บท 24 - อภิสุทธิสถาน
สงครามครั้งยิ่งใหญ่
- Contents- อารัมภบท
- บทนำของคณะผู้จัดพิมพ์ฉบับภาษาอังกฤษ
- คำนำของผู้ประพันธ์
- บท 1 - ความพินาศของกรุงเยรูซาเล็ม
- บท 2 - การกดขี่ข่มเหงในศตวรรษต้นๆ
- บท 3 - ยุคมืดทางจิตวิญญาณ
- บท 4 - ชาววอลเดนซิส
- บท 5 - ยอห์น ไวคลิฟ
- บท 6 - ฮัสและเจอโรมี
- บท 7 - ลูเธอร์ตีตัวออกห่างจากโรม
- บท 8 - ลูเธอร์รายงานตัวต่อสภา
- บท 9 - นักปฏิรูปศาสนาชาวสวิส
- บท 10 - ความก้าวหน้าของการปฏิรูปในประเทศเยอรมนี
- บท 11 - การประท้วงของเจ้าครองแคว้นต่างๆ
- บท 12 - การปฏิรูปศาสนาในประเทศฝรั่งเศส
- บท 13 - ประเทศเนเธอร์แลนด์และแถบสแกนดิเนเวีย
- บท 14 - นักปฏิรูปศาสนาชาวอังกฤษรุ่นหลัง
- บท 15 - พระคัมภีร์กับการปฏิวัติในประเทศฝรั่งเศส
- บท 16 - บรรพบุรุษที่เป็นพิลกริม
- บท 17 - ผู้ประกาศข่าวของรุ่งอรุณ
- บท 18 -นักปฏิรูปชาวอเมริกันท่านหนึ่ง
- บท 19 - ความสว่างส่องเข้าไปในที่มืด
- บท 20 - การตื่นตัวครั้งยิ่งใหญ่ฝ่ายศาสนา
- บท 21 - คำเตือนที่ถูกปฏิเสธ
- บท 22 - เหตุการณ์เกิดขึ้นตามคำพยากรณ์
- บท 23 - สถานนมัสการคืออะไร
- บท 24 - อภิสุทธิสถาน
- บท 25 - พระบัญญัติของพระเจ้าเปลี่ยนแปลงไม่ได้
- บท 26 - ภารกิจหนึ่งของการปฏิรูป
- บท 27 - การฟื้นฟูยุคใหม่
- บท 28 - เผชิญหน้ากับหนังสือบันทึกแห่งชีวิต
- บท 29 - จุดเริ่มต้นของความชั่ว
- บท 30 - มนุษย์และซาตานเป็นศัตรูกัน
- บท 31 - สื่อวิญญาณชั่ว
- บท 32 - กับดักของซาตาน
- บท 33 - การหลอกลวงยิ่งใหญ่ครั้งแรก
- บท 34 - คนตายติดต่อกับเราได้หรือ
- บท 35 - เสรีภาพของจิตสำนึกถูกคุกคาม
- บท 36 - การขัดแย้งที่กำลังจะเกิดขึ้น
- บท 37 - พระคัมภีร์เป็นโล่ป้องกัน
- บท 38 - คำเตือนสุดท้าย
- บท 39 - เวลาแห่งความทุกข์ยาก
- บท 40 - ประชากรของพระเจ้าได้รับการช่วยกู้
- บท 41 - โลกร้างอ้างว้าง
- บท 42 - ความขัดแย้งสิ้นสุดแล้ว
Search Results
- Results
- Related
- Featured
- Weighted Relevancy
- Content Sequence
- Relevancy
- Earliest First
- Latest First
- Exact Match First, Root Words Second
- Exact word match
- Root word match
- EGW Collections
- All collections
- Lifetime Works (1845-1917)
- Compilations (1918-present)
- Adventist Pioneer Library
- My Bible
- Dictionary
- Reference
- Short
- Long
- Paragraph
No results.
EGW Extras
Directory
บท 24 - อภิสุทธิสถาน
เรื่องของสถานนมัสการคือกุญแจไขความลับของความผิดหวังที่เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1844 เรื่องนี้เปิดเผยให้เห็นความจริงทั้งระบบซึ่งเชื่อมต่อกันและสอดคล้องกันที่แสดงให้เห็นถึงพระหัตถ์ของพระเจ้าในการทรงนำขบวนการยิ่งใหญ่ของการรอการเสด็จกลับมาของพระคริสต์ และที่เปิดเผยให้เห็นถึงจุดยืนรวมถึงหน้าที่ที่ประชากรของพระเจ้าต้องทำในปัจจุบัน เช่นเดียวกับสาวกทั้งหลายของพระเยซูที่ภายหลังค่ำคืนอันน่าสะพรึงกลัวของความทุกข์ระทมและความสิ้นหวังแต่ “เมื่อพวกสาวกเห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้วก็มีความยินดี” ยอห์น 20:20 บัดนี้ผู้ที่เฝ้าคอยการเสด็จมาครั้งที่สองของพระองค์ด้วยความเชื่อก็จะมีความชื่นชมยินดีเช่นนั้นเหมือนกัน