Loading...
Larger font
Smaller font
Copy
Print
Contents

สงครามครั้งยิ่งใหญ่

 - Contents
  • Results
  • Related
  • Featured
No results found for: "".
  • Weighted Relevancy
  • Content Sequence
  • Relevancy
  • Earliest First
  • Latest First

    บท 20 - การตื่นตัวครั้งยิ่งใหญ่ฝ่ายศาสนา

    การตื่นตัวครั้งยิ่งใหญ่ทางศาสนาในช่วงของการประกาศเรื่องการใกล้เสด็จมาในเร็ววันของพระคริสต์นั้น ถูกบอกไว้ล่วงหน้าแล้วในคำพยากรณ์ของข่าวทูตสวรรค์องค์ที่หนึ่งของพระธรรมวิวรณ์บทที่ 14 ทูตสวรรค์องค์ที่หนึ่งกำลัง “เหาะไปในท้องฟ้า เพื่อประกาศข่าวประเสริฐนิรันดร์แก่คนทั้งหลายที่อยู่บนแผ่นดินโลก แก่ทุกประชาชาติ ทุกเผ่า ทุกภาษาและทุกชนชาติ ท่านประกาศเสียงดังว่า จงเกรงกลัวพระเจ้า และถวายพระเกียรติแด่พระองค์ เพราะถึงเวลาที่พระองค์จะทรงพิพากษาแล้ว จงนมัสการพระองค์ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์ แผ่นดินโลก ทะเล และบ่อน้ำพุทั้งหลาย” วิวรณ์ 14:6, 7 {GC 355.1}GCth17 308.1

    ข้อเท็จจริงที่ว่าทูตสวรรค์องค์หนึ่งเป็นผู้ประกาศคำเตือนนี้แสดงว่าเป็นเรื่องที่มีความสำคัญอย่างมากยิ่ง ด้วยความบริสุทธิ์ รัศมีและสิทธิอำนาจของผู้สื่อข่าวชาวสวรรค์นั้น พระปัญญาของพระเจ้าพอพระทัยที่เสนอให้เห็นถึงคุณลักษณะที่สูงส่งของพระราชกิจที่จะต้องกระทำให้สำเร็จโดยทางข่าวสารและสิทธิอำนาจและรัศมีที่จะร่วมอยู่กับพระราชกิจนี้ ทูตสวรรค์ที่เหาะไป “ในท้องฟ้า” คำเตือนที่ “ประกาศ[ด้วย]เสียงดัง” และประกาศให้ “คนทั้งหลายที่อยู่บนแผ่นดินโลก แก่ทุกประชาชาติ ทุกเผ่า ทุกภาษาและทุกชนชาติ” ทำให้มองเห็นว่าเป็นขบวนการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วและแผ่กว้างยิ่งใหญ่ไปทั่วทั้งโลก {GC 355.2}GCth17 308.2

    ข่าวสารเองบอกแจ้งให้เราทราบถึงเวลาเมื่อเหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้น ข่าวนี้เป็นส่วนหนึ่งของ “ข่าวประเสริฐนิรันดร์” และประกาศแจ้งเรื่องการเริ่มต้นของการพิพากษา ข่าวสารเรื่องการช่วยให้รอดได้ถูกเทศนาสั่งสอนมาตลอดในทุกยุคทุกสมัย แต่ข่าวสารนี้เป็นส่วนหนึ่งของข่าวประเสริฐที่จะถูกประกาศเฉพาะในวาระสุดท้ายเท่านั้น เพราะในเวลานี้เองเท่านั้นที่เวลาของการพิพากษาจะมาถึง คำพยากรณ์ต่างๆ ได้นำเสนอลำดับของเหตุการณ์อย่างต่อเนื่องที่นำไปสู่การเริ่มต้นของการพิพากษา สิ่งนี้เป็นเรื่องจริงโดยเฉพาะในพระธรรมดาเนียล แต่คำพยากรณ์ของดาเนียลในส่วนที่สัมพันธ์กับเหตุการณ์ในวาระสุดท้ายนั้น ดาเนียลได้รับบัญชาให้ปิดผนึกและประทับตราไว้ “จนถึงวาระสุดท้าย” ดาเนียล 12:4 ตามคำพยากรณ์ที่เกิดขึ้นจริงแล้วเหล่านี้ ข่าวเรื่องการพิพากษานี้จะถูกประกาศออกไปไม่ได้จนกว่าจะถึงเวลาปัจจุบันนี้ ผู้เผยพระวจนะกล่าวว่า แต่เมื่อถึงวาระสุดท้าย “คนเป็นอันมากจะวิ่งไปวิ่งมา และความรู้จะทวีขึ้น” ดาเนียล 12:4 {GC 355.3}GCth17 308.3

    อัครทูตเปาโลเตือนคริสตจักรไม่ให้คอยการเสด็จมาของพระคริสต์ในเวลาของท่าน เปาโลกล่าวไว้ว่า “วันนั้นจะไม่มาถึงจนกว่าจะมีการกบฏเสียก่อนและคนนอกกฎหมายนั้นจะปรากฏตัว” 2 เธสะโลนิกา 2:3 จวบจนกระทั่งภายหลังการละทิ้งความเชื่อยิ่งใหญ่และช่วงเวลาอันยาวนานของการปกครองภายใต้ “คนนอกกฎหมาย” แล้ว จึงจะเฝ้าคอยการเสด็จมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าได้ “คนนอกกฎหมาย” ซึ่งมีนามอื่นว่า “อำนาจลึกลับนอกกฎหมาย” 2 เธสะโลนิกา 2:7 “ลูกแห่งความพินาศ” ยอห์น 17:2 และ “คนชั่ว” นั้นหมายถึงระบอบเปปาซีซึ่งตามที่คำพยากรณ์กล่าวไว้ล่วงหน้านั้นจะเรืองอำนาจ 1,260 ปี ช่วงเวลานี้ได้สิ้นสุดลงในปี ค.ศ. 1798 การเสด็จมาของพระคริสต์จะไม่เกิดขึ้นก่อนเวลานั้น เวลาในข้อเขียนของเปาโลครอบคลุมตั้งแต่ยุคของคริสเตียนจนไปถึงปี ค.ศ. 1798 เวลาหลังจากนี้จึงเป็นช่วงเวลาที่จะประกาศข่าวเรื่องพระคริสต์เสด็จมาครั้งที่สองได้ {GC 356.1}GCth17 309.1

    ในอดีตที่ผ่านมา ไม่มีการประกาศข่าวสารในทำนองนี้ แม้แต่ที่เรารับรู้มา เปาโลก็ไม่ได้เทศนาเรื่องนี้ เขาบอกพี่น้องให้คอยมองหาการเสด็จมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าในเวลาอีกยาวนานของอนาคต นักปฏิรูปศาสนาทั้งหลายก็ไม่ได้ประกาศเรื่องนี้ มาร์ติน ลูเธอร์ตั้งวันพิพากษาไว้อีกสามร้อยปีในอนาคตนับจากเวลาของเขา แต่นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1798 เป็นต้นมาผนึกที่ปิดพระธรรมดาเนียลได้ถูกแกะออกแล้ว ความรู้เรื่องคำพยากรณ์ต่างๆ เพิ่มขึ้นและมีคนมากมายประกาศข่าวสารสำคัญของการพิพากษาว่าใกล้เข้ามาแล้ว {GC 356.2}GCth17 309.2

    เหมือนการปฏิรูปยิ่งใหญ่ของศตวรรษที่ 16 ขบวนการเคลื่อนไหวเรื่องการเสด็จมาเกิดขึ้นพร้อมๆ กันในส่วนต่างๆ ของโลกคริสเตียน ทั้งในประเทศยุโรปและอเมริกา คนแห่งความเชื่อและคำอธิษฐานได้รับการชักนำให้ศึกษาคำพยากรณ์และแกะตามรอยข้อความบันทึกที่ได้รับการดลใจ พวกเขามองเห็นหลักฐานที่ทำให้เชื่อว่าเหตุการณ์ทั้งสิ้นใกล้ถึงยุคสุดท้ายแล้ว ในดินแดนต่างๆ มีคริสเตียนหลายกลุ่มที่อยู่กันตามลำพังโดดเดี่ยวได้ข้อสรุปจากการศึกษาพระคัมภีร์เท่านั้น ที่นำมาถึงความเชื่อว่าพระผู้ช่วยให้รอดกำลังใกล้จะเสด็จกลับมา {GC 357.1}GCth17 310.1

    ในปี ค.ศ. 1821 สามปีหลังจากมิลเลอร์มาถึงข้อความอธิบายของคำพยากรณ์ที่บอกเวลาของการพิพากษา ดร. โยเซฟ วูลฟฟ์ [Joseph Wolff] “มิชชันนารีเพื่อประกาศไปทั่วทั้งโลก” เริ่มประกาศถึงการใกล้เสด็จมาในเร็ววันขององค์พระผู้เป็นเจ้า วูลฟฟ์เกิดในประเทศเยอรมนี พ่อแม่เป็นชาวฮีบรู คุณพ่อเป็นรับบีชาวยิว ในขณะที่ยังมีอายุน้อยมากนั้น เขามีความเชื่อมั่นในความจริงของศาสนาคริสต์ เขามีสมองที่ว่องไวและอยากรู้อยากเห็น เขากระตือรือร้นฟังคำสนทนาที่มีขึ้นทุกวันในบ้านของคุณพ่อในขณะที่ชาวฮีบรูผู้เลื่อมใสเคร่งครัดในศาสนามาชุมนุมกัน เพื่อทบทวนความหวังใจและการคาดหวังล่วงหน้าของพวกเขาทั้งหลายถึงพระรัศมีของพระเมสสิยาห์ที่กำลังจะเสด็จมาและการนำประเทศอิสราเอลกลับคืนมา อยู่มาวันหนึ่งเขาได้ยินถึงการเอ่ยพระนามของเยซูชาวนาซาเร็ธ เด็กชายคนนี้ถามขึ้นมาว่า ท่านเป็นผู้ใด คำตอบที่เขาได้คือ “ชาวยิวท่านหนึ่งที่มีความสามารถยิ่งใหญ่ แต่ท่านแสร้งทำตัวเป็นพระเมสสิยาห์ ศาลของยิวพิพากษาตัดสินประหารท่าน” ผู้สงสัยถามต่อ “ทำไมกรุงเยรูซาเล็มจึงถูกทำลายไปและทำไมพวกเราจึงตกเป็นเชลยอยู่” คุณพ่อตอบว่า “โอ่ โอ เพราะชาวยิวฆ่าผู้เผยพระวจนะทั้งหลาย” ในทันใดนั้น มีความคิดหนึ่งแล่นเข้ามาในสมองของเด็กคนนี้ “พระเยซูคงเป็นผู้เผยพระวจนะคนหนึ่งด้วยเช่นกันและชาวยิวฆ่าพระองค์ไปเสียในขณะที่ท่านไม่มีความผิด” Travels and Adventures of the Rev. Joseph Wolff เล่มที่ 1 หน้าที่ 6 เขามีความคิดเช่นนี้อย่างแรงกล้า ถึงแม้จะถูกห้ามเข้าไปในโบสถ์ของชาวคริสเตียนก็ตามที แต่บ่อยครั้งเขาก็เถลไถลอยู่ภายนอก คอยฟังคำเทศนา {GC 357.2}GCth17 310.2

