บทที่ 9 - การตรึงกางเขนพระคริสต์
พระบุตรของพระเจ้าถูกมอบให้แก่ฝูงชนเพื่อตรึงกางเขน เขาทั้งหลายได้พาพระผู้ช่วยให้รอดอันเป็นที่รักออกไป พระองค์ทรงอ่อนแอและหมดเรี่ยวแรงเนื่องด้วยความเจ็บปวดและความทุกข์ทรมานจากการถูกเฆี่ยนและทุบตี อีกทั้งพวกเขายังให้พระองค์แบกกางเขนอันหนักอึ้งซึ่งพวกเขาใช้ตรึงพระองค์ในไม่ช้านั้น แต่พระองค์ทรงหมดสติภายใต้ภาวะอันหนักยิ่งนี้ เขาทั้งหลายเอากางเขนที่หนักวางบนพระองค์ให้แบกถึงสามครั้ง และทั้งสามครั้งนั้นพระองค์ก็ทรงล้มลงหมดสติ แล้วพวกเขาจึงได้เกณฑ์ผู้ติดตามพระองค์มาคนหนึ่ง เป็นชายผู้ไม่ได้แสดงตัวว่ามีความเชื่อในพระคริสต์อย่างเปิดเผย แต่เขาก็เชื่อในพระองค์ พวกเขาเอากางเขนวางลงบนเขาและเขาก็แบกมันไปจนถึงจุดมรณะนั่น กลุ่มทูตสวรรค์เรียบเรียงกองทัพอยู่ในอากาศเหนือบริเวณนั้น สาวกจำนวนหนึ่งได้ติดตามพระองค์ไปยังภูเขาคาลวารีด้วยความโศกเศร้าและพิลาปคร่ำครวญอย่างขมขื่น พวกเขาระลึกถึงการทรงลาเสด็จเข้ากรุงเยรูซาเล็มอย่างผู้พิชิตของพระเยซูและมีพวกเขาติดตามไปโห่ร้องว่า “โฮซันนาในที่สูงสุด” แล้วเอาเสื้อผ้าของตนปูตามถนนหนทางและด้วยกิ่งปาล์มอันสวยงาม พวกเขาคิดว่าหลังจากนั้นพระองค์จะทรงครองราชอาณาจักรและเสวยราชทางโลกขึ้นเป็นเจ้าชายเหนืออิสราเอล ช่างเป็นฉากที่กลับตาลปัตรอะไรเช่นนี้! ความหวังสำหรับภายภาคหน้าของพวกเขาได้ถูกทำลายลงอย่างสิ้นเชิง! พวกเขาได้ติดตามพระเยซูไป ไม่ใช่ด้วยความรื่นเริงยินดี ไม่ใช่ด้วยหัวใจที่โลดเต้นและด้วยความหวังที่เปรมปรีดิ์ แต่ด้วยหัวใจที่ถูกครอบงำด้วยความกลัวและด้วยความสิ้นหวัง พวกเขาติดตามพระองค์ไปอย่างช้า ๆ และเศร้าเสียใจ พระองค์ผู้ซึ่งถูกทำให้อัปยศอดสูและถูกเหยียดให้ต่ำลงและผู้ซึ่งกำลังจะต้องสิ้นพระชนม์GCTh 25.1
มารดาของพระเยซูก็อยู่ที่นั่น หัวใจของนางถูกทิ่มแทงอย่างปวดร้าว ไม่ใช่เช่นคนอื่นใดเลยหากแต่เป็นมารดาที่รักใคร่ผู้หนึ่งจะสามารถรู้สึกได้ หัวใจที่เปี่ยมไปด้วยความทุกข์ของนางยังคงมีความหวัง เช่นเดียวกับเหล่าสาวก ว่าพระบุตรของนางนั้นจะกระทำการอัศจรรย์โอ่อ่าตระการบางประการและปลดปล่อยพระองค์เองจากเหล่าฆาตกรของพระองค์ นางทนต่อความคิดที่ว่าพระองค์จะทรงยอมให้พระองค์เองถูกตรึงกางเขนนั้นไม่ได้แต่มีการเตรียมทุกอย่างไว้พร้อมแล้ว