พวกเขาเคยคาดหวังว่าพระองค์จะทรงปรากฏด้วยพระรัศมีเพื่อประทานบำเหน็จให้แก่ผู้รับใช้ทั้งหลายของพระองค์ ในขณะที่พวกเขาผิดหวังพวกเขาก็มองไม่เห็นพระเยซู พวกเขาร่ำไห้พร้อมกับมารีย์ที่หน้าทางเข้าอุโมงค์ฝังศพว่า “เขาเอาองค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้าไปและข้าพเจ้าไม่ทราบว่าเอาไปไว้ที่ไหน” ยอห์น 20:13 แต่บัดนี้ พวกเขามองเห็นพระองค์อีกครั้งหนึ่งในอภิสุทธิสถาน พระองค์ผู้ทรงเป็นมหาปุโรหิต ผู้กอปรด้วยพระเมตตาคุณ จะเสด็จมาปรากฏตัวในเร็ววันในฐานะกษัตริย์และพระผู้ช่วยของพวกเขา แสงสว่างจากสถานนมัสการส่องไปยังอดีต ปัจจุบัน และอนาคต พวกเขาทราบดีว่าพระเจ้าทรงนำพวกเขาด้วยการจัดเตรียมที่ไม่พลาดพลั้ง แม้ว่าพวกเขาจะเป็นเหมือนเช่นสาวกรุ่นแรกคือตัวพวกเขาเองเป็นผู้ที่พลาดในการเข้าใจข่าวสารที่ประกาศ แต่ถึงกระนั้น ข่าวสารเหล่านั้นก็ยังถูกต้องในทุกแง่มุม ด้วยการประกาศข่าวนี้ พวกเขาทำให้พระประสงค์ของพระเจ้าสำเร็จ และงานที่พวกเขาทำไปในองค์พระผู้เป็นเจ้าก็ไม่ได้ไร้ประโยชน์ พวกเขา “บังเกิดใหม่เข้าในความหวังที่ยั่งยืน” 1 เปโตร 1:3 และ “ชื่นชมยินดีด้วยความยินดีเป็นล้นพ้นสุดจะพรรณนา” 1 เปโตร 1:8 {GC 423.1}GCth17 365.1
คำพยากรณ์ทั้งในพระธรรมดาเนียล 8:14 ที่ว่า “อยู่นานสองพันสามร้อยวัน แล้วสถานบริสุทธิ์นั้นจะได้รับการชำระ” TKJV และข่าวของทูตสวรรค์องค์ที่หนึ่งที่ว่า “จงเกรงกลัวพระเจ้าและถวายพระเกียรติแด่พระองค์ เพราะถึงเวลาที่พระองค์จะทรงพิพากษาแล้ว” วิวรณ์ 14:7 นำไปยังพระราชกิจของพระคริสต์ในอภิสุทธิสถาน เพื่อการพิจารณาพิพากษา และไม่ใช่เพื่อเสด็จมาไถ่ประชากรของพระองค์และทำลายคนชั่ว ความผิดพลาดไม่ได้อยู่ที่การคำนวณช่วงเวลาของคำพยากรณ์ แต่อยู่ที่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อสิ้นสุด 2300 วัน ด้วยความผิดพลาดนี้ ผู้เชื่อทั้งหลายต้องประสบกับความผิดหวัง แต่ถึงกระนั้น ทุกเรื่องที่คำพยากรณ์ทำนายไว้ล่วงหน้า และทุกเรื่องที่พระคัมภีร์ยืนยันว่าจะต้องเกิด ก็เกิดขึ้นแล้ว ในช่วงเวลาขณะที่พวกเขากำลังโอดครวญถึงความล้มเหลวของความหวังของพวกเขา เหตุการณ์ที่ถูกทำนายไว้ก็เกิดขึ้นจริง และเหตุการณ์นี้จะต้องสำเร็จก่อนที่องค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จมาปรากฏเพื่อประทานบำเหน็จให้ผู้รับใช้ทั้งหลายของพระองค์ {GC 424.1}GCth17 366.1
พระคริสต์เสด็จมาแล้ว ไม่ได้มายังโลกตามที่พวกเขาตั้งความหวังไว้ แต่ตามที่แสดงให้เห็นล่วงหน้าในแบบจำลองซึ่งเป็นสัญลักษณ์ พระคริสต์เสด็จเข้าไปยังอภิสุทธิสถานของพระวิหารของพระเจ้าในสวรรค์ ผู้เผยพระวจนะดาเนียลบรรยายการเสด็จมาครั้งนี้ของพระองค์เพื่อไปหาผู้เจริญด้วยวัยวุฒิว่า “ข้าพเจ้าเห็นในนิมิตเวลากลางคืน นี่แน่ะ มีท่านผู้หนึ่งเหมือนบุตรมนุษย์มาพร้อมกับบรรดาเมฆของสวรรค์” ไม่ได้มายังโลกแต่ “มาหาผู้เจริญด้วยวัยวุฒินั้น มีคนนำท่านมาเฝ้าเฉพาะพระพักตร์พระองค์” ดาเนียล 7:13 {GC 424.2} GCth17 366.2