    เมื่อวูลฟฟ์อายุ 7 ขวบ เขาคุยอวดอ้างกับเพื่อนบ้านผู้สูงอายุคนหนึ่งถึงชัยชนะในภายภาคหน้าของชนชาติอิสราเอลเมื่อพระเมสสิยาห์เสด็จมา เมื่อมีคนแก่คนหนึ่งพูดขึ้นอย่างเมตตาว่า “เด็กน้อยที่รัก ลุงจะบอกหนูว่าพระเมสสิยาห์แท้จริงคือผู้ใด ท่านคือพระเยซูชาวนาซาเร็ธ.....ที่บรรพบุรุษของหนูตรึงกางเขนเหมือนเช่นที่ทำกับผู้เผยพระวจนะคนอื่นๆ กลับไปอ่านพระธรรมอิสยาห์บทที่ 53 และหนูจะมั่นใจว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า” Ibid. เล่มที่ 1 หน้าที่ 7 ในทันทีทันใดนั้น ความมั่นใจได้ตราตรึงลงสู่เขา เขากลับบ้านและไปอ่านพระคัมภีร์ สงสัยว่าคำพยากรณ์จะสำเร็จได้อย่างบริบูรณ์ในเยซูชาวนาซาเร็ธได้อย่างไร คำของชาวคริสต์เป็นเรื่องจริงหรือ เด็กชายขอให้คุณพ่ออธิบายคำพยากรณ์ แต่กลับพบกับความเงียบที่เคร่งขรึมมากจนเขาไม่กล้าที่จะเอ่ยถึงเรื่องนี้อีกต่อไป อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้เพียงแต่เพิ่มความปรารถนาของเขาที่จะเรียนรู้เรื่องศาสนาของคริสเตียนให้มากยิ่งขึ้น {GC 357.3}GCth17 310.3

    ในบ้านเชื้อสายยิวของเขานั้น ความรู้ที่เขาเสาะแสวงหาถูกกีดขวางอย่างขันแข็งจากเขา แต่เขาออกจากบ้านของพ่อขณะที่มีอายุเพียง 11 ปี ออกไปยังโลกเพื่อแสวงหาการศึกษาให้กับตนเอง เพื่อเลือกศาสนาและทำมาหาเลี้ยงชีพ เขาไปพักอาศัยกับญาติได้ระยะหนึ่ง แต่ในไม่ช้าก็ถูกขับออกไปด้วยข้อหาละทิ้งความเชื่อ และเขาจึงต้องหาหนทางของตนเองอย่างโดดเดี่ยวไม่มีเงินในท่ามกลางหมู่คนแปลกหน้า เขาไปจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง ขยันเรียนและอยู่รอดด้วยการสอนภาษาฮีบรู โดยอิทธิพลของครูชาวคาทอลิกเขาถูกชักนำให้รับความเชื่อของโรมและตั้งใจที่จะเป็นมิชชันนารีในหมู่คนของเขาเอง หลายปีต่อมาเขาไปพร้อมเป้าหมายนี้เพื่อศึกษาในวิทยาลัยออฟโปรปากันดาที่กรุงโรม เนื่องจากเขามีความคิดเสรีและการพูดที่ตรงไปตรงมา ในขณะที่เขาอยู่ที่นี่เขาถูกกล่าวหาว่าเป็นคนนอกรีต เขาโจมตีอย่างเปิดเผยถึงการกระทำทารุณของคริสตจักรและเรียกร้องเรื่องความจำเป็นที่จะต้องปฏิรูป แม้ว่าในช่วงต้นเจ้าหน้าที่ชั้นสูงของระบอบเปปาซีปฏิบัติต่อเขาด้วยความเห็นชอบก็ตามที แต่ต่อมาไม่นานเขาก็ถูกขับออกไปจากกรุงโรม เขาเดินทางไปมาภายใต้การเฝ้ามองของคริสตจักร จนกระทั่งประจักษ์แจ้งว่าไม่อาจนำเขาให้มาอยู่ภายใต้การผูกมัดของลัทธิโรมันได้ เขาจึงถูกตราว่าเป็นคนที่แก้ไขไม่ได้และถูกปล่อยให้ไปตามที่เขาพึงพอใจ บัดนี้เขาจึงมุ่งหน้าไปประเทศอังกฤษและรับความเชื่อของโปรเตสแตนต์ เข้าร่วมกับคริสตจักรอังกฤษ หลังจากเข้าเรียนแล้วสองปี เขาจึงก้าวออกไปทำงานของเขาเองในปี ค.ศ. 1821 {GC 358.1}GCth17 311.1

    ในขณะที่วูลฟฟ์ยอมรับความจริงอันยิ่งใหญ่ของการเสด็จมาครั้งที่หนึ่งของพระคริสต์ว่าพระองค์ทรง “เป็นคนที่รับความเจ็บปวดและคุ้นเคยกับความเจ็บไข้” อิสยาห์ 53:3 เขามองเห็นว่า คำพยากรณ์ต่างๆ เปิดเผยด้วยน้ำหนักที่เท่าเทียมกันให้เห็นถึงการเสด็จมาครั้งที่สองด้วยฤทธานุภาพและพระรัศมี และในขณะที่เขาหาทางนำคนของเขาไปยังพระเยซูชาวนาซาเร็ธว่าทรงเป็นพระผู้ที่ทรงโปรดสัญญาไว้ และชี้ให้พวกเขาเห็นการเสด็จมาครั้งที่หนึ่งในความถ่อมตนในฐานะเครื่องถวายบูชาเพื่อบาปทั้งหลายของมนุษย์นั้น เขาก็สอนพวกเขาด้วยว่าพระองค์จะเสด็จมาครั้งที่สองในฐานะกษัตริย์และพระผู้ช่วยให้รอด {GC 358.2}GCth17 311.2

    เขากล่าวว่า “เยซูชาวนาซาเร็ธทรงเป็นพระเมสสิยาห์องค์เที่ยงแท้ พระหัตถ์และพระบาทของพระองค์ถูกแทง พระองค์ถูกนำดั่งลูกแกะมายังคนฆ่า พระองค์ทรงรับความเจ็บปวดและคุ้นเคยกับความเจ็บไข้ ซึ่งต่อมาได้นำธารพระกรไปจากยูดาห์และอำนาจการปกครองออกไปจากหว่างเท้า พระองค์ผู้เสด็จมาครั้งแรกแล้วจะเสด็จมาเป็นครั้งที่สองในหมู่เมฆบนท้องฟ้าและด้วยเสียงแตรของเทพบดี” Joseph Wolff, Researches and Missionary Labors หน้า 62 “และจะประทับอยู่บนภูเขามะกอกเทศ และการครอบครองนั้นซึ่งเคยถูกมอบให้แก่อาดัมเมื่อแรกสร้างโลกและถูกริบไปโดยเขา (ปฐมกาล 1: 26; 3:17) จะถูกมอบให้แก่พระเยซู พระองค์จะทรงเป็นกษัตริย์ปกครองสิ้นทั้งโลก การร้องไห้คร่ำครวญและความทุกข์ระทมของโลกที่สร้างมานั้นจะยุติ แต่จะได้ยินเสียงบทเพลงสรรเสริญและขอบพระคุณ.....เมื่อพระเยซูเสด็จมาด้วยพระรัศมีของพระบิดาและทูตสวรรค์บริสุทธิ์.....ผู้เชื่อที่ตายแล้วจะกลับเป็นขึ้นมาจากตายก่อน 1 เธสะโลนิกา 4:16 1 โครินธ์ 15:23 ชาวคริสเตียนเรียกเรื่องนี้ว่าการเป็นขึ้นมาจากการตายครั้งที่หนึ่ง แล้วสัตว์ทั้งหลายในโลกจะเปลี่ยนแปลงธรรมชาติของมัน (อิสยาห์ 11: 6-9) และจะเชื่องอยู่เบื้องพระเยซู (สดุดี 8) สันติสุขทั่วจักรวาลจะปรากฏ” Journal of the Rev. Joseph Wolff หน้า 378, 379 “องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทอดพระเนตรลงมายังโลกอีกครั้งหนึ่งและตรัสว่า ‘ดูสิ ดียิ่งนัก’” Ibid. หน้า 294 {GC 359.1}GCth17 311.3

    วูลฟฟ์เชื่อว่าการเสด็จมาขององค์พระผู้เป็นเจ้านั้นมาใกล้แล้ว ในการแปลความหมายช่วงเวลาคำพยากรณ์ของเขานั้น เขาจัดวางการเสด็จมาอย่างยิ่งใหญ่ให้อยู่ในช่วงเวลาห่างจากเวลาที่มิลเลอร์จัดวางไว้ไม่กี่ปี สำหรับคนเหล่านั้นที่ใช้ข้อพระคัมภีร์ “วันนั้น โมงนั้นไม่มีใครรู้” เพื่อมาย้ำเน้นว่า มนุษย์จะไม่รู้เรื่องการใกล้เวลาเสด็จกลับมานั้น วูลฟฟ์ตอบว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราทรงบอกไว้หรือว่าจะไม่มีทางรู้วันและเวลา พระองค์ไม่ได้ทรงประทานหมายสำคัญแห่งกาลเวลาเพื่อให้เรารู้อย่างน้อยที่สุดถึงการใกล้เข้ามาของการเสด็จมาของพระองค์เช่นเดียวกับการใกล้เข้ามาของฤดูร้อนเมื่อต้นมะเดื่อเทศออกใบหรือ มัทธิว 24:32 เราจะไม่มีวันรู้ช่วงเวลานั้นหรือในเมื่อพระองค์เองยังทรงเชิญชวนให้เราไม่เพียงแต่อ่านพระธรรมดาเนียลที่เผยพระวจนะแต่ให้เข้าใจด้วย และในพระธรรมดาเนียลเล่มนี้ยังบอกว่าถ้อยคำเหล่านั้นจะถูกปิดเก็บไว้จนถึงวาระสุดท้าย (ซึ่งเป็นเช่นนั้นในเวลาของเขา) และ ‘คนเป็นอันมากจะวิ่งไปวิ่งมา’ (เป็นคำพูดของชาวฮีบรูที่แสดงออกถึงการสังเกตและการคิดคำนึงถึงเวลา) ‘และความรู้’ (ที่เกี่ยวข้องกับเวลานั้น) ‘จะทวีขึ้น’ ดาเนียล 12:4 นอกจากนี้ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราไม่ได้ทรงมุ่งหมายที่จะตรัสโดยข้อความนี้ว่าการใกล้เข้ามานี้จะไม่เป็นที่รับรู้ แต่ทรงหมายความว่าวันที่แน่นอนของ ‘วันนั้น โมงนั้น ไม่มีใครรู้’ เขาพูดต่อไปว่า เรามีหมายสำคัญของเวลาที่ถูกเปิดออกให้รู้ได้อย่างเพียงพอเพื่อเชิญชวนให้เราเตรียมตัวสำหรับการเสด็จมาของพระองค์เหมือนเช่นโนอาห์เป็นผู้เตรียมนาวา” Wolff, Researches and Missionary Labors หน้า 404, 405 {GC 359.2}GCth17 311.4