และพวกเขาก็วางพระเยซูลงบนไม้กางเขน ค้อนและตะปูถูกนำมาที่นั่น หัวใจของสาวกแต่ละคนของพระองค์ได้หล่นวูบไป มารดาของพระเยซูรู้สึกรวดร้าวยิ่งนักเกือบจะทนไม่ได้ และในขณะที่พวกเขาทำให้พระเยซูนอนแผ่ลงบนไม้กางเขนและกำลังจะยึดพระหัตถ์ของพระองค์กับไม้กางเขนด้วยตะปูอันน่าโหดเหี้ยมนั้น เหล่าสาวกก็ได้พากันอุ้มมารดาของพระเยซูออกจากฉากนั้น เพื่อที่นางจะไม่ได้ยินเสียงทิ่มของตะปูในขณะที่พวกเขาตอกทิ่มผ่านกระดูกและกล้ามเนื้อพระหัตถ์ที่อ่อนนุ่มและพระบาทของพระองค์ พระเยซูไม่ทรงปริปากบ่นเลย เพียงแค่ร้องครางออกมาด้วยความเจ็บปวดรวดร้าว พระพักตร์ของพระองค์ซีดเผือดและเหงื่อเม็ดใหญ่ปรากฏขึ้นบนหน้าผากพระพักตร์ของพระองค์ ซาตานมีความปรีดาปราโมทย์ยิ่งนักในขณะที่พระบุตรของพระเจ้าจะต้องพาดผ่านความทุกข์ทรมานทั้งปวง หากแต่มันก็ยังกลัวที่อาณาจักรของมันได้สูญสิ้นไปแล้วและมันจะต้องตายGCTh 25.2
พวกเขาได้ยกกางเขนขึ้นหลังจากที่ตรึงพระเยซูแล้ว และปักลงบนพื้นดินที่เตรียมเอาไว้ ด้วยแรงกระแทกอย่างหนักหน่วงได้ฉีกเนื้อและทำให้เกิดความทุกข์ทรมานอันแสนสาหัสที่สุด พวกเขาทำให้การสิ้นพระชนม์ของพระองค์นั้นน่าอับอายอดสูมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เขาทั้งหลายได้ตรึงโจรสองคนไว้กับพระองค์ด้วย อยู่ฝั่งคนละข้างของพระเยซู โจรสองคนนั้นถูกลากตัวมาด้วยต้องใช้กำลัง และหลังจากยื้อยุดต่อสู้อยู่นาน มือของพวกเขาก็ถูกยึดไปข้างหลังและถูกตอกตรึงกับไม้กางเขนของพวกเขา แต่พระเยซูทรงยอมโดยอ่อนสุภาพ ไม่ต้องมีใครมาใช้กำลังยึดพระหัตถ์ของพระองค์กับไม้กางเขนเลย ในขณะที่โจรสองคนต่างสบถสาปแช่งเพชฌฆาตเหล่านั้น พระเยซูทรงอธิษฐานสำหรับศัตรูของพระองค์ด้วยความเจ็บปวด “พระบิดาเจ้าข้า ขอทรงยกโทษพวกเขา เพราะเขาไม่รู้ว่ากำลังทำอะไร” ไม่เพียงแต่ความปวดร้าวทางด้านร่างกายเท่านั้นที่พระเยซูได้ทรงทนทุกข์ แต่เป็นบาปทั้งปวงของทั้งโลกที่วางอยู่บนพระองค์GCTh 25.3
ในขณะที่พระเยซูทรงถูกตรึงอยู่ที่กางเขนนั้น บางคนที่เดินผ่านไปมาได้กล่าวเหยียดหยามพระองค์ ผงกศีรษะเยาะเย้ยราวกับว่าโค้งคำนับพระราชาและกล่าวว่า “เจ้าผู้จะทำลายพระวิหาร และสร้างขึ้นในสามวันน่ะ จงช่วยตัวเองให้รอด ถ้าเจ้าเป็นบุตรของพระเจ้า จงลงมาจากกางเขนเถิด” พญามารใช้คำพูดเดียวกันกับพระคริสต์ในถิ่นทุรกันดาร “ถ้าเจ้าเป็นบุตรของพระเจ้า” บรรดาปุโรหิตใหญ่และพวกธรรมาจารย์และพวกผู้ใหญ่ก็เยาะเย้ยแล้วพูดว่า “เขาช่วยคนอื่นให้รอดได้ แต่ช่วยตัวเองไม่ได้ เขาเป็นกษัตริย์ของชาติอิสราเอล ให้เขาลงมาจากกางเขนเดี๋ยวนี้เถิด เราจะได้เชื่อถือบ้าง” ทูตสวรรค์ที่บินร่อนอยู่เหนือฉากตรึงกางเขนของพระคริสต์รู้สึกเดือดดาล ในขณะที่เหล่าผู้ปกครองบ้านเมืองหัวเราะถากถางพระองค์ว่า “ถ้าพระองค์เป็นบุตรของพระเจ้า ก็ให้พระองค์ปลดปล่อยพระองค์เองเถิด” พวกท่านปรารถนาที่จะมาช่วยพระเยซู หากแต่ไม่ได้รับอนุญาตให้ทำเช่นนั้นได้ จุดประสงค์ของพระราชกิจของพระองค์เกือบจะสำเร็จแล้ว ในขณะที่พระเยซูทรงถูกตรึงอยู่ที่กางเขนตลอดชั่วโมงแห่งความเจ็บปวดอันน่ากลัวนั้น พระองค์ไม่ได้ทรงลืมมารดาของพระองค์ นางไม่สามารถอยู่ห่างจากฉากอันแสนเจ็บปวดนี้ได้ บทเรียนสุดท้ายของพระเยซูเป็นบทเรียนแห่งเมตตาจิตและมนุษยธรรม พระองค์ทรงทอดพระเนตรมารดาของพระองค์ผู้ซึ่งหัวใจแทบจะแตกสลายด้วยความปวดร้าว แล้วทรงทอดพระเนตรสาวกยอห์นที่พระองค์ทรงรัก พระองค์ทรงตรัสกับมารดาของพระองค์ว่า “หญิงเอ๋ย จงดูบุตรของท่านเถิด” แล้วพระองค์ทรงตรัสกับยอห์นว่า “จงดูมารดาของท่านเถิด” และตั้งแต่เวลานั้นมายอห์นก็รับนางมาอยู่ในบ้านของตนGCTh 26.1
เนื่องจจากความทรมานอันแสนสาหัสของพระองค์นี้ พระเยซูก็ทรงกระหายน้ำ แต่พวกเขาก็ยังดูหมิ่นทับถมพระองค์เพิ่มขึ้นโดยนำเหล้าองุ่นเปรี้ยวระคนกับของขมมาให้พระองค์ทรงดื่ม ทูตสวรรค์เฝ้ามองฉากการตรึงกางเขนอันน่าสยดสยองของผู้บัญชาการอันเป็นที่รักของพวกท่าน จนกระทั่งพวกท่านไม่สามารถจะทนดูต่อไปได้อีกแล้ว จึงคลุมหน้าตนเองเบือนออกจากฉากตรงหน้านั้น ดวงอาทิตย์ปฏิเสธที่จะมองภาพอันน่ากลัวนี้ พระเยซูทรงร้องด้วยเสียงอันดังซึ่งทิ่มแทงความหวาดกลัวไปที่หัวใจของอาชญากรของพระองค์ว่า “สำเร็จแล้ว” แล้วม่านในพระวิหารก็ขาดออกตั้งแต่บนตลอดล่าง แผ่นดินโลกก็สั่นสะท้าน ศิลาแตกออกจากกัน ความมืดมัวยิ่งใหญ่ได้บังเกิดทั่วแผ่นดินโลก ความหวังสุดท้ายของเหล่าสาวกดูเหมือนจะถูกกวาดไปเสียสิ้นแล้วเมื่อพระเยซูทรงสิ้นพระชนม์ ผู้ติดตามหลายคนของพระองค์ได้เห็นฉากแห่งความทุกข์ทรมานและการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ และถ้วยแห่งความโศกเศร้าเสียใจของพวกเขาก็มีอยู่เต็มเปี่ยมGCTh 26.2