ผู้เผยพระวจนะมาลาคีบอกไว้ล่วงหน้าถึงการเสด็จมาในครั้งนี้เช่นกันว่า “พระยาห์เวห์จอมทัพตรัสว่า ‘นี่แน่ะ เราส่งทูตของเราไปเพื่อตระเตรียมหนทางไว้ข้างหน้าเรา และองค์เจ้านายผู้ซึ่งเจ้าแสวงหานั้นจะเสด็จมายังพระวิหารของพระองค์อย่างกะทันหัน ทูตแห่งพันธสัญญาผู้ซึ่งเจ้าพอใจนั้น ดูซิ ท่านกำลังมาแล้ว’” มาลาคี 3:1 สำหรับประชากรขององค์พระผู้เป็นเจ้านั้น พระองค์เสด็จมายังพระวิหารของพระองค์อย่างกะทันหัน อย่างคาดไม่ถึง พวกเขาไม่ได้คอยรับพระองค์ที่นั่น พวกเขาคาดว่าพระองค์จะเสด็จมายังโลกด้วย “เปลวเพลิง…..จะลงโทษสนองคนที่ไม่รู้จักพระเจ้าและคนที่ไม่ดำเนินชีวิตตามข่าวประเสริฐเรื่องของพระเยซูเจ้าองค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา” 2 เธสะโลนิกา 1:7, 8 {GC 424.3}GCth17 366.3
แต่คนทั้งหลายยังไม่พร้อมที่จะต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้าของพวกเขา ยังมีงานเตรียมการที่พวกเขาจะต้องทำให้เสร็จ แสงสว่างจะทรงโปรดประทานแก่พวกเขาซึ่งจะนำความคิดของพวกเขาไปยังพระวิหารของพระองค์ที่อยู่ในสวรรค์ และเมื่อโดยความเชื่อพวกเขาติดตามการประกอบพิธีของมหาปุโรหิตเข้าไปในพระวิหารนั้นแล้ว หน้าที่ใหม่จะถูกเปิดเผยให้แก่พวกเขา ข่าวสารอื่นๆ ซึ่งเป็นคำเตือนและคำสอนจะถูกมอบให้แก่คริสตจักร {GC 424.4}GCth17 366.4
ผู้เผยพระวจนะกล่าวว่า “ใครจะทนอยู่ได้ในวันที่ท่านมา และใครจะยืนมั่นอยู่ได้เมื่อท่านปรากฏตัว เพราะว่าท่านเป็นประดุจไฟถลุงแร่ และประดุจสบู่ของช่างซักฟอก ท่านจะนั่งลงอย่างช่างถลุงเงินและช่างชะล้างเงิน และท่านจะชำระบุตรหลานของเลวีให้บริสุทธิ์ และถลุงพวกเขาอย่างถลุงทองคำและถลุงเงิน จนกว่าเขาจะนำเครื่องบูชามาถวายแด่พระยาห์เวห์ด้วยความชอบธรรม” มาลาคี 3:2, 3 เมื่อการอุทธรณ์ของพระคริสต์ในสถานนมัสการเบื้องบนสิ้นสุดลง ผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ในโลกจะต้องยืนอยู่เบื้องพระพักตร์ของพระเจ้าผู้บริสุทธิ์โดยปราศจากคนกลาง เสื้อคลุมของพวกเขาจะต้องไม่มีจุดด่างพร้อย อุปนิสัยของพวกเขาจะต้องถูกชำระให้บริสุทธิ์จากบาปด้วยการประพรมของพระโลหิต พวกเขาจะต้องเป็นผู้มีชัยในสงครามการต่อสู้กับความชั่วด้วยพระคุณของพระเจ้าและด้วยความอุตสาหะของพวกเขาเอง ในขณะที่การพิจารณาพิพากษาในสวรรค์กำลังดำเนินก้าวหน้าไปอยู่นั้น ในขณะที่บาปทั้งหลายของผู้เชื่อที่สำนึกผิดกำลังถูกลบออกไปจากสถานนมัสการนั้น ประชากรของพระองค์ในโลกมีงานพิเศษของการชำระให้บริสุทธิ์และการกำจัดบาปทิ้ง หน้าที่เหล่านี้ถูกเปิดเผยไว้อย่างชัดเจนมากขึ้นในข่าวของพระธรรมวิวรณ์บทที่ 14 {GC 425.1}GCth17 367.1
เมื่อภารกิจนี้ถูกทำให้เสร็จสมบูรณ์แล้ว บรรดาผู้ติดตามของพระคริสต์จึงจะพร้อมสำหรับการเสด็จมาปรากฏของพระองค์ “แล้วเครื่องบูชาของยูดาห์และเยรูซาเล็มจะเป็นที่พอพระทัยพระยาห์เวห์ดังในอดีต และดังในปีก่อนๆ” มาลาคี 3:4 แล้วคริสตจักรที่องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราจะมารับกลับคืนเมื่อพระองค์เสด็จมานั้นจะเป็น “คริสตจักรบริสุทธิ์…ไม่มีด่างพร้อย ริ้วรอยหรือมลทินใดๆ” เอเฟซัส 5:26, 27 แล้วคริสตจักรนั้นจะเป็น “รุ่งอรุณแจ่มจรัส ดังจันทร์เพ็ญกระจ่างจ้าปานตะวัน น่าเกรงขามดังกองทัพมีธงประจำ” เพลงซาโลมอน 6:10 {GC 425.2}GCth17 367.2
นอกจากการกล่าวถึงองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมายังพระวิหารของพระองค์แล้วผู้เผยพระวจนะมาลาคียังทำนายถึงการเสด็จมาครั้งที่สองของพระองค์ เป็นการเสด็จมาเพื่อพิพากษา ดังที่จารึกไว้ว่า “แล้วเราจะมาใกล้เจ้าเพื่อการพิพากษา เราจะเป็นพยานที่รวดเร็วที่กล่าวโทษนักวิทยาคม พวกผิดประเวณี ผู้ที่สบถเท็จ ผู้ที่บีบบังคับลูกจ้างในเรื่องค่าจ้าง ผู้บีบบังคับแม่ม่ายและลูกกำพร้า ผู้ผลักไสคนต่างด้าวให้ไปเสีย และผู้ที่ไม่ยำเกรงเรา” มาลาคี 3:5 ผู้เผยพระวจนะยูดากล่าวถึงเหตุการณ์เดียวกันว่า “นี่แน่ะ องค์พระผู้เป็นเจ้ากำลังเสด็จมาพร้อมกับผู้บริสุทธิ์ของพระองค์นับเป็นหมื่นๆ เพื่อทำการพิพากษาทุกคนและเพื่อทำให้คนอธรรมทุกคนสำนึกตัวถึงการอธรรมทุกอย่างที่พวกเขาทำไปตามวิถีทางอธรรมนั้น” ยูดา 14, 15 การเสด็จมานี้และการเสด็จมาขององค์พระผู้เป็นเจ้ายังพระวิหารของพระองค์เป็นเหตุการณ์ที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนและเป็นคนละเหตุการณ์ {GC 425.3}GCth17 367.3
การเสด็จมาของพระคริสต์ไปยังอภิสุทธิสถานในฐานะมหาปุโรหิตเพื่อชำระสถานนมัสการตามที่กล่าวไว้ในพระธรรมดาเนียล 8:14 การเสด็จมาของบุตรมนุษย์ไปยังผู้เจริญด้วยวัยวุฒิตามบันทึกในพระธรรมดาเนียล 7:13 และการเสด็จมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าไปยังพระวิหารของพระองค์ที่ผู้เผยพระวจนะมาลาคีพยากรณ์ไว้ ทั้งหมดนี้เป็นการบรรยายถึงเหตุการณ์เดียวกัน และเหตุการณ์นี้ก็บรรยายไว้ในเรื่องเจ้าบ่าวมาถึงงานสมรส ในอุปมาสาวพรหมจารีสิบคนที่พระคริสต์ทรงเล่าไว้ในพระธรรมมัทธิวบทที่ 25 {GC 426.1}GCth17 368.1
ในช่วงฤดูร้อนและฤดูใบไม้ร่วงของปี ค.ศ. 1844 มีเสียงร้องป่าวประกาศดังขึ้นมาว่า “เจ้าบ่าวมาแล้ว” จึงเกิดคนสองกลุ่มขึ้นตามลักษณะของหญิงพรหมจารีมีปัญญาและโง่ คนกลุ่มหนึ่งรอคอยการปรากฏขององค์พระผู้เป็นเจ้าด้วยความชื่นชมยินดี พวกเขาบากบั่นเตรียมตัวที่จะต้อนรับพระองค์ ส่วนคนอีกกลุ่มหนึ่งเข้าร่วมขบวนการด้วยความกลัวและทำด้วยความหุนหัน พวกเขาพอใจกับทฤษฎีความจริง แต่ขาดพระคุณของพระเจ้า ในอุปมาเมื่อเจ้าบ่าวมา “พวกที่เตรียมพร้อมอยู่แล้วก็ไปกับท่านในงานสมรส” มัทธิว 25:10 จุดนี้ทำให้เรามองเห็นว่าการมาของเจ้าบ่าวจะเกิดขึ้นก่อนงานสมรส พิธีสมรสหมายถึงพระคริสต์ได้รับอาณาจักรของพระองค์ กรุงเยรูซาเล็มใหม่คือนครบริสุทธิ์ซึ่งเป็นเมืองหลวงและเป็นตัวแทนของอาณาจักรนั้นจะถูกเรียกว่า “เจ้าสาวที่เป็นมเหสีของพระเมษโปดก” ทูตสวรรค์บอกยอห์นว่า “มานี่ซิ เราจะให้ท่านดูเจ้าสาวที่เป็นมเหสีของพระเมษโปดก” ผู้เผยพระวจนะกล่าวต่อไปว่า “ท่านนำข้าพเจ้าโดยพระวิญญาณขึ้นไปบนภูเขาสูงใหญ่ และสำแดงให้ข้าพเจ้าเห็นนครบริสุทธิ์คือเยรูซาเล็มซึ่งลอยลงมาจากสวรรค์และจากพระเจ้า” วิวรณ์ 21:9, 10 จึงเห็นได้อย่างชัดเจนว่าเจ้าสาวในที่นี้หมายถึงเมืองบริสุทธิ์ และหญิงพรหมจารีที่ออกไปต้อนรับเจ้าบ่าวเป็นสัญลักษณ์ของคริสตจักร พระธรรมวิวรณ์เรียกประชากรของพระเจ้าว่าเป็นแขกรับเชิญในงานเลี้ยงสมรส วิวรณ์ 19:9 หากประชากรของพระเจ้าเป็นแขกของงานแล้ว พวกเขาจะมีสัญลักษณ์เป็นเจ้าสาวไม่ได้ ดังที่พระธรรมดาเนียลกล่าวไว้ว่าพระคริสต์จะรับ “ราชอำนาจ ศักดิ์ศรี กับราชอาณาจักร” จากผู้เจริญด้วยวัยวุฒิในสวรรค์ พระองค์จะทรงต้อนรับกรุงเยรูซาเล็มใหม่ ซึ่งเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรของพระองค์ที่ “เตรียมพร้อมเหมือนอย่างเจ้าสาวที่แต่งตัวไว้สำหรับสามี” ดาเนียล 7:14 วิวรณ์ 21:2 เมื่อพระองค์ทรงรับอาณาจักรแล้ว พระองค์จะเสด็จมาด้วยพระรัศมีเป็น “กษัตริย์เหนือกษัตริย์ทั้งหลายและเจ้านายเหนือเจ้านายทั้งหลาย” วิวรณ์ 19:16 เพื่อไถ่ประชากรของพระองค์ผู้ที่จะ “ร่วมงานเลี้ยงกับอับราอัม อิสอัคและยาโคบ” ที่โต๊ะของพระองค์ในอาณาจักรของพระองค์ (มัทธิว 8:11 ลูกา 22:30) เพื่อมีส่วนในงานเลี้ยงสมรสของพระเมษโปดก {GC 426.2}GCth17 368.2