    วูลฟฟ์เขียนถึงเรื่องระบบซึ่งเป็นที่นิยมในการแปลความหมายหรืออธิบายความหมายของพระคัมภีร์ไปในทางที่ผิดว่า “โบสถ์คริสเตียนส่วนใหญ่หันเหไปจากแนวทางอันเรียบง่ายของพระคัมภีร์และหันเข้าหาระบบการปรากฏทางวิญญาณของทางพุทธที่เชื่อว่าความสุขในอนาคตของมนุษยชาติจะประกอบด้วยการเคลื่อนไปมาในอากาศ และตั้งสมมติฐานเอาเองว่าเมื่ออ่านเจอคำว่ายิวจะต้องเข้าใจว่าเป็นคนนอกศาสนา และเมื่ออ่านคำว่าเยรูซาเล็มจะต้องเข้าใจว่าเป็นคริสตจักร และเมื่อกล่าวถึงโลกก็จะหมายถึงท้องฟ้า และเมื่อกล่าวถึงการเสด็จมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า พวกเขาจะต้องเข้าใจว่าเป็นการเจริญขึ้นของสมาคมของชาวมิชชันนารี และกำลังขึ้นไปยังภูเขาบ้านขององค์พระผู้เป็นเจ้า หมายถึงการประชุมยิ่งใหญ่ของชาวเมทอดิสต์” Journal of the Rev. Joseph Wolff หน้า 96 {GC 360.1}GCth17 312.1

    ในช่วงเวลายี่สิบสี่ปีระหว่าง ค.ศ. 1821-1845 วูลฟฟ์เดินทางไปอย่างกว้างไกลทั้งในทวีปแอฟริกา ท่องไปในประเทศอียิปต์และประเทศอบิสซีเนีย [ชื่อเดิมของประเทศเอธิโอเปีย] ไปในทวีปเอเชีย ไปยังประเทศปาเลสไตน์ ประเทศซีเรีย ประเทศเปอร์เซีย เมืองปอคฮาราและประเทศอินเดีย เขาเดินทางมาเยี่ยมประเทศสหรัฐอเมริกาด้วย ในการเดินทางมาที่นี่ เขาได้เทศนาที่เกาะเซนต์เฮเลนา เขาเดินทางมาถึงเมืองนิวยอร์คในเดือนสิงหาคม ปี ค.ศ. 1837 และหลังจากเทศนาในเมืองนี้แล้วเขาก็ไปเทศนาที่รัฐฟีลลาเดลเฟียและเบลติมอลและในที่สุดเดินทางต่อไปยังกรุงวอชิงตัน ขณะอยู่ที่นั่น เขากล่าวว่า “โดยการเสนอของอดีตประธานาธิบดีควีนซี อาดัมส์ในการประชุมรัฐสภา สภาอนุมัติเป็นเอกฉันท์ให้ข้าพเจ้าใช้หอประชุมคอนเกรสเป็นห้องบรรยาย ซึ่งข้าพเจ้าบรรยายในวันเสาร์ ได้รับเกียรติเป็นอย่างยิ่งด้วยการเข้าฟังของสมาชิกรัฐสภา และบิชอปแห่งรัฐเวอร์จิเนียและคณะสงฆ์และประชาชนของรัฐวอชิงตัน สมาชิกการปกครองแห่งรัฐนิวเยอซีและเพนซีเวเนียก็ให้เกียรติเดียวกันนี้แก่ข้าพเจ้าด้วย ข้าพเจ้าบรรยายผลงานวิจัยของข้าพเจ้าในเอเชียและรวมทั้งเรื่องการเสด็จขึ้นครองด้วยพระองค์เองของพระเยซูคริสต์” Ibid. หน้า 398, 399 {GC 360.2}GCth17 312.2

    ดร. วูลฟฟ์เดินทางท่องไปยังประเทศป่าเถื่อนที่สุดโดยไม่ได้รับการปกป้องจากผู้มีอำนาจของประเทศยุโรป เขาทนต่อสภาพที่แร้นแค้นและภัยอันตรายนับไม่ถ้วนที่ล้อมอยู่รอบตัวเขา เขาถูกลงโทษด้วยการตีเท้าและตกอยู่ในสภาพอดอยาก ถูกจับขายเป็นทาสและถูกตัดสินประหารถึงสามครั้ง คนร้ายจี้ปล้นคุกคามรอบตัวเขาและบางครั้งเกือบพินาศอันเนื่องจากการกระหายน้ำ มีอยู่ครั้งหนึ่ง เขาถูกปล้นจนหมดตัวและถูกทิ้งให้เดินเท้าไปหลายร้อยไมล์ข้ามภูเขา หิมะพัดตีใส่หน้าของเขาและเท้าเปล่าของเขาสัมผัสพื้นดินที่แข็งเป็นน้ำแข็งจนเท้าของเขาชาไป {GC 361.1}GCth17 313.1

    เมื่อมีคนเตือนเขาเรื่องของการท่องไปท่ามกลางคนป่าเถื่อนและคนเผ่าที่ดุร้ายนั้น วูลฟฟ์มักจะแถลงให้ตัวเองว่า “มีเครื่องป้องกันจัดเตรียมไว้ให้แล้ว”  “คำอธิษฐาน ใจร้อนรนเพื่อพระคริสต์และความไว้วางใจในการทรงช่วยของพระองค์” เขากล่าวว่า “ยิ่งไปกว่านั้น ข้าพเจ้ายังได้รับการจัดเตรียมด้วยความรักของพระเจ้า และเพื่อนบ้านของข้าพเจ้าอยู่ในหัวใจของข้าพเจ้าและพระคัมภีร์อยู่ในมือของข้าพเจ้า”  W.H.D. Adams, In Perils Oft หน้า 192 เขานำพระคัมภีร์ภาษาฮีบรูและภาษาอังกฤษติดตัวไปทุกแห่งหน เขากล่าวถึงการเดินทางช่วงหลังว่า “ข้าพเจ้า.....เอาพระคัมภีร์ที่เปิดออกไว้อยู่ในมือของข้าพเจ้า ข้าพเจ้ารู้ว่าพลังของข้าพเจ้าอยู่ในพระคำเล่มนี้และเป็นหนังสือที่จะค้ำจุนข้าพเจ้า” Ibid. หน้า 201 {GC 361.2}GCth17 313.2

    ด้วยการทำเช่นนี้ เขาเก็บรักษางานของเขาเอาไว้ได้จนกระทั่งนำข่าวสารของการพิพากษาไปยังโลกส่วนใหญ่ที่มีคนอาศัยอยู่ ท่ามกลางคนยิว ชาวเติร์ก คนพาร์ซีส์ ชาวฮินดูและคนอีกหลายชาติและเผ่าพันธุ์นั้น เขาได้แจกจ่ายพระคำของพระเจ้าในท่ามกลางภาษาต่างๆ เหล่านี้ และในทุกที่เขาได้ประกาศถึงเหตุการณ์ที่บ่งบอกว่าพระเมสสิยาห์กำลังใกล้จะเสด็จมาครอบครอง {GC 361.3}GCth17 313.3

    ในการเดินทางของเขาไปยังเมืองปอคฮารา เขาได้พบคนกลุ่มหนึ่งที่อยู่ห่างไกลและอยู่อย่างโดดเดี่ยวซึ่งเชื่อคำสอนเรื่องการใกล้เสด็จมาในเร็ววันขององค์พระผู้เป็นเจ้า เขากล่าวว่า “ชาวอาหรับและชาวเยเมนมีหนังสือเล่มหนึ่งที่เรียกว่าซีราซึ่งกล่าวถึงเรื่องการเสด็จมาครั้งที่สองของพระคริสต์และการปกครองของพระองค์ด้วยพระรัศมี และพวกเขาคาดว่าเหตุการณ์ยิ่งใหญ่จะเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1840” Journal of the Rev. Joseph Wolff หน้า 377 “ในประเทศเยเมน....ข้าพเจ้าอยู่กับบุตรทั้งหลายของเรคาบ พวกเขาไม่ดื่มสุรา ไม่ปลูกสวนองุ่น ไม่หว่านเมล็ดพืชและอาศัยอยู่ในเต็นท์ และข้าพเจ้าจำโยนาดับชายแก่แสนดีได้เป็นอย่างดี เขาเป็นบุตรชายของเรคาบ และข้าพเจ้ายังพบพงศ์พันธุ์ของอิสราเอลเชื้อสายของดานในท่ามกลางพวกเขา.....คนเหล่านี้รวมทั้งพงศ์พันธุ์ของเรคาบคาดว่าในเร็ววันนี้พระเมสสิยาห์จะเสด็จมาในเมฆบนท้องฟ้า Ibid. หน้า 389 {GC 361.4}GCth17 313.4

    มีมิชชันนารีอีกท่านหนึ่งพบความเชื่อลักษณะคล้ายคลึงกันนี้ในคนชาวทาตารี นักบวชชาวทาตาถามมิชชันนารีว่า พระคริสต์จะเสด็จมาครั้งที่สองเมื่อไร เมื่อมิชชันนารีตอบว่าไม่เคยรู้เรื่องเช่นนี้มาก่อน นักบวชก็แปลกใจอย่างยิ่งที่คนหนึ่งซึ่งทำตัวเป็นครูสอนพระคัมภีร์ไม่มีความรู้ในเรื่องนี้ และเขาบอกกล่าวถึงความเชื่อของเขาเองที่วางอยู่บนพื้นฐานของคำพยากรณ์ว่าพระคริสต์จะเสด็จมาในราวปี ค.ศ. 1844 {GC 362.1}GCth17 314.1

