราต่างก็อยู่ในสภาพแวดล้อมที่เป็นของตนเอง เป็นสภาพที่ก่อให้เกิดพลังที่ให้ชีวิต มีความกล้าหาญ และมีความหวัง ทำให้ชีวิตหอมหวานด้วยกลิ่นหอมแห่งความรักหรืออาจจะถูกครอบงำด้วยบรรยากาศที่มืดทึบและเย็นชาเพราะความไม่พอใจ ความเห็นแก่ตัวหรือด่างพร้อยด้วยพิษของบาปชั่วที่ซ่อนเร้นอยู่ ด้วยบรรยากาศของสภาพแวดล้อมรอบตัวเรานี่เองที่ทำให้ผู้ที่สัมผัสในชีวิตของเราได้รับผลกระทบจากเราโดยทั้งที่รู้ตัวหรือไม่รู้ตัว {COL 339.3} COLTh 301.2
นี่คือความรับผิดชอบที่เราไม่สามารถหลบหลีกได้ คำพูด การกระทำ การแต่งตัว กิริยามารยาทหรือแม้กระทั่งอาการแสดงออกทางใบหน้าของเราก็มีผลชักจูงผู้อื่น ผลแห่งความประทับใจนี้ก่อให้เกิดผลดีที่ไม่มีใครจะวัดค่าได้ แรงกระตุ้นที่ถูกขับออกมาทุกกระแสเป็นเมล็ดที่หว่านออกไปเพื่อจะเกิดผลในวันเก็บเกี่ยว นี่เป็นส่วนหนึ่งของเหตุการณ์ที่เป็นเหมือนโซ่ที่คล้องมนุษย์เข้าไว้ด้วยกัน ต่อเนื่องไปไม่มีที่สิ้นสุด หากการเป็นแบบอย่างของเราสามารถช่วยให้คนเหล่านั้นได้รับการพัฒนาหลักการที่ดี ก็เท่ากับว่าเราได้ให้พลังเพื่อการกระทำดีแก่คนเหล่านั้น ในการตอบสนองเขาก็จะใช้อิทธิพลในทางดีของเขากับผู้อื่นต่อไป และจะมีผลต่อเนื่องกันไปเรื่อยๆ ฉะนั้นโดยอิทธิพลที่เราแสดงออกไปโดยที่ไม่รู้ตัวอาจจะเป็นสื่อพระพรที่นำไปสู่ผู้คนเป็นจำนวนมาก {COL 339.4} COLTh 301.3
เมื่อโยนก้อนกรวดลงไปในทะเลสาบ ก็จะมีคลื่นเกิดขึ้นขยายออกไปเรื่อยๆ กว้างขึ้นจนไปถึงฝั่ง อิทธิพลของเราก็เป็นเช่นนี้ เหนือความรู้หรือการควบคุมของเรา อิทธิพลของเราจะไปยังผู้อื่นให้เขาได้พระพรหรือการสาปแช่ง {COL 340.1} COLTh 302.1
อุปนิสัยคือพลัง การเป็นพยานอย่างเงียบๆ ด้วยความจริงใจ อย่างไม่เห็นแก่ตัวและเลื่อมใสในพระเจ้า มีพลังอิทธิพลที่ไม่มีสิ่งใดอาจลบล้างได้ การแสดงถึงอุปนิสัยของพระคริสต์ในชีวิตของเรา เท่ากับเราได้ร่วมงานกับพระองค์ในการนำจิตวิญญาณ การแสดงออกถึงอุปนิสัยของพระคริสต์ในชีวิตของเราเท่านั้นที่ทำให้เราร่วมมือกับพระองค์ได้และยิ่งแผ่อิทธิพลกว้างออกไปเท่าใดเราก็กระทำดีได้มากขึ้นเท่านั้น เมื่อผู้ที่แสดงตนว่าเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้าปฏิบัติตามตัวอย่างของพระคริสต์ โดยการดำเนินชีวิตในแต่ละวันตามหลักการของพระบัญญัติ เมื่อการกระทำทุกอย่างแสดงออกถึงความรักอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าต่อเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง คริสตจักรก็จะมีอำนาจที่จะเคลื่อนไหวเพื่อพระเจ้าในโลกนี้ได้ {COL 340.2} COLTh 302.2