การร้องประกาศว่า “เจ้าบ่าวมาแล้ว” ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงของปี ค.ศ. 1844 ทำให้คนนับพันคาดหวังว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จกลับมาในทันที เจ้าบ่าวเสด็จมาจริงตามเวลาที่กำหนดไว้ แต่ไม่ได้เสด็จมายังโลกตามที่พวกเขาคาดหวัง แต่เสด็จไปยังผู้เจริญด้วยวัยวุฒิในสวรรค์ ไปยังงานสมรส เข้าสู่งานเลี้ยงในอาณาจักรของพระองค์ “พวกที่เตรียมพร้อมอยู่แล้วก็ไปกับท่านในงานสมรส แล้วประตูก็ปิด” มัทธิว 25:10 พวกเขาไม่ได้เข้าร่วมงานสมรสด้วยตนเองเพราะงานนี้เกิดขึ้นในสวรรค์ในขณะที่พวกเขายังคงอยู่ในโลกนี้ ผู้ติดตามพระคริสต์จะ “คอยรับนายของตนเมื่อนายจะกลับมาจากงานสมรส” ลูกา 12:36 แต่พวกเขาจะต้องเข้าใจพระราชกิจของพระองค์และติดตามพระองค์ด้วยความเชื่อในขณะที่พระองค์เสด็จเข้าไปเฝ้าเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า ในแง่นี้แหละจึงถูกกล่าวได้ว่าพวกเขาได้เข้าไปร่วมในงานสมรส {GC 427.1}GCth17 368.3
ในอุปมา เฉพาะผู้ที่มีน้ำมันในภาชนะร่วมกับในตะเกียงเท่านั้นจึงจะเป็นผู้ที่เข้าไปในงานสมรสได้ คนเหล่านั้นที่รู้ความจริงจากพระคัมภีร์จะต้องมีพระวิญญาณและพระคุณของพระเจ้า และผู้ที่รอคอยด้วยความอดทนในค่ำคืนของการทดลองที่ขมขื่นและได้ค้นคว้าศึกษาพระคัมภีร์เพื่อหาแสงสว่างที่ชัดแจ้งยิ่งขึ้น พวกเขาเหล่านี้จะได้เห็นความจริงเรื่องสถานนมัสการในสวรรค์และการเปลี่ยนแปลงการประกอบพิธีของพระผู้ช่วยให้รอด และโดยความเชื่อพวกเขาจึงติดตามพระองค์ในพระราชกิจของพระองค์เข้าไปในสถานนมัสการเบื้องบน และทุกคนที่ยอมรับคำพยานของพระคัมภีร์ในความจริงเรื่องเดียวกันนี้ ก็กำลังติดตามพระคริสต์ด้วยความเชื่อในขณะที่พระองค์เสด็จเข้าไปเฝ้าเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่อประกอบพระราชกิจสุดท้ายของการทรงเป็นคนกลางและรับอาณาจักรของพระองค์เมื่อพระราชกิจนี้สิ้นสุดลง สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ถูกแสดงเป็นเครื่องหมายด้วยการเข้าร่วมงานสมรส {GC 427.2}GCth17 368.4
อุปมาในพระธรรมมัทธิวบทที่ 22 ใช้สัญลักษณ์ของงานสมรสเดียวกันนี้และเสนอให้เห็นอย่างชัดเจนว่าการพิจารณาพิพากษาจะต้องเกิดขึ้นก่อนงานสมรส ก่อนที่งานสมรสจะเริ่มขึ้นนั้น กษัตริย์เสด็จมาทอดพระเนตรแขกรับเชิญ เพื่อดูว่าทุกคนสวมเสื้อสำหรับงานอภิเษกสมรสหรือไม่ ซึ่งเป็นเสื้อคลุมของอุปนิสัยอันไร้ตำหนิที่ได้ผ่านการชำระล้างและทำให้ขาวสะอาดโดยพระโลหิตของพระเมษโปดก มัทธิว 22:11 วิวรณ์ 7:14 เมื่อพบผู้ที่บกพร่อง ก็จะขับผู้นั้นออกไป แต่ทุกคนที่ผ่านการตรวจสอบแล้วพบว่าสวมใส่เสื้อสำหรับงานอภิเษกสมรสก็จะเป็นที่ยอมรับของพระเจ้าและสมควรมีส่วนร่วมในอาณาจักรของพระองค์และมีที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ของพระองค์ พระราชกิจของการตรวจสอบอุปนิสัยเพื่อดูว่าผู้ใดเตรียมพร้อมสำหรับอาณาจักรของพระองค์คือการพิจารณาพิพากษาซึ่งเป็นพระราชกิจช่วงปิดท้ายของงานในสถานนมัสการเบื้องบน {GC 428.1}GCth17 369.1