    นับตั้งแต่เวลาก่อนโน้น คือตั้งแต่ปี ค.ศ. 1826 ข่าวเรื่องของการเสด็จกลับมาได้เริ่มมีการประกาศขึ้นในประเทศอังกฤษ ขบวนการเคลื่อนไหวไม่ได้ก่อตัวขึ้นอย่างเป็นปึกแผ่นเหมือนเช่นที่เกิดขึ้นในประเทศอเมริกา ไม่มีการสอนกันทั่วไปถึงเรื่องเวลาที่แน่นอนของการเสด็จมา แต่มีการประกาศไปอย่างกว้างขวางถึงความจริงอันยิ่งใหญ่ของการใกล้เสด็จมาของพระคริสต์ด้วยฤทธานุภาพและพระรัศมี และนี่ไม่ใช่เพียงท่ามกลางผู้ที่ไม่เห็นพ้องหรือผู้ที่ไม่ยอมปฏิบัติตามคำสอนของศาสนาเท่านั้น นักเขียนชาวอังกฤษคนหนึ่งชื่อ มอรั่น บร๊อค [Mourant Brock] กล่าวว่ามีผู้รับใช้ของคริสตจักรแห่งอังกฤษประมาณ 700 คนร่วมอยู่ในการประกาศ “ข่าวประเสริฐแห่งแผ่นดินสวรรค์” ข่าวสารที่ชี้ไปยังปี ค.ศ. 1844 ว่าเป็นเวลาที่องค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จมาก็ถูกประกาศไปยังบริเทนใหญ่ด้วย สื่อสิ่งพิมพ์เรื่องการเสด็จมาจากประเทศสหรัฐอเมริกานั้นถูกแจกจ่ายไปอย่างกว้างขวาง มีการพิมพ์หนังสือและนิตยสารใหม่ในประเทศอังกฤษ และในปี ค.ศ. 1842 โรเบิร์ท วินเตอร์ [Robert Winter] ชาวอังกฤษโดยกำเนิดรับความเชื่อเรื่องการเสด็จมาจากประเทศอเมริกา เขาเดินทางกลับไปยังประเทศบ้านเกิดเพื่อประกาศข่าวการเสด็จมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า คนมากมายเข้าร่วมกับเขาในงานนี้และข่าวสารเรื่องการพิพากษาก็ถูกประกาศไปยังที่ต่างๆ ของประเทศอังกฤษ {GC 362.2}GCth17 314.2

    ในทวีปอเมริกาใต้ ท่ามกลางความป่าเถื่อนและเล่ห์กลของพวกนักบวช ลาคูนซา [Lacunza] นักบวชเยสุอิตชาวสเปนองค์หนึ่งศึกษาค้นหาพระคัมภีร์และรับความจริงเรื่องการเสด็จกลับมาอย่างรวดเร็วของพระคริสต์ เขาถูกรบเร้าให้ประกาศคำเตือน แต่ถึงกระนั้นเขาก็ปรารถนาที่จะหนีให้พ้นจากการควบคุมของอำนาจโรม เขาตีพิมพ์แนวคิดของเขาโดยใช้นามแฝง “รับบี เบน เอสรา” [Rabbi Ben-Ezra] เพื่อแทนตัวเขาเองว่าเป็นชาวยิวที่กลับใจ ลาคูนซามีชีวิตอยู่ในศตวรรษที่สิบแปด แต่ในราวปี ค.ศ. 1825 หนังสือของเขาซึ่งพบหนทางไปอยู่ที่ประเทศอังกฤษได้ถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษ สื่อสิ่งพิมพ์ทำให้คนในประเทศอังกฤษที่ตื่นตัวสนใจเรื่องของการเสด็จมาครั้งที่สองของพระคริสต์อยู่แล้ว เพิ่มความใส่ใจมากยิ่งขึ้น {GC 363.1}GCth17 315.1

    ในศตวรรษที่สิบแปดที่ประเทศเยอรมนี หลักคำสอนเรื่องนี้ได้ถูกสอนโดยเบ็งเกล [Bengel] ซึ่งเป็นผู้รับใช้คนหนึ่งในคริสตจักรลูเธอร์เรนและเป็นนักการศึกษาพระคัมภีร์และนักวิจารณ์เรืองนาม หลังจากเบ็งเกลจบการศึกษาแล้ว เขา “อุทิศตัวเองให้กับการศึกษาศาสนศาสตร์ สมองของเขาสนใจและเคร่งครัดในเรื่องนี้อยู่แล้วตั้งแต่การศึกษาและการอบรมในช่วงเยาว์วัย ทำให้เขามีความโน้มเอียงเข้าหาทางศาสนศาสตร์ เช่นเดียวกับเยาวชนทั้งหลายที่มีอุปนิสัยชอบคิด ทั้งก่อนหน้านี้และตั้งแต่นั้นมาเขาต้องดิ้นรนต่อสู้กับความสงสัยและความยุ่งยากในธรรมชาติของศาสนา และด้วยความรู้สึกนึกคิดอย่างมากเขาพูดถึงเรื่องนี้ว่าเป็นเพราะ ‘ลูกศรมากมายที่ปักลงหัวใจอันน่าสงสารของเขาและทำให้ชีวิตในวัยหนุ่มของเขานั้นแทบจะทนไม่ได้’” เมื่อเขามาเป็นสมาชิกของสภาแห่งเมืองเวอร์เทมเบิร์ก เขาต่อสู้เพื่อเสรีภาพทางศาสนา เขาเป็นผู้ที่คงรักษาไว้ซึ่งสิทธิและโอกาสของคริสตจักร เขาเป็นผู้ที่สนับสนุนอย่างมีเหตุมีผลต่อเสรีภาพสำหรับคนทั้งหลายที่คิดว่าตัวเองถูกผูกมัดบนพื้นฐานของมโนธรรมให้ถอนตัวออกจากการเข้าร่วมกับคริสตจักร Encyclopaedia Britannica, 9th ed., art. “Bengel” ที่จังหวัดบ้านเกิดของเขายังคงสัมผัสถึงผลดีของนโยบายนี้ {GC 363.2}GCth17 315.2

    ในขณะที่เบ็งเกลเตรียมคำเทศนาจากพระธรรมวิวรณ์บทที่ 21 เพื่อใช้ในวันอาทิตย์ของเรื่องการเสด็จกลับมา ความกระจ่างเรื่องการเสด็จมาครั้งที่สองของพระคริสต์ได้สว่างเจิดจ้าลงมายังความคิดของเขา คำพยากรณ์ของพระธรรมวิวรณ์เปิดออกสู่ความเข้าใจของเขาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เขารู้สึกเต็มตื้นถึงความสำคัญอันยิ่งใหญ่และรัศมีอย่างล้นเหลือของภาพที่ผู้เผยพระวจนะเสนอ จนเขาต้องหยุดคิดใคร่ครวญถึงเรื่องนี้ไปชั่วขณะหนึ่ง บนธรรมาสน์เรื่องนี้กลับมาหาเขาอย่างชัดแจ้งและมีพลังอีกครั้งหนึ่ง ตั้งแต่นั้นมาเขาอุทิศตัวเองให้กับการศึกษาเรื่องคำพยากรณ์โดยเฉพาะคำพยากรณ์ในพระธรรมวิวรณ์ และในเวลาอันรวดเร็วเขาก็มาถึงความเชื่อว่าทั้งหมดนี้ชี้บอกว่าการเสด็จมาของพระคริสต์ใกล้เข้ามาแล้ว วันที่เขากำหนดไว้ว่าพระคริสต์จะเสด็จมาครั้งที่สองนั้นใกล้เคียงกับวันที่มิลเลอร์กำหนดในเวลาต่อมา ผิดกันเพียงไม่กี่ปี {GC 363.3}GCth17 315.3

    ผลงานเขียนของเบ็งเกลแพร่ไปทั่วอาณาจักรของชาวคริสต์ แนวคิดของเขาในเรื่องคำพยากรณ์เป็นที่ยอมรับกันทั่วไปในรัฐเวอร์เทมเบิร์กของเขาเองและรับกันบ้างในส่วนอื่นของประเทศเยอรมนี ขบวนการเคลื่อนไหวนี้ดำเนินต่อไปหลังจากที่เขาเสียชีวิต และข่าวพระคริสต์เสด็จมานั้นมีให้ฟังในประเทศเยอรมนีในช่วงเวลาเดียวกันกับดินแดนอื่นที่เรื่องนี้กำลังดึงดูดความสนใจอยู่ ในช่วงต้น มีผู้เชื่อบางคนเดินทางไปยังประเทศรัสเซียและจัดตั้งเป็นกลุ่มเล็กๆ ที่นั่น และความเชื่อเรื่องการใกล้เสด็จมาในเร็ววันของพระคริสต์ยังคงเป็นที่ยึดถือโดยคริสตจักรเยอรมนีทั้งหลายในประเทศนั้น {GC 364.1}GCth17 316.1

    ความกระจ่างส่องสว่างที่ประเทศฝรั่งเศสและประเทศสวิสเซอร์แลนด์ด้วยเช่นกัน ที่กรุงเจนิวาซึ่งเป็นเมืองที่ฟาเรลและคาลวินประกาศความจริงของเรื่องการปฏิรูปนั้น โกสเซ็น [Gaussen] เทศนาข่าวสารของการเสด็จมาครั้งที่สอง ในขณะที่โกสเซ็นยังเป็นนักเรียนอยู่นั้น เขาเผชิญกับลัทธิของการถือเหตุผลในศาสนา ซึ่งเป็นที่แพร่หลายมากทั่วทั้งทวีปยุโรปในปลายศตวรรษที่สิบแปดและช่วงเริ่มต้นของศตวรรษที่สิบเก้า และเมื่อเขาเข้าร่วมการรับใช้นั้นเขาไม่เพียงขาดความรู้เรื่องความเชื่อที่ถูกต้องเท่านั้น แต่ยังมีความโน้มเอียงที่จะเข้าหาความสงสัย เขาสนใจศึกษาคำพยากรณ์ตั้งแต่ยังเยาว์วัย หลังจากที่เขาอ่านหนังสือประวัติศาสตร์สมัยโบราณของโรลลิน [Rollin] แล้ว เขาเริ่มสนใจพระธรรมดาเนียลบทที่ 2 และเขารู้สึกจับใจที่ได้พบว่า ตามที่เห็นในบันทึกของประวัติศาสตร์นั้น เหตุการณ์ต่างๆ สำเร็จตรงตามคำพยากรณ์อย่างน่าประหลาดใจ นี่คือคำพยานที่แสดงให้เห็นว่าพระคัมภีร์ได้รับการดลใจ ซึ่งเป็นเหมือนสมอให้เขาในท่ามกลางภัยอันตรายของชีวิตในช่วงปลาย เขาไม่อาจพักลงอย่างพึงพอใจกับคำสอนของพวกลัทธิถือเหตุผลได้อีกต่อไป และในเวลาต่อมาเมื่อเขาศึกษาพระคัมภีร์และค้นหาแสงสว่างที่ชัดเจนยิ่งขึ้นนั้น เขาก็พบความเชื่อที่ถูกต้อง {GC 364.2}GCth17 316.2