แล้วซาตานก็ไม่สามารถไชโยโห่ร้องได้เหมือนที่มันเคยทำ มันหวังว่าจะสามารถทำลายแผนการแห่งความรอดได้ แต่แผนการนี้ได้ถูกวางไว้อย่างลึกเกินไป และตอนนี้เนื่องด้วยการสิ้นพระชนม์ของพระเยซู มันรู้ว่ามันจะต้องตายในที่สุดและอาณาจักรของมันก็จะถูกยึดเอาไปและมอบให้แก่พระเยซู มันได้เรียกพวกทูตสมุนของมันเข้าที่ประชุมปรึกษา มันไม่มีอะไรที่เป็นต่อเหนือพระบุตรของพระเจ้าเลย และตอนนี้พวกมันจะต้องเพิ่มความพยายามให้มากขึ้นและเปลี่ยนไปเล่นงานบรรดาผู้ติดตามของพระเยซูโดยใช้อำนาจและความฉลาดแกมโกงของพวกมัน พวกมันจะต้องขัดขวางทุกคนที่พวกมันสามารถทำได้จากความรอดที่พระเยซูทรงซื้อไว้ให้แก่พวกเขา โดยการกระทำเช่นนี้ซาตานยังคงทำงานต่อต้านการปกครองของพระเจ้า และยังต้องการที่จะยึดเอาทุกคนที่มันจะทำได้มาจากพระเยซูเพื่อตัวของมันเอง เพราะว่าบรรดาความบาปของคนเหล่านั้นผู้ซึ่งได้รับการไถ่โดยพระโลหิตของพระคริสต์และได้รับชัยชนะในท้ายที่สุดก็จะม้วนกลับมาหาผู้ที่เป็นแหล่งกำเนิดของความบาปคือพญามารนั่นเอง และมันก็จะต้องแบกรับความบาปของคนเหล่านั้น ในขณะที่ผู้ที่ไม่ยอมรับความรอดที่มอบให้โดยพระเยซูก็จะต้องแบกรับความบาปของพวกเขาไว้เองGCTh 26.3
ชีวิตของพระเยซูนั้นไม่มีความยิ่งใหญ่ทางโลกหรือการแสดงสุรุ่ยสุร่ายใด ๆ ชีวิตที่ต่ำต้อยและปฏิเสธความต้องการของตัวเองของพระองค์นั้นช่างตรงกันข้ามอย่างลิบลับกับชีวิตของบรรดาปุโรหิตและพวกผู้ใหญ่ผู้ซึ่งรักความสะดวกสบายและเกียรติยศทางโลก และชีวิตที่บริสุทธิ์และเคร่งครัดของพระเยซูยังเป็นการตำหนิพวกเขาอย่างต่อเนื่องในเรื่องความบาปของพวกเขา พวกเขารังเกียจพระองค์ด้วยเนื่องจากความถ่อมพระองค์และความบริสุทธิ์ของพระองค์ แต่ผู้ที่รังเกียจพระองค์นั้น ณ ที่นั้น วันหนึ่งพวกเขาจะได้เห็นพระองค์ในความยิ่งใหญ่แห่งฟ้าสวรรค์และพระสง่าราศีที่ไม่มีใครเหนือกว่าของพระบิดา พระองค์ทรงถูกล้อมด้วยศัตรูมากมายในห้องพิจารณาคดี ศัตรูผู้ซึ่งกระหายพระโลหิตของพระองค์ แต่คนหัวใจแข็งกระด้างเหล่านั้นที่ได้ร้องว่า “ให้ความผิดด้วยเรื่องความตายของเขาตกอยู่แก่เรา ทั้งบุตรของเราด้วย” จะได้เห็นพระองค์ในฐานะกษัตริย์ผู้ทรงเกียรติ เหล่าชาวสวรรค์พลโยธาทุกองค์จะคุ้มกันพระองค์ตลอดทางของพระองค์ด้วยเสียงเพลงแห่งชัยชนะ แห่งความโอ่อ่าตระการ และแห่งกำลังอำนาจยิ่งใหญ่แด่พระองค์ผู้ทรงถูกนำไปฆ่า แต่กลับมีชีวิตอีกครั้งดังผู้พิชิตที่ยิ่งใหญ่ ชายถ่อยผู้อ่อนแอและน่าสังเวชได้ถ่มน้ำลายรดพระพักตร์ของกษัตริย์ผู้เปี่ยมไปด้วยสง่าราศี ในขณะที่เสียงร้องตะโกนโห่ร้องแสดงความมีชัยอันโหดเหี้ยมดังขึ้นจากฝูงชนที่ดูหมิ่นเหยียดหยามอย่างต่ำช้า เขาทั้งหลายทำให้พระพักตร์นั้นมีรอยตำหนิด้วยการทุบตีและการทารุณ ซึ่งได้ปกคลุมไปทั่วฟ้าสวรรค์ด้วยการยกย่องสรรเสริญ (ที่ทรงยอมเช่นนั้น) พวกเขาจะได้ยลพระพักตร์นั้นอีกครั้ง พระพักตร์ที่สว่างจ้าราวกับดวงอาทิตย์ในตอนเที่ยงวันและพวกเขาจะดิ้นรนหนีให้พ้นจากพระพักตร์นั้น แทนเสียงตะโกนโห่ร้องแห่งชัยชนะอันโหดเหี้ยม พวกเขาจะกลับร้องโอดครวญโหยหวนด้วยความหวาดกลัวเพราะพระองค์ พระเยซูจะทรงยื่นพระหัตถ์ของพระองค์ที่มีรอยจากการตรึงของพระองค์ออกไป รอยตำหนิแห่งความทารุณโหดร้ายนี้ที่พระองค์จะทรงแบกรับไปตลอด รอยตะปูทุกรอยจะบอกเล่าเรื่องราวของการไถ่บาปอันประเสริฐเพื่อมนุษย์และด้วยราคาที่สูงลิบลิ่วที่ได้ทรงซื้อไว้ ชายเหล่านั้นที่ได้แทงที่สีข้างของพระเจ้าแห่งชีวิตจะได้มองดูรอยแทงและจะร้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวดรวดร้าวยิ่งนักในส่วนของการกระทำที่พวกเขาได้ทำให้พระกายของพระองค์ต้องเป็นรอยตำหนิ อาชญากรของพระองค์รู้สึกก่อกวนใจอย่างรุนแรงต่อคำจารึกบนแผ่นไม้ซึ่งติดไว้ที่กางเขนเหนือพระเศียรที่อ่านได้ว่า “กษัตริย์ของชนชาติยิว” แต่พวกเขาจะถูกบังคับให้ได้เห็นพระองค์ในพระสง่าราศีทั้งมวลด้วยฤทธานุภาพแห่งจอมกษัตริย์ยิ่งใหญ่ พวกเขาจะได้เห็นฉลองพระองค์ และที่ต้นพระอูรุ (ต้นขา) ของพระองค์ซึ่งมีคำที่เขียนด้วยตัวอักษรที่มีชีวิตว่า “จอมกษัตริย์และจอมเจ้านาย” พวกเขาได้ร้องกล่าวเหยียดหยามพระองค์เมื่อพระองค์ทรงถูกตรึงอยู่บนกางเขนว่า “ให้เจ้าพระคริสต์ กษัตริย์แห่งอิสราเอล ลงมาจากกางเขนเถอะ พวกเราจะได้เห็นและเชื่อ” แล้วพวกเขาจะได้เห็นพระองค์ด้วยฤทธานุภาพและด้วยสิทธิอำนาจแห่งจอมกษัตริย์ เขาทั้งหลายจะไม่ต้องเรียกร้องหาหลักฐานใด ๆ ในการเป็นจอมกษัตริย์และพระสง่าราศีเป็นล้นพ้น พวกเขาจะถูกบังคับให้ต้องยอมรับว่า “ขอให้พระองค์ผู้เสด็จมาในพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระเจริญ”GCTh 27.1