เมื่อพระราชกิจแห่งการพิจารณาไต่สวนสิ้นสุดลง เมื่อทุกคนในทุกยุคที่อ้างตนว่าเป็นผู้ติดตามพระคริสต์ผ่านการตรวจสอบและตัดสินแล้ว และเมื่อถึงเวลานั้น เวลาแห่งพระกรุณาธิคุณจึงจะสิ้นสุดลง แล้วประตูแห่งพระกรุณาก็จะปิดลง ดังนั้น ด้วยคำพูดสั้นๆ ที่ว่า “พวกที่เตรียมพร้อมอยู่แล้วก็ไปกับท่านในงานสมรส แล้วประตูก็ปิด” จึงเป็นการนำพวกเราไปยังการประกอบพิธีขั้นสุดท้ายของพระผู้ช่วยให้รอด คือไปยังเวลาเมื่อพระราชกิจยิ่งใหญ่เพื่อช่วยมนุษย์ให้รอดจะเสร็จสมบูรณ์ {GC 428.2}GCth17 369.2
ในพิธีของสถานนมัสการในโลกนี้ดังที่เรามองเห็นแล้วว่าเป็นภาพร่างรูปแบบของพิธีในสวรรค์ เมื่อมหาปุโรหิตเข้าไปยังอภิสุทธิสถานในวันลบมลทินบาปนั้น การประกอบพิธีในห้องแรกได้เสร็จสิ้นลงแล้ว พระเจ้าทรงบัญชาว่า “อย่าให้มีคนอยู่ในเต็นท์นัดพบเมื่ออาโรนเข้าไปลบมลทินในอภิสุทธิสถาน จนกว่าเขาจะออกมา” เลวีนิติ 16:17 ดังนั้น เมื่อพระคริสต์เสด็จเข้าไปในอภิสุทธิสถานเพื่อประกอบพระราชกิจของการลบมลทินบาปให้เสร็จสิ้นนั้น พระองค์ได้สิ้นสุดการประกอบพิธีของพระองค์ในห้องแรกแล้ว เว้นเสียแต่การประกอบพิธีในห้องแรกยุติลงแล้วเท่านั้น การประกอบพิธีในห้องที่สองจึงเริ่มต้นขึ้น ในพิธีจำลองซึ่งเป็นสัญลักษณ์นั้น เมื่อมหาปุโรหิตออกจากวิสุทธิสถานในวันลบมลทินบาป เขาเข้าไปข้างในยังเบื้องพระพักตร์พระเจ้าเพื่อถวายเลือดซึ่งเป็นเครื่องบูชาไถ่บาปเพื่อคนอิสราเอลทั้งหลายที่กลับใจจากบาปของตนเองอย่างจริงใจ เพราะเหตุนี้ พระคริสต์ทรงทำพระราชกิจของพระองค์ในฐานะผู้อุทธรณ์ของเราสำเร็จไปส่วนหนึ่งเท่านั้น จึงทรงเข้าไปเพื่อทำพระราชกิจอีกส่วนหนึ่ง และพระองค์ยังทรงวิงวอนต่อพระบิดาเพื่อคนบาปด้วยพระโลหิตของพระองค์เอง {GC 428.3}GCth17 369.3
ในปี ค.ศ. 1844 ชาวแอ๊ดเวนตีสไม่เข้าใจเนื้อหาของเรื่องนี้ เมื่อเวลาที่พวกเขาคาดว่าพระผู้ช่วยให้รอดจะเสด็จมาผ่านพ้นไปแล้ว พวกเขาก็ยังคงเชื่อว่าการเสด็จมาของพระองค์นั้นจะเกิดขึ้นอีกไม่นาน พวกเขาถือว่าพวกเขามาถึงวิกฤตที่สำคัญและเชื่อว่าพระราชกิจของพระคริสต์ในฐานะผู้อุทธรณ์ต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้าได้ยุติลงแล้ว สำหรับพวกเขาแล้ว พระคัมภีร์ดูเหมือนจะสอนว่าเวลาแห่งพระกรุณาธิคุณสำหรับมนุษย์จะปิดลงช่วงสั้นๆ ก่อนที่องค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จกลับมาจริงในหมู่เมฆของท้องฟ้า สิ่งนี้ดูเหมือนจะเป็นหลักฐานจากพระคัมภีร์เหล่านั้นซึ่งชี้ไปยังเวลาเมื่อมนุษย์จะแสวงหา เคาะและร้องเรียกที่ประตูแห่งพระกรุณา แต่ประตูนั้นจะไม่เปิดให้แก่พวกเขา และมันจึงมีคำถามเกิดขึ้นกับพวกเขาว่า วันเวลาที่พวกเขาได้กำหนดรอคอยการเสด็จมาของพระคริสต์อาจจะไม่ใช่จุดเริ่มต้นของช่วงเวลานี้ซึ่งจะต้องเกิดขึ้นทันทีทันใดก่อนการเสด็จกลับมาของพระองค์ เมื่อพวกเขาประกาศเตือนเรื่องการพิพากษาที่ใกล้เข้ามาแล้ว พวกเขาคิดว่าหน้าที่ที่ต้องทำให้กับโลกนี้เสร็จสิ้นไปแล้ว และพวกเขาจึงหลุดพ้นจากภาระที่ต้องช่วยจิตวิญญาณอื่นให้รอดพ้นจากบาป ในเวลาเดียวกันความหยิ่งยโสและการดูหมิ่นเยาะเย้ยของคนที่ไม่มีพระเจ้าดูจะเป็นอีกหลักฐานหนึ่งที่แสดงว่าพระวิญญาณของพระเจ้าถูกเพิกถอนไปจากผู้ที่ปฏิเสธพระเมตตาคุณของพระองค์ เรื่องทั้งหมดเหล่านี้ล้วนยืนยันความเชื่อของพวกเขาว่าเวลาแห่งพระกรุณาธิคุณของพระเจ้าสิ้นสุดลงแล้ว หรือตามที่พวกเขาพูดกันว่า “ประตูแห่งพระกรุณาธิคุณได้ปิดไปแล้ว” {GC 429.1}GCth17 370.1