    ขณะที่เขาดำเนินการค้นหาคำพยากรณ์ต่อไปนั้น เขาได้มาถึงความเชื่อว่าการเสด็จมาขององค์พระผู้เป็นเจ้านั้นมาใกล้แล้ว เขาประทับใจกับความเคร่งขรึมและความสำคัญของความจริงอันยิ่งใหญ่นี้ จึงตั้งใจที่จะเสนอให้กับประชาชน แต่ความเชื่อที่แพร่หลายว่าคำพยากรณ์ของดาเนียลเป็นเรื่องที่ลึกลับและไม่สามารถเข้าใจได้นั้นเป็นอุปสรรคร้ายแรงในการทำงานของเขา ในที่สุดเขาตัดสินใจเหมือนเช่นที่ฟาเรลทำมาแล้วในการประกาศข่าวประเสริฐที่กรุงเจนิวา—เขาเริ่มทำงานกับเด็กโดยหวังที่จะกระตุ้นพ่อแม่ให้สนใจ {GC 364.3}GCth17 316.3

    เขาพูดในเวลาต่อมาถึงเป้าหมายของการกระทำนี้ว่า “ข้าพเจ้าตั้งใจที่จะให้คนทั้งหลายเข้าใจเรื่องนี้ ไม่ใช่เนื่องจากความสำคัญอันน้อยนิดแต่กลับกัน เพราะเป็นเรื่องที่มีคุณค่า และข้าพเจ้าตั้งใจที่จะเสนอเรื่องนี้ด้วยวิธีที่คุ้นเคยและนั่นคือพูดกับเด็กๆ ข้าพเจ้าต้องการที่จะให้คนได้ยินและกลัวว่าคนจะไม่ฟังข้าพเจ้า หากไปพูดกับผู้ใหญ่” “ข้าพเจ้าจึงตัดสินใจที่จะไปหาผู้เยาว์ ข้าพเจ้ารวบรวมเด็กๆ มา หากมีคนมากันมากก็แสดงว่าพวกเขาฟังกัน ยินดี สนใจและแสดงว่าพวกเขาเข้าใจและอธิบายเรื่องเหล่านี้ได้ ข้าพเจ้ามั่นใจว่าในไม่ช้าจะได้คนกลุ่มที่สองและต่อมาผู้ใหญ่จะรู้สึกว่าคุ้มค่าที่จะนั่งลงและศึกษา เมื่อทำสิ่งนี้แล้ว เราก็ชนะในเรื่องนี้” L. Gaussen, Daniel the Prophet เล่มที่ 2 คำนำ {GC 365.1}GCth17 317.1

    ความพยายามของเขาประสบกับความสำเร็จ ในขณะที่เขาพูดกับเด็กๆ นั้นผู้ใหญ่ก็เข้ามาฟังด้วย คนที่ตั้งใจฟังพากันมานั่งเต็มระเบียงโบสถ์ของเขา ในท่ามกลางคนเหล่านี้มีทั้งคนที่มีตำแหน่งสูงและมีการศึกษาและมีคนแปลกหน้าและคนต่างชาติที่มาท่องเที่ยวกรุงเจนิวา และด้วยการทำเช่นนี้ ข่าวสารจึงแพร่ออกไปยังที่อื่นๆ {GC 365.2}GCth17 317.2

    ความสำเร็จนี้ทำให้โกสเซ็นมีกำลังใจ เขาจัดพิมพ์บทเรียนของเขาออกมาด้วยความหวังที่จะส่งเสริมให้มีการศึกษาหนังสือคำพยากรณ์ในคริสตจักรต่างๆ ที่มีหมู่คนพูดภาษาฝรั่งเศส โกสเซ็นกล่าวว่า “หนังสือชี้แนะที่พิมพ์ให้แก่เด็กนั้นก็เพื่อบอกกับผู้ใหญ่ผู้ที่บ่อยครั้งละเลยหนังสือเหล่านี้ด้วยการอ้างอย่างผิดๆ ว่ามันคลุมเครือ ‘จะไปว่าหนังสือเหล่านี้คลุมเครือได้อย่างไรในเมื่อเด็กๆ ของคุณยังเข้าใจได้’” เขากล่าวต่อไปว่า “ข้าพเจ้ามีความปรารถนาอันยิ่งใหญ่หากทำได้ คือจะสอนความรู้เรื่องคำพยากรณ์ให้เป็นที่นิยมของคนทั้งโบสถ์” “แน่นอนทีเดียวไม่มีการศึกษาใดที่ข้าพเจ้าเห็นว่าจะให้คำตอบสำหรับความต้องการของยุคได้ดีกว่านี้” “โดยเรื่องนี้จะเตรียมเราให้พร้อมสำหรับความทุกข์ลำบากที่ใกล้เข้ามาแล้ว และให้เราเฝ้ระวังาและรอคอยพระเยซูคริสต์” {GC 365.3}GCth17 317.3

    ถึงแม้โกสเซ็นจะเป็นนักเทศน์ภาษาฝรั่งเศสที่โด่งดังและเป็นที่รักยิ่งคนหนึ่งก็ตาม ต่อมาไม่นานเขาถูกสั่งให้พักงาน ความผิดหลักของเขาคือเขาใช้พระคัมภีร์สอนเยาวชนแทนที่จะใช้วิธีการสอนแบบถามตอบของคริสตจักร ซึ่งเป็นคู่มือที่ไม่มีพิษภัยและมีเหตุมีผล และซึ่งแทบจะขาดความเชื่ออันทำให้เกิดประโยชน์ ต่อมาเขามาเป็นครูในโรงเรียนศาสนศาสตร์ ในวันอาทิตย์เขาทำงานของเขาต่อในหน้าที่ครูสอนพระคัมภีร์แบบถามตอบให้แก่เด็กๆ และสอนพวกเขาเรื่องพระคัมภีร์ ผลงานของเขาเรื่องคำพยากรณ์นั้นปลุกความสนใจมากมาย จากตำแหน่งของศาสตราจารย์ผ่านทางงานพิมพ์และอาชีพชื่นชอบของเขาในการเป็นครูสอนเด็ก เขาใช้สิ่งนี้ส่งอิทธิพลอันกว้างไกลต่อไปอีกหลายปีและเป็นเครื่องมือในการเรียกความสนใจของคนมากมายให้ศึกษาคำพยากรณ์ที่แสดงให้เห็นว่าการเสด็จมาขององค์พระผู้เป็นเจ้านั้นใกล้เข้ามาแล้ว {GC 366.1}GCth17 318.1

    ที่ประเทศสแกนดิเนเวียมีการประกาศข่าวสารเรื่องการเสด็จมาและได้จุดประกายความสนใจไว้อย่างกว้างขวาง คนมากมายถูกปลุกให้ตื่นขึ้นจากความมั่นคงอย่างประมาทเพื่อสารภาพและละทิ้งบาปของพวกเขาและแสวงหาการอภัยในพระนามของพระคริสต์ แต่คณะสงฆ์ของคริสตจักรของรัฐต่อต้านขบวนการเคลื่อนไหว และโดยทางอิทธิพลของพวกเขาทำให้บางคนที่เทศนาข่าวนี้ถูกจับไปอยู่ในเรือนจำ ในสถานที่หลายแห่งที่นักเทศน์เรื่องการใกล้เสด็จมาในเร็ววันขององค์พระผู้เป็นเจ้าถูกปราบให้เงียบไปนั้น พระเจ้าทรงพอพระทัยที่จะประทานข่าวสารด้วยวิธีอัศจรรย์ผ่านทางเด็กเล็กๆ เนื่องจากพวกเขามีอายุต่ำกว่าเกณฑ์ กฎหมายบ้านเมืองจึงควบคุมพวกเขาไม่ได้ และจึงปล่อยให้พวกเขาพูดโดยไม่ถูกคุกคาม {GC 366.2}GCth17 318.2

    ขบวนการเคลื่อนไหวส่วนใหญ่นี้เกิดขึ้นท่ามกลางคนในชนชั้นที่ระดับต่ำกว่า และประชาชนชุมนุมกันเพื่อฟังคำเตือนในบ้านต่ำต้อยของคนที่ใช้แรงงาน นักเทศน์รุ่นเด็กเองส่วนใหญ่แล้วก็เป็นคนยากจนของชนบท บางคนมีอายุไม่เกิน 6 หรือ 8 ปี และในขณะที่ชีวิตของพวกเขาประจักษ์เป็นพยานว่ารักพระผู้ช่วยให้รอดและกำลังพยายามดำเนินชีวิตที่จะเชื่อฟังข้อกำหนดของพระเจ้านั้น แต่โดยทั่วไปแล้วพวกเขาก็แสดงออกถึงปัญญาและความสามารถที่เห็นได้ในเด็กทั่วไปที่มีอายุเท่ากับพวกเขา อย่างไรก็ตามเมื่อพวกเขายืนขึ้นต่อหน้าประชาชนแล้ว มีหลักฐานพยานแสดงให้เห็นว่าพวกเขาทำไปด้วยอิทธิพลที่เกินของประทานในธรรมชาติในตัวเขา น้ำเสียงและกิริยาเปลี่ยนไป และด้วยพลังอันเคร่งขรึม พวกเขาให้คำเตือนเรื่องการพิพากษาโดยใช้คำต่างๆ ที่มาจากพระคัมภีร์ “จงเกรงกลัวพระเจ้า และถวายพระเกียรติแด่พระองค์ เพราะถึงเวลาที่พระองค์จะทรงพิพากษาแล้ว” พวกเขาตำหนิบาปของประชาชน ไม่เพียงตำหนิการผิดศีลธรรมและความชั่วแต่ปราบปรามความฝักใฝ่ในทางโลกและการละทิ้งความเชื่อและเตือนผู้ฟังให้เร่งรีบหนีออกไปจากพระพิโรธที่กำลังจะมา {GC 366.3}GCth17 318.3