แต่อย่าลืมว่าอิทธิพลมีอำนาจต่อการกระทำชั่วได้เท่ากับการกระทำดี การที่ผู้หนึ่งผู้ใดสูญเสียจิตวิญญาณของตนเองเป็นสิ่งที่เลวร้ายที่สุด แต่การทำให้จิตวิญญาณของผู้อื่นสูญหายเลวร้ายยิ่งกว่า เป็นไปได้ที่อิทธิพลของเรานั้นจะกลายเป็นผู้ที่ทำให้คนเหล่านั้นกระจัดกระจายหนีหายไปจากพระองค์ นี่เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมคริสตจักรถึงอ่อนแอเช่นนี้ หลายคนมุ่งแต่จะติเตียนและใส่ความกล่าวหาผู้อื่นด้วยคำพูดสร้างความสังสัย อิจฉาริษยาและความไม่พอใจเกิดขึ้น เขาเหล่านั้นปล่อยตัวให้ซาตานใช้เป็นเครื่องมือ กว่าจะรู้ตัวเองว่าทำอะไรไป ศัตรูก็ใช้เขาเป็นเครื่องมือจนบรรลุเป้าหมายของมันเสียแล้ว รอยประทับแห่งความชั่วเกิดขึ้น เงานั้นทอดลงมา ทำให้ลูกศรของซาตานเห็นเป้าอย่างชัดเจน ความไม่ไว้วางใจ ความไม่เชื่อ ความไร้ศรัทธาเกิดขึ้น ทำให้ผู้ที่น่าจะยอมรับพระคริสต์กลับปฏิเสธพระองค์ ในขณะเดียวกันผู้ที่ทำงานให้ซาตานมองดูด้วยความพอใจไปยังผู้ที่มารผลักให้ออกไปด้วยความสงสัย แล้วก็เข้าข้างตัวเองว่าการกระทำของตนถูกต้องและเปรียบเทียบกับผู้ที่ล้มลงว่าไม่มีคุณงามความดีและความชอบธรรมเท่ากับตน เขาเหล่านั้นไม่ได้ตระหนักว่าอุปนิสัยอันเหลวแหลกที่เกิดขึ้นนั้นเป็นผลมาจากลิ้นที่ไร้การควบคุม และจิตใจที่ดื้อรั้น ด้วยอิทธิพลนี้เองที่ทำให้ชีวิตของผู้อื่นต้องล้มลง {COL 340.3} COLTh 302.3
ดังนั้นการไม่เอาจริงเอาจัง ตามใจตนเองด้วยความเห็นแก่ตัว ใช้ชีวิตด้วยความประมาทเลินเล่อตามใจปรารถนาของผู้ที่อ้างตนเองว่าเป็นคริสเตียน ทำให้จิตวิญญาณจำนวนมากหันเหไปจากหนทางแห่งชีวิต คนจำนวนมากหวาดกลัวที่จะเผชิญต่อหน้าบัลลังก์แห่งการพิพากษาของพระเจ้าอันเนื่องจากผลแห่งอิทธิพลของตนเอง {COL 341.1} COLTh 303.1
โดยพระกรุณาของพระเจ้าเท่านั้น ที่เราใช้ของประทานนี้อย่างถูกต้องได้ ไม่มีสิ่งใดในตัวของคนเราที่จะมีอิทธิพลต่อผู้อื่นให้ทำดีได้ เมื่อเรายอมรับว่าช่วยตนเองไม่ได้และต้องการฤทธานุภาพของพระเจ้าแล้ว เราจะไม่วางใจการกระทำของตนเอง เราไม่ทราบว่าผลการกระทำในวันหนึ่ง ชั่วโมงหนึ่งหรือเพียงนาทีหนึ่งจะก่อให้เกิดผลอย่างไรบ้าง จึงไม่ควรเริ่มวันใหม่โดยไม่ถวายการดำเนินชีวิตของเราให้แก่พระบิดาแห่งสวรรค์ ทูตของพระองค์ได้รับการแต่งตั้งให้ทำหน้าที่ดูแล และเมื่อเรายอมให้ทูตเหล่านั้นปกปักรักษาแล้ว ยามใดก็ตามที่อันตรายจะเกิดขึ้น ทูตเหล่านั้นก็จะอยู่ข้างเราทันที เมื่อตกอยู่ในอันตรายของอิทธิพลที่ผิดโดยที่ไม่ได้เจตนา ทูตสวรรค์ก็จะอยู่ข้างเราคอยเร่งเร้าให้หันเข้าทางที่ถูกต้อง ทูตเหล่านี้จะคอยช่วยในการเลือกคำพูดและคอยนำการกระทำของเรา ดังนั้นอิทธิพลของเราจึงเป็นไปอย่างเงียบๆ กระทำไปโดยที่ไม่ตั้งใจ แต่มีพลังในการชักจูงผู้อื่นให้หันไปหาพระคริสต์และแผ่นดินสวรรค์ของพระองค์ {COL 341.2} COLTh 303.2