แต่แสงสว่างที่ชัดแจ้งเพิ่มขึ้นได้มาพร้อมกับการศึกษาเจาะลึกเรื่องสถานนมัสการ บัดนี้ พวกเขามองเห็นแล้วว่าพวกเขาถูกต้องที่เชื่อว่าจุดสิ้นสุดของ 2300 วันในปี ค.ศ. 1844 นั้นเป็นจุดที่ชี้บอกถึงวิกฤตสำคัญ ถึงแม้มันจะเป็นความจริงว่าประตูแห่งความหวังและความเมตตาที่มนุษย์ใช้เข้าหาพระเจ้ามาเป็นเวลาหนึ่งพันแปดร้อยปีนั้นถูกปิดลงแล้ว แต่ประตูอีกบานหนึ่งได้ถูกเปิดออกและการอภัยบาปได้ถูกยื่นให้แก่มนุษย์โดยผ่านการอุทธรณ์ของพระคริสต์ในอภิสุทธิสถาน พระราชกิจส่วนหนึ่งของพระคริสต์สิ้นสุดลงเพียงเพื่อเปิดทางให้อีกพระราชกิจหนึ่ง ยังคงมี “ประตูที่เปิด” อยู่เพื่อเข้าสู่สถานนมัสการในสวรรค์ซึ่งพระคริสต์กำลังปฏิบัติพระราชกิจเพื่อคนบาป {GC 429.2}GCth17 370.2
บัดนี้ เรามองเห็นพระดำรัสของพระคริสต์ในพระธรรมวิวรณ์ที่ตรัสกับคริสตจักรในเวลาปัจจุบันนี้ว่า “พระองค์ผู้บริสุทธิ์ ผู้ทรงสัตย์จริง ผู้ทรงมีลูกกุญแจของดาวิด ผู้ทรงเปิดแล้วจะไม่มีใครปิดได้ ผู้ทรงปิดแล้วจะไม่มีใครเปิดได้นั้นตรัสดังนี้ว่า ‘เรารู้จักความประพฤติของเจ้า นี่แน่ะ เราจัดวางประตูที่เปิดไว้ตรงหน้าพวกเจ้า ประตูนี้ไม่มีใครสามารถปิดได้’” วิวรณ์ 3:7, 8 {GC 430.1}GCth17 371.1
เฉพาะคนเหล่านั้นที่ติดตามพระเยซูโดยความเชื่อในพระราชกิจยิ่งใหญ่ของการลบมลทินบาปจึงจะได้รับประโยชน์ของพระราชกิจการทรงเป็นคนกลางของพระองค์ที่ทรงทำเพื่อพวกเขา ในขณะที่ผู้ปฏิเสธแสงสว่างซึ่งนำให้เห็นพระราชกิจแห่งการรับใช้นี้จะไม่ได้รับประโยชน์ใดๆ เลย ชาวยิวที่ปฏิเสธความสว่างที่พระคริสต์ประทานให้เมื่อพระองค์เสด็จมาครั้งแรกและไม่ยอมรับว่าพระองค์ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของโลกนั้น ไม่อาจได้รับการอภัยผ่านทางพระองค์ เมื่อพระเยซูเสด็จกลับสู่สวรรค์และทรงเข้าไปยังสถานนมัสการในสวรรค์พร้อมด้วยพระโลหิตของพระองค์เพื่อหลั่งพระพรของการทรงเป็นคนกลางให้แก่สาวกทั้งหลายของพระองค์นั้น ชาวยิวยังคงอยู่ในความมืดสนิทด้วยการถวายสัตวบูชาต่างๆ และเครื่องบูชาอื่นๆ ที่ไร้ประโยชน์ต่อไป การประกอบพิธีในพิธีจำลองต่างๆ และเงาต่างๆ ได้ยุติไปแล้ว ประตูบานนั้นซึ่งเมื่อก่อนมนุษย์เคยใช้เพื่อเข้าหาพระเจ้านั้นไม่ได้ถูกเปิดไว้อีกต่อไปแล้ว ชาวยิวปฏิเสธที่จะแสวงหาพระองค์ด้วยวิธีเดียวที่จะไปถึงพระองค์ได้ คือผ่านทางพระราชกิจของพระองค์ในสถานนมัสการบนสวรรค์ ดังนั้น พวกเขาจึงไม่ได้สื่อสัมพันธ์กับพระเจ้า สำหรับพวกเขาแล้ว ประตูบานนั้นถูกปิดไป พวกเขาไม่มีความรู้เรื่องพระคริสต์ว่าทรงเป็นเครื่องบูชาแท้จริงและทรงเป็นคนกลางเพียงผู้เดียวต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้า ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงไม่ได้รับประโยชน์ของการทรงเป็นคนกลางของพระองค์ {GC 430.2}GCth17 371.2