    ประชาชนฟังด้วยอาการตัวสั่น พระวิญญาณของพระเจ้าที่ตำหนิบาปตรัสกับหัวใจของพวกเขา หลายคนถูกชักชวนให้ค้นหาพระคัมภีร์ด้วยความสนใจใหม่และเจาะลึกมากยิ่งขึ้น คนที่มีชีวิตไม่ประมาณตนและไร้ศีลธรรมได้ปฏิรูปตนเอง คนอื่นละทิ้งการกระทำที่ไม่ซื่อสัตย์ และผลการกระทำนั้นโดดเด่นมากจนแม้แต่ผู้รับใช้ของคริสตจักรของรัฐยังถูกบีบให้ยอมรับว่าพระหัตถ์ของพระเจ้าสถิตร่วมอยู่ในขบวนการเคลื่อนไหวนี้ {GC 367.1}GCth17 319.1

    พระเจ้าทรงมีพระประสงค์ที่จะให้ข่าวดีของการเสด็จมาของพระผู้ช่วยให้รอดประกาศในประเทศสแกนดิเนเวีย และเมื่อเสียงของผู้รับใช้ถูกปิด พระองค์จึงประทานพระวิญญาณลงบนเด็กเพื่อพระราชกิจจะสำเร็จ เมื่อพระเยซูเสด็จเข้าใกล้กรุงเยรูซาเล็ม ห้อมล้อมด้วยฝูงชนที่ชื่นชมมีสุข มาพร้อมด้วยเสียงร้องดังก้องแห่งชัยชนะและการโบกกิ่งใบตาล ประกาศเทิดทูนให้เป็นบุตรของดาวิดนั้น ฟาริสีทั้งหลายที่ริษยาได้ร้องเรียกให้พระองค์สั่งพวกเขาให้หยุด แต่พระเยซูตรัสตอบพวกเขาว่านี่เป็นการกระทำที่สำเร็จตามคำพยากรณ์และหากคนเหล่านี้จะปิดปากนิ่งเสีย ก้อนหินก็จะส่งเสียงร้อง ประชาชนที่ถูกคำขู่ของปุโรหิตและผู้ปกครองต่างยุติเสียงร้องแห่งความยินดีในขณะที่พวกเขาเดินเข้าไปยังประตูกรุงเยรูซาเล็ม แต่หลังจากนั้นไม่นานเด็กในลานวิหารได้ร้องเพลงโต้ตอบและโบกกิ่งใบตาล พวกเขาร้องว่า “โฮซันนาแก่บุตรของดาวิด” มัทธิว 21:8-16 พวกฟาริสีไม่พอใจอย่างเจ็บปวด ทูลพระองค์ว่า “ท่านไม่ได้ยินคำที่คนพวกนี้ร้องหรือ พระเยซูตรัสตอบว่า ได้ยินแล้ว พวกท่านยังไม่เคยอ่านหรือว่า พระองค์ทรงกระทำให้คำสรรเสริญออกมาจากปากเด็กและทารกที่ยังไม่หย่านม” เช่นเดียวกับที่พระเจ้าทรงกระทำการในเด็กทั้งหลายในสมัยที่พระคริสต์เสด็จมาครั้งที่หนึ่ง พระองค์ก็จะทรงกระทำการผ่านเด็กเหล่านั้นในการประกาศข่าวของการเสด็จมาครั้งที่สองด้วย พระคำของพระเจ้าจะต้องสำเร็จ นั่นคือการประกาศเรื่องการเสด็จมาของพระผู้ช่วยให้รอดจะต้องประกาศให้แก่ทุกคน ทุกภาษาและทุกประชาชาติ {GC 367.2}GCth17 319.2

    ข่าวนี้ได้ทรงโปรดประทานให้วิลเลียม มิลเลอร์และผู้ร่วมงานเพื่อเตือนคนในประเทศอเมริกา ประเทศนี้กลายเป็นศูนย์กลางของขบวนการเคลื่อนไหวยิ่งใหญ่ที่ประกาศเรื่องการเสด็จมา ข่าวของทูตสวรรค์องค์ที่หนึ่งสำเร็จตรงตามคำพยากรณ์ที่นี่ ผลงานเขียนของมิลเลอร์และเพื่อนนั้นแพร่ไปยังดินแดนที่ห่างไกล ไม่ว่าที่ใดในโลกที่มิชชันนารีไปถึง ข่าวชื่นชมยินดีเรื่องการเสด็จมาในเร็ววันของพระคริสต์ก็ถูกประกาศออกไปยังที่นั่น ข่าวประเสริฐนิรันดร์แผ่ออกไปกว้างและไกล “จงเกรงกลัวพระเจ้า และถวายพระเกียรติแด่พระองค์ เพราะถึงเวลาที่พระองค์จะทรงพิพากษาแล้ว” {GC 368.1}GCth17 319.3

    ดูประหนึ่งว่าคำพยานของคำพยากรณ์ที่ชี้ไปยังการเสด็จมาของพระคริสต์ในช่วงฤดูใบไม้ผลิของปี ค.ศ. 1844 มีผลอย่างแรงต่อความคิดของประชาชน ในขณะที่ข่าวนี้ประกาศไปยังรัฐต่างๆ นั้น ทุกแห่งมีการตื่นตัวด้วยความสนใจ คนมากมายเชื่อมั่นว่าเหตุผลต่างๆ ที่มาจากคำพยากรณ์นั้นถูกต้อง พวกเขาสละข้อคิดเห็นอันยโสของตนไปและรับความจริงด้วยความชื่นชมยินดี ผู้รับใช้บางคนวางแนวคิดและความรู้สึกแบ่งแยกออกไป ทิ้งเงินเดือนและคริสตจักรไปและเข้าร่วมการประกาศเรื่องการเสด็จมาของพระเยซู อย่างไรก็ตามเมื่อเปรียบเทียบแล้วมีผู้รับใช้ค่อนข้างน้อยที่ยอมรับข่าวสารเรื่องนี้ ดังนั้นจึงทรงโปรดมอบหมายเรื่องนี้ส่วนใหญ่ให้แก่อาสาประกาศที่ถ่อมใจ ชาวนาละทิ้งทุ่งนาไป นายช่างกลทิ้งเครื่องมือไป พ่อค้าทิ้งสิ้นค้าไป ผู้ที่มีวิชาชีพทิ้งตำแหน่งของเขาไป แต่ถึงกระนั้นจำนวนคนที่ทำงานก็ยังน้อยอยู่เมื่อเปรียบเทียบกับงานที่จะต้องทำให้เสร็จ สภาพของคริสตจักรที่ปราศจากคุณงามความดีและโลกที่ตกอยู่ในความชั่ว นำความหนักใจมาให้กับผู้เฝ้ายามที่ซื่อสัตย์และพวกเขายอมอดทนด้วยความเต็มใจอยู่กับการตรากตรำ ความอดอยากและความทุกข์ทรมานเพื่อจะตามคนทั้งหลายให้กลับใจเข้ามาสู่ความรอด ถึงแม้พวกเขาจะถูกซาตานต่อต้าน พันธกิจของพวกเขาก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคงและคนนับพันยอมรับความจริงเรื่องการเสด็จมา {GC 368.2}GCth17 319.4

    ในทุกที่จะได้ยินเสียงคำพยานที่ให้ตรวจสอบหัวใจร้องเตือนคนบาปทั้งชาวโลกและสมาชิกคริสตจักรให้หนีไปจากพระพิโรธที่จะมาถึง ดั่งยอห์นผู้ให้บัพติศมาผู้บอกข่าวล่วงหน้าของพระคริสต์ นักเทศน์ทั้งหลายวางขวานตรงรากของต้นไม้และร้องเรียกทุกคนให้เกิดผลที่สมกับการกลับใจ การเชิญชวนที่เร้าใจของพวกเขานั้นตรงกันข้ามกับคำมั่นใจในสันติสุขและความปลอดภัยที่ดังก้องมาจากธรรมาสน์ที่นิยมกันทั่วไปและเมื่อใดที่มีการประกาศข่าวนี้ ประชาชนก็ได้รับการเร้าใจ คำพยานเรียบง่ายและตรงไปตรงมาของพระคัมภีร์ที่เข้าถึงหัวใจด้วยอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์นำความสำนึกผิดลงมายังพวกเขาที่น้อยคนจะปฏิเสธได้อย่างเต็มที่ ศาสตราจารย์ทางศาสนาหลายคนถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาจากความปลอดภัยอันจอมปลอมของพวกเขา พวกเขามองเห็นการถดถอยไปจากความจริงของพวกเขา ความฝักใฝ่ในโลกและความไม่เชื่อของพวกเขา ความหยิ่งยโสและความเห็นแก่ตัวของพวกเขา คนมากมายแสวงหาพระเจ้าด้วยการกลับใจและการถ่อมตน ความรักที่พวกเขายึดติดกับสิ่งของในโลกนั้นบัดนี้พวกเขานำไปยึดไว้กับสวรรค์ พระวิญญาณของพระเจ้าทรงสถิตอยู่กับพวกเขา และด้วยหัวใจที่อ่อนลงและมอบถวาย พวกเขาเข้าร่วมกับเสียงร้องที่ว่า “จงเกรงกลัวพระเจ้า และถวายพระเกียรติแด่พระองค์ เพราะถึงเวลาที่พระองค์จะทรงพิพากษาแล้ว” {GC 369.1}GCth17 320.1

    คนบาปร่ำไห้ถามว่า “ข้าพเจ้าจะต้องกระทำประการใดที่จะได้รับความรอด” ชีวิตของผู้ที่มีบาดแผลของความไม่ซื่อสัตย์ พร้อมที่จะชดใช้ ทุกคนที่พบสันติสุขในพระคริสต์ปรารถนาที่จะเห็นผู้อื่นแบ่งปันพระพร หัวใจของพ่อแม่หันไปหาลูก และหัวใจของลูกหันไปหาพ่อแม่ สิ่งกีดขวางของความหยิ่งยโสและการสงวนตัวนั้นถูกกวาดทิ้งไป พวกเขาสารภาพจากใจจริง สมาชิกในครอบครัวทำงานเพื่อความรอดของผู้ที่ใกล้ตัวและใกล้ชิดสนิทที่สุด บ่อยครั้งจะได้ยินเสียงของการทูลขอเพื่อผู้อื่นด้วยความจริงใจ ในทุกแห่งหน จะมีจิตวิญญาณที่ร้องเรียกพระเจ้าด้วยความทุกข์ระทมใจ หลายคนปล้ำสู้ตลอดคืนด้วยการอธิษฐานเพื่อรับความมั่นใจว่าบาปของเขาได้รับอภัยแล้วหรือเพื่อให้ญาติและเพื่อนบ้านกลับใจ {GC 369.2}GCth17 320.2

    คนทุกชนชั้นแห่กันเข้าร่วมการประชุมของผู้รอคอยการเสด็จมาของพระคริสต์ คนร่ำรวยและคนยากจน คนชนชั้นระดับสูงและชนชั้นระดับต่ำ พวกเขามาจากทุกอาชีพ มีใจจดจ่อที่จะฟังด้วยตนเองเรื่องการเสด็จมาครั้งที่สองของพระคริสต์ พระเจ้าทรงขวางห้ามวิญญาณของการต่อต้านในขณะที่ผู้รับใช้อธิบายเหตุผลของความเชื่อ ในบางครั้งเครื่องมือนั้นอ่อนกำลังแต่พระวิญญาณของพระเจ้าทรงเสริมอำนาจให้กับความจริง พวกเขาสัมผัสกับทูตสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ร่วมด้วยในที่ประชุมและทุกวันมีคนมากมายเข้าร่วมกับผู้เชื่อ ในขณะที่กล่าวย้ำถึงหลักฐานการใกล้เสด็จมาในเร็ววันของพระคริสต์ ฝูงชนมหึมาฟังคำอันเคร่งขรึมอย่างแน่นิ่งแทบไม่หายใจ ดูประหนึ่งว่าสวรรค์และโลกเข้าประชิดกัน คนแก่ ผู้เยาว์และคนวัยกลางคนสัมผัสกับอำนาจของพระเจ้า เหล่าคนทั้งหลายกลับบ้านด้วยเพลงสรรเสริญที่ติดริมฝีปากและเสียงชื่นชมยินดีดังกังวานในอากาศที่สงบของยามค่ำคืน ไม่มีผู้ใดเลยที่เข้าร่วมประชุมเหล่านั้นจะลืมภาพทั้งหมดที่น่าสนใจอย่างยิ่งยวด {GC 369.3}GCth17 320.3

    การประกาศเรื่องเวลาที่แน่นอนของการเสด็จมาของพระคริสต์นั้นทำให้เกิดการต่อต้านอันยิ่งใหญ่จากคนมากมายในทุกชนชั้น ตั้งแต่ผู้รับใช้บนธรรมาสน์ลงไปจนถึงคนบาปที่ไม่อยู่ในกรอบระเบียบที่กล้าท้าทายสวรรค์ คำพยาการณ์นั้นเกิดขึ้นจริง “ในวาระสุดท้ายพวกที่ชอบเยาะเย้ยจะมาเยาะเย้ย และทำตามตัณหาของตนเอง และจะถามว่า ‘พระสัญญาว่าพระองค์จะเสด็จมานั้นอยู่ที่ไหน เพราะว่าตั้งแต่บรรพบุรุษล่วงหลับไปแล้ว ทุกสิ่งก็เป็นอยู่เหมือนเดิมตั้งแต่ทรงสร้างโลก’” 2 เปโตร 3:3, 4 คนมากมายที่อ้างว่าตนรักพระผู้ช่วยให้รอดนั้นประกาศว่าพวกเขาไม่ได้ต่อต้านคำสอนเรื่องการเสด็จมาครั้งที่สอง พวกเขาเพียงแต่คัดค้านการกำหนดเวลาที่แน่นอน แต่พระเนตรของพระเจ้าที่เห็นไปอย่างทั่วถึงนั้นทรงอ่านหัวใจของพวกเขา พวกเขาไม่ประสงค์ที่จะฟังเรื่องการเสด็จมาของพระคริสต์เพื่อพิพากษาโลกในความชอบธรรม พวกเขาเป็นคนรับใช้ที่ไม่ซื่อสัตย์มาตลอด การกระทำของพวกเขาไม่อาจที่จะทนได้กับการตรวจสอบของพระเจ้าผู้ทรงตรวจพินิจหัวใจ และเขาเหล่านั้นกลัวที่จะเข้าเฝ้าพระเจ้า เหมือนเช่นชาวยิวในสมัยพระเยซูเสด็จมาครั้งที่หนึ่งที่ไม่พร้อมจะต้อนรับพระองค์ พวกเขาไม่เพียงปฏิเสธเท่านั้นแต่ยังเยาะเย้ยผู้ที่เฝ้าคอยองค์พระผู้เป็นเจ้าอีกด้วย ซาตานและทูตของมันยินดีปรีดาและโยนคำตำหนิใส่พระพักตร์ของพระคริสต์รวมถึงทูตสวรรค์ผู้บริสุทธิ์ว่า คนที่อ้างตนว่าเป็นคนของพระเจ้านั้นมีความรักเพียงน้อยนิดให้กับพระองค์จนไม่ปรารถนาที่จะให้พระองค์เสด็จมาปรากฏ {GC 370.1} GCth17 321.1

    พวกเขาโต้ว่า “แต่ไม่มีใครรู้เรื่องวันหรือเวลา” นี่เป็นข้อพระคัมภีร์ที่ผู้ปฏิเสธความเชื่อเรื่องการเสด็จมานำมาใช้บ่อยที่สุด พระคัมภีร์กล่าวว่า “ไม่มีใครรู้เรื่องวันหรือเวลา แม้แต่บรรดาทูตสวรรค์แห่งฟ้าสวรรค์หรือพระบุตร มีแต่พระบิดาองค์เดียว” มัทธิว 24:36 ผู้ที่รอคอยการเสด็จมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าอธิบายข้อพระคัมภีร์นี้ได้อย่างชัดเจนและสอดคล้องกัน แต่จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าผู้ต่อต้านนำพระคัมภีร์ข้อนี้ไปใช้ในทางที่ผิด พระเยซูคริสต์ตรัสข้อความเหล่านี้ในการสนทนาครั้งสำคัญกับสาวกทั้งหลายบนภูเขามะกอกเทศภายหลังจากที่เสด็จออกจากวิหารเป็นครั้งสุดท้าย สาวกทูลถามว่า “อะไรเป็นหมายสำคัญว่าพระองค์จะเสด็จมาและยุคเก่าจะสิ้นสุดลง” พระเยซูประทานหมายสำคัญให้พวกเขาและตรัสว่า “เมื่อท่านทั้งหลายเห็นสิ่งทั้งหมดนี้แล้วก็ให้รู้ว่าพระองค์เสด็จมาใกล้จะถึงประตูแล้ว” มัทธิว 24:3, 33 จะต้องไม่ใช้พระดำรัสข้อหนึ่งของพระผู้ช่วยให้รอดไปทำลายพระดำรัสอื่น ถึงแม้ไม่มีผู้ใดรู้วันหรือชั่วโมงของการเสด็จมาของพระองค์ก็ตามที แต่เราได้รับการชี้แนะและจำเป็นต้องรู้ว่าเวลานั้นใกล้จะถึงแล้ว นอกจากนี้เรายังได้รับการชี้แนะว่าการละเลยคำเตือนของพระองค์และปฏิเสธหรือเพิกเฉยที่จะรับรู้ว่าการเสด็จมานั้นใกล้จะถึงเวลาแล้วจะมีภัยถึงตายต่อตัวเราเหมือนกับที่เกิดกับคนในสมัยของโนอาห์ ที่ไม่รู้ว่าเมื่อใดน้ำท่วมจะมาถึง และอุปมาในบทเดียวกันได้เปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างทาสที่สัตย์ซื่อและไม่สัตย์ซื่อและได้กำหนดวาระสุดท้ายให้แก่ผู้ที่คิดในใจว่า “นายของข้ามาช้า” เรื่องนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าพระคริสต์จะทรงปฏิบัติและประทานบำเหน็จให้แก่คนเหล่านั้นที่พระองค์ทรงพบว่าเฝ้าคอยและสอนเรื่องการเสด็จมาและแก่คนเหล่านั้นที่ปฏิเสธเรื่องนี้ พระองค์ตรัสว่า “เพราะฉะนั้น พวกท่านจงเฝ้าระวังอยู่.....เมื่อนายมาพบเขาทำอย่างนั้น บ่าวคนนั้นก็เป็นสุข” มัทธิว 24:42, 46 “ถ้าเจ้าไม่ตื่นขึ้น เราจะมาเหมือนอย่างขโมยและเจ้าจะไม่รู้ว่าเราจะมาหาเจ้าชั่วโมงไหน” วิวรณ์ 3:3 {GC 370.2}GCth17 321.2

    เปาโลกล่าวถึงคนกลุ่มหนึ่งที่ไม่รู้ตัวว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จมา “วันขององค์พระผู้เป็นเจ้าจะมาอย่างขโมยที่มาในเวลากลางคืน เมื่อเขาพูดกันว่า ‘สงบสุขและปลอดภัยแล้ว’ เมื่อนั้นแหละความพินาศก็จะมาถึงทันที.....พวกเขาจะหนีก็ไม่พ้น” เขายังกล่าวถึงผู้ที่ใส่ใจฟังคำเตือนของพระผู้ช่วยให้รอดว่า “พี่น้องทั้งหลาย ท่านไม่อยู่ในความมืดแล้ว วันนั้นไม่น่าจะมาถึงท่านอย่างขโมยมา ท่านทุกคนเป็นลูกของความสว่างและเป็นลูกของเวลากลางวัน เราไม่ได้เป็นของกลางคืนหรือของความมืด” 1 เธสะโลนิกา 5:2-5 {GC 371.1}GCth17 321.3

    ด้วยประการฉะนี้ จึงแสดงให้เห็นว่าพระคัมภีร์ไม่มีหลักฐานใดที่จะปล่อยให้มนุษย์ยังคงจมอยู่กับความไม่รู้ในเรื่องว่าใกล้เวลาที่พระคริสต์จะเสด็จมาแล้ว แต่สำหรับผู้ที่ปรารถนาเพียงแต่หาข้อแก้ตัวที่จะปฏิเสธความจริงจะปิดหูตัวเองให้กับคำอธิบายนี้ และคนเย้ยหยันที่โอ้อวดและแม้คนที่อ้างตัวเป็นผู้รับใช้ของพระคริสต์ยังดำเนินส่งเสียงกึกก้องไปว่า “วันนั้น โมงนั้น ไม่มีใครรู้” ในขณะที่ประชาชนลุกตื่นขึ้นมาและเริ่มที่จะถามหาทางแห่งความรอด ครูสอนศาสนากลับก้าวเท้าเข้ามาขวางระหว่างพวกเขากับความจริง คอยหาวิธีที่จะทำให้ความกลัวของพวกเขาสงบด้วยการแปลความหมายพระคำของพระเจ้าอย่างหลอกลวง ผู้เฝ้ายามที่ไม่ซื่อสัตย์เข้าร่วมอยู่ในงานของผู้หลอกลวงผู้ยิ่งใหญ่ ร้องว่า สันติสุข สันติสุข ในเมื่อพระเจ้าไม่ได้ตรัสถึงเรื่องสันติสุขเลย คนมากมายจะเป็นเช่นเดียวกับฟาริสีในสมัยของพระคริสต์ คือตนเองปฏิเสธที่จะเข้าไปในแผ่นดินสวรรค์และยังขัดขวางผู้อื่นที่กำลังจะเดินเข้าไปอีกด้วย มือของพวกเขาจะต้องรับผิดชอบกับโลหิตของจิตวิญญาณเหล่านี้ {GC 372.1}GCth17 322.1