สภาพของชาวยิวที่ไม่เชื่อแสดงให้เห็นสภาพความไม่ใส่ใจและความไม่เชื่อที่ปรากฏอยู่ท่ามกลางผู้ที่อ้างว่าตนเป็นคริสเตียน พวกเขาตั้งใจไม่ยอมรับพระราชกิจของมหาปุโรหิตผู้ทรงกอปรด้วยพระเมตตาคุณของเรา ในพิธีจำลองซึ่งเป็นสัญลักษณ์ เมื่อมหาปุโรหิตเข้าไปยังอภิสุทธิสถาน ชนชาติอิสราเอลทุกคนจะต้องเข้ามาชุมนุมกันรอบพระวิหารและถ่อมใจลงต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้าด้วยความเคร่งขรึมที่สุด เพื่อรับการอภัยจากบาป และไม่ถูกอัปเปหิออกจากชุมนุมชน เป็นเรื่องที่สำคัญมากยิ่งเพียงไรสำหรับช่วงเวลาแห่งการลบมลทินบาปแท้จริงที่กำลังดำเนินอยู่ในขณะนี้ ที่เราจะต้องเข้าใจพระราชกิจของมหาปุโรหิตของเราและรู้ว่าหน้าที่ใดที่ทรงต้องการให้เราทำ {GC 430.3}GCth17 371.3
มนุษย์หลุดพ้นจากการลงโทษไม่ได้หากเขาปฏิเสธคำเตือนที่พระเจ้าประทานให้ด้วยความเมตตา ข่าวคำเตือนจากสวรรค์ส่งมายังโลกในสมัยของโนอาห์ และความรอดของพวกเขาขึ้นกับวิธีที่พวกเขาตอบสนองต่อข่าวสารนั้น เนื่องจากพวกเขาปฏิเสธคำเตือน พระวิญญาณของพระเจ้าจึงถอนไปจากชาติพันธุ์มนุษย์ที่บาปชั่ว และพวกเขาพินาศไปกับน้ำที่ท่วมโลก ในสมัยของอับราฮัม พระเมตตาคุณหยุดที่จะอ้อนวอนคนผิดของเมืองโสโดม และคนทั้งหมดนอกจากโลทพร้อมภรรยาและบุตรสาวสองคนถูกไฟที่ส่งมาจากสวรรค์เผาจนหมดสิ้น ในสมัยของพระคริสต์ก็เช่นกัน พระบุตรของพระเจ้าทรงประกาศต่อชาวยิวที่ไม่เชื่อของยุคนั้นว่า “นิเวศของเจ้าจะถูกทอดทิ้งให้ร้างเปล่า” มัทธิว 23:38 เมื่อมองต่อไปยังยุคสุดท้าย พระเจ้าผู้ทรงกอปรด้วยอำนาจที่ไม่จำกัดองค์เดียวกันนี้ทรงประกาศถึงความ “พินาศเพราะเขาไม่ได้รักความจริงเพื่อจะรอดได้ เพราะเหตุนี้พระเจ้าจึงทรงให้ความลุ่มหลงมาถึงพวกเขา ให้เขาเชื่อสิ่งที่เท็จ เพื่อทุกคนที่ไม่เชื่อความจริงแต่ยินดีในการอธรรมจะถูกพิพากษา” 2 เธสะโลนิกา 2:10-12 เมื่อพวกเขาปฏิเสธคำสอนจากพระวจนะของพระเจ้า พระองค์จึงทรงถอนพระวิญญาณบริสุทธิ์ไปและปล่อยให้พวกเขาตกอยู่กับการหลอกลวงที่พวกเขารัก {GC 431.1}GCth17 372.1
แต่พระคริสต์ยังคงทรงอุทธรณ์เพื่อมนุษย์ และยังประทานแสงสว่างให้แก่ผู้ที่แสวงหา ถึงแม้ว่าในช่วงแรกผู้ที่รอคอยการกลับมาของพระคริสต์จะไม่เข้าใจเรื่องนี้ ต่อมาภายหลังก็ได้รับความกระจ่างเมื่อพระคัมภีร์ได้อธิบายจุดยืนที่แท้จริงของพวกเขาออกมาให้พวกเขาเข้าใจ {GC 431.2}GCth17 372.2
ช่วงเวลา ค.ศ.1844 ผ่านพ้นไปแล้ว เวลาแห่งความทุกข์ยากยิ่งใหญ่มาถึงผู้ที่ยังคงยึดความเชื่อในเรื่องของการเสด็จกลับมา มีอยู่เพียงเรื่องเดียวที่ยังคงปลอบใจให้พวกเขายึดความจริงอย่างมั่นคงไว้คือ แสงสว่างที่ส่องนำความคิดของพวกเขาไปยังสถานนมัสการเบื้องบน บางคนละทิ้งความเชื่อเรื่องการคำนวณเวลาของคำพยากรณ์และให้เหตุผลว่าอิทธิพลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สถิตอยู่กับขบวนการรอการเสด็จกลับมาของพระคริสต์นั้นมาจากตัวแทนของมนุษย์หรือไม่ก็มาจากซาตาน คนอีกกลุ่มหนึ่งยึดไว้อย่างแน่วแน่ว่าพระเจ้าทรงนำพวกเขาผ่านพ้นเหตุการณ์ในอดีต และขณะที่พวกเขารอคอยและเฝ้าระวังและอธิษฐานเพื่อที่จะแสวงหาน้ำพระทัยของพระเจ้านั้น พวกเขามองเห็นมหาปุโรหิตยิ่งใหญ่ของพวกเขาเสด็จเข้าสู่พระราชกิจของการประกอบพิธีอีกพิธีหนึ่ง และพวกเขาติดตามพระองค์เข้าไปโดยความเชื่อ พวกเขารับการทรงนำให้เห็นพันธกิจในช่วงท้ายของคริสตจักร พวกเขาจึงเข้าใจข่าวของทูตสวรรค์องค์ที่หนึ่งและองค์ที่สองได้ดียิ่งขึ้นและพร้อมที่จะรับและประกาศให้โลกรู้ถึงคำเตือนอันน่าสะพรึงกลัวของข่าวของทูตสวรรค์องค์ที่สามในพระธรรมวิวรณ์บทที่ 14 {GC 431.3}GCth17 372.3