    โดยทั่วไปแล้ว คนที่ถ่อมตนและอุทิศตนมากที่สุดในคริสตจักรเป็นคนกลุ่มแรกที่จะรับข่าวสารนี้ ผู้ที่ศึกษาพระคัมภีร์ด้วยตัวเองจะมองไม่เห็นสิ่งใดนอกจากลักษณะที่ไม่วางอยู่บนพระคัมภีร์ของแนวคิดเรื่องคำพยากรณ์ที่ยอมรับกันทั่วไป และประชาชนในที่ใดก็ตามที่ไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของพวกนักบวช ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ที่ใดก็ตามที่มีการค้นคว้าศึกษาพระคำของพระเจ้าด้วยตนเองแล้วจะต้องเปรียบเทียบหลักคำสอนเรื่องการเสด็จกลับมากับพระคัมภีร์เพื่อยืนยันได้ว่ามีแหล่งกำเนิดมาจากพระเจ้า {GC 372.2}GCth17 322.2

    คนมากมายถูกพี่น้องไม่เชื่อกดขี่ข่มเหง มีบางคนยอมที่จะปิดปากเงียบในเรื่องความหวังใจของพวกเขาเองเพื่อรักษาตำแหน่งในคริสตจักร แต่มีอีกหลายคนรู้สึกว่าความจงรักภักดีต่อพระเจ้าห้ามการกระทำเช่นนั้นในการปกปิดความจริงที่ทรงโปรดมอบให้อยู่ภายใต้การดูแลของพวกเขา มีคนจำนวนไม่น้อยถูกตัดออกไปจากการร่วมสามัคคีธรรมกันในคริสตจักร โดยไม่มีสาเหตุอื่นใดนอกจากการแสดงออกถึงความเชื่อในเรื่องของการเสด็จมาของพระคริสต์ คำกล่าวต่อไปนี้ของผู้เผยพระวจนะมีค่าอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ต้องทนแบกรับการทดลองความเชื่อของพวกเขา “พี่น้องของพวกเจ้าที่เกลียดชังเจ้าและเหวี่ยงเจ้าออกไปเพราะเหตุนามของเราได้พูดว่า ‘ขอพระยาห์เวห์ทรงได้รับเกียรติเพื่อเราจะได้เห็นความชื่นบานของพวกเจ้า’ แต่เขาเหล่านั้นแหละจะได้รับความอับอาย” อิสยาห์ 66:5 {GC 372.3}GCth17 322.3

    ทูตสวรรค์ของพระเจ้ากำลังเฝ้ามองดูด้วยความสนใจอย่างสุดซึ้งถึงผลลัพธ์ที่ได้จากคำเตือน โดยรวมแล้วเมื่อคริสตจักรปฏิเสธข่าวสาร ทูตสวรรค์ก้าวจากไปด้วยความเศร้า แต่มีคนอีกมากมายที่ยังไม่ได้ผ่านการทดสอบในเรื่องความจริงของการเสด็จมา คนมากมายถูกสามี ภรรยา พ่อแม่และลูกนำไปในทางผิดและทำให้เชื่อว่าการฟังแม้เพียงคำสอนนั้นก็บาปแล้ว ทูตสวรรค์ได้รับบัญชาให้มาคอยเฝ้ารักษาจิตวิญญาณเหล่านี้ด้วยความซื่อสัตย์ เพราะยังมีอีกแสงหนึ่งที่จะส่องลงมาจากบัลลังก์ของพระเจ้ามายังพวกเขา {GC 372.4}GCth17 322.4

    ด้วยความปรารถนาที่ไม่อาจพูดออกมาทางวาจาได้นั้น ผู้ที่ได้รับข่าวนั้นเฝ้าคอยการเสด็จมาของพระผู้ช่วยให้รอด เวลาที่พวกเขาคิดว่าจะพบพระองค์นั้นใกล้เข้ามาแล้ว พวกเขาก้าวเข้ามายังเวลานี้ด้วยความเคร่งขรึมอย่างสงบ พวกเขาสงบนิ่งอยู่ในการสื่อสัมพันธ์อย่างคหวานชื่นกับพระเจ้าและในความแน่วแน่แห่งสันติสุขที่จะเป็นของเขาทั้งหลายในเวลาสดใสที่จะตามต่อจากนี้มา ไม่มีผู้ใดเลยที่มีประสบการณ์ในเรื่องความหวังและความไว้วางใจอันนี้จะลืมเวลาอันมีค่าของการรอคอยนี้ เป็นเวลาหลายสัปดาห์ก่อนถึงเวลานี้ที่ธุรกิจทางฝ่ายโลกส่วนใหญ่ถูกปัดวางไว้ ผู้เชื่อที่จริงใจตรวจสอบด้วยความระมัดระวังถึงความคิดและอารมณ์ของหัวใจของตัวเอง ราวกับว่ากำลังนอนรอความตายอยู่บนเตียงของตนเองและจะปิดตาให้กับภาพของทางโลกนี้ในเวลาเพียงอีกไม่กี่ชั่วโมง ไม่มีการตัด “ชุดยาวไปสวรรค์” (โปรดดูภาคผนวก) แต่ทุกคนตระหนักว่าต้องการหลักฐานจากภายในเพื่อแสดงว่าพวกเขาเตรียมพร้อมที่จะต้อนรับพระผู้ช่วยให้รอด ชุดขาวยาวของพวกเขาคือความบริสุทธิ์ของจิตใจ—อุปนิสัยที่ถูกล้างบาปให้หมดไปด้วยพระโลหิตไถ่บาปของพระคริสต์ อยากให้จิตวิญญาณเดียวกันของการตรวจสอบหัวใจนี้และความเชื่อเดียวกันที่แน่วแน่จริงใจนี้ยังคงมีอยู่ในคนที่อ้างว่าตนเป็นคนของพระเจ้า หากพวกเขายังคงดำเนินอยู่เบื้องพระพักตร์องค์พระผู้เป็นเจ้าต่อไปด้วยความถ่อมใจเช่นนี้ และทูลเสนอคำวิงวอนอยู่ที่พระที่นั่งกรุณาแล้ว พวกเขาจะรับประสบการณ์ที่ไพบูลย์มากยิ่งกว่าที่ได้รับในเวลานี้ มีการอธิษฐานน้อยเกินไป มีความสำนึกในบาปอย่างจริงใจน้อยมาก และการขาดความเชื่อที่มีชีวิตทำให้คนมากมายขาดพระคุณที่พระผู้ไถ่ของเราจะประทานให้อย่างอุดม {GC 373.1}GCth17 323.1

    พระเจ้าทรงประสงค์ที่จะพิสูจน์ประชากรของพระองค์ พระหัตถ์ของพระองค์ทรงปกปิดข้อผิดพลาดจุดหนึ่งของการคำนวณเวลาของคำพยากรณ์ ชาวแอ๊ดเวนตีสทั้งหลายไม่ได้ค้นพบจุดผิดนี้หรือแม้แต่ผู้คัดค้านที่มีการศึกษาส่วนใหญ่ก็ค้นไม่พบเช่นกัน คนจำพวกหลังกล่าวว่า “การคำนวณของท่านในเรื่องเวลาของช่วงคำพยากรณ์นั้นถูกต้อง มีเหตุการณ์ยิ่งใหญ่บางอย่างจะเกิดขึ้นในไม่ช้านี้ แต่ไม่ใช่เรื่องที่นายมิลเลอร์ทำนายแต่เป็นการกลับใจของโลก ไม่ใช่การเสด็จกลับมาของพระคริสต์” (โปรดดูภาคผนวก) {GC 373.2}GCth17 323.2

    เวลาที่พวกเขารอคอยนั้นผ่านพ้นไปและพระคริสต์ไม่ได้เสด็จมาปรากฏเพื่อช่วยประชากรของพระองค์ คนที่รอคอยพระผู้ช่วยให้รอดด้วยความเชื่อจริงใจและด้วยความรักต้องประสบกับความผิดหวังที่ขมขื่น แต่ถึงกระนั้น พระประสงค์ของพระเจ้ากำลังจะสำเร็จ พระองค์กำลังทดสอบหัวใจของผู้ที่อ้างตนว่ารอคอยการเสด็จมาปรากฏของพระองค์ ท่ามกลางคนเหล่านี้มีหลายคนที่ถูกเร้าด้วยแรงบันดาลใจที่ไม่ได้สูงส่งไปกว่าความกลัว ความเชื่อที่เขามีนั้นไม่ได้มีผลกระทบต่อหัวใจหรือชีวิตของพวกเขา เมื่อเหตุการณ์ที่พวกเขาคาดไว้ไม่ได้เกิดขึ้น คนเหล่านี้ก็ประกาศว่าพวกเขาไม่ได้ผิดหวัง พวกเขาไม่เคยเชื่อเลยว่าพระคริสต์จะเสด็จมา พวกเขาอยู่ท่ามกลางคนกลุ่มแรกที่เยาะเย้ยความเศร้าโศกของผู้เชื่อที่ซื่อสัตย์ {GC 374.1}GCth17 324.1

    แต่พระเยซูและชาวสวรรค์ทั้งปวงมองด้วยความรักและความเห็นใจมายังคนทั้งหลายที่เหน็ดเหนื่อยและซื่อสัตย์แต่กระนั้นกลับต้องผิดหวัง หากม่านที่คั่นระหว่างโลกที่มองด้วยตาเปล่าได้กับโลกที่มองไม่เห็นนั้นจะเปิดออกได้ เขาทั้งหลายจะมองเห็นทูตสวรรค์เข้ามาใกล้จิตวิญญาณที่ยืนหยัดอยู่และปกป้องพวกเขาเหล่านั้นจากลูกศรของซาตาน {GC 374.2}GCth17 324.2

    *****