การสั่นสะท้านของแผ่นดินโลก ศิลาที่แตกออกจากกัน ความมืดที่แผ่ปกคลุมแผ่นดินโลก และเสียงร้องอันดังยิ่งของพระเยซูที่ทรงตรัสว่า “สำเร็จแล้ว” ในขณะที่พระองค์ทรงปล่อยพระวิญญาณจิตออกไปนั้น ทำให้ศัตรูของพระองค์เป็นทุกข์นักและทำให้เหล่าฆาตกรของพระองค์ตัวสั่นเทา เหล่าสาวกต่างอัศจรรย์ใจในการสำแดงอันผิดธรรมดาเหล่านี้ แต่ความหวังของพวกเขากลับพังทลายโดยสิ้นเชิง พวกเขากลัวว่าพวกยิวจะพยายามทำลายพวกเขาด้วย พวกเขาคิดว่าความเกลียดชังเช่นนั้นที่ได้สำแดงต่อพระบุตรของพระเจ้าคงไม่จบเพียงแค่นั้นอย่างแน่นอน เหล่าสาวกตกอยู่ในชั่วโมงแห่งความโดดเดี่ยวและโศกเศร้า ร้องไห้คร่ำครวญต่อความผิดหวังของพวกเขา พวกเขาคาดหวังว่าพระองค์จะทรงขึ้นครองราชย์ทางโลกขึ้นเป็นเจ้าชาย หากแต่ความหวังของพวกเขาต้องตายลงไปพร้อมกับพระเยซูด้วยความโศกเศร้าและสิ้นหวังนั้นเอง พวกเขาเกิดความสงสัยว่าพระเยซูได้หลอกลวงพวกเขาหรือไม่ มารดาของพระองค์ได้ถ่อมตัวลงและแม้แต่ความเชื่อของนางเองที่ว่าพระองค์ทรงเป็นพระเมสสิยาห์ก็สั่นคลอนไปด้วยGCTh 27.2
ถึงแม้ว่าเหล่าสาวกจะสิ้นหวังในองค์พระเยซูก็ตาม แต่กระนั้นพวกเขาก็รักพระองค์ และเคารพและให้เกียรติพระศพของพระองค์ เพียงแต่ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรเพื่อให้ได้พระศพมา โยเซฟชาวอาริมาเธียผู้เป็นที่ปรึกษาที่น่านับถือและเป็นสาวกที่แท้จริงของพระเยซูได้สำแดงอิทธิพลของตน ท่านได้เข้าไปพบกับปีลาดเป็นการส่วนตัวแต่ด้วยความกล้าหาญและขอพระศพของพระองค์ ท่านไม่กล้าเข้าไปอย่างเปิดเผย เนื่องจากความเกลียดชังของชาวยิวนั้นใหญ่ยิ่งนัก จนเหล่าสาวกกลัวว่าพวกเขาจะพยายามขัดขวางมิให้พระศพของพระเยซูได้พักผ่อนในที่สงบและมีเกียรติ แต่กระนั้นปีลาดก็อนุญาตตามคำขอของท่าน และในขณะที่พวกเขาอัญเชิญพระศพของพระเยซูลงมาจากกางเขนนั้น ความทุกข์โศกเศร้าของพวกเขาก็กลับมาอีกครั้ง และพวกเขาได้ร้องไห้คร่ำครวญถึงความหวังที่พังทลายของพวกเขาอย่างสุดแสนเจ็บปวด พวกเขาเอาผ้าป่านมาพันพระเยซูและโยเซฟก็ได้บรรจุพระศพของพระองค์ไว้ในอุโมงค์ฝังศพใหม่ของท่านเอง ฝ่ายบรรดาหญิงสาวที่เคยเป็นผู้ติดตามที่ถ่อมตนของพระองค์ในขณะที่ทรงมีพระชนม์อยู่นั้น ก็ยังคงอยู่ใกล้พระองค์หลังจากที่ทรงสิ้นพระชนม์แล้ว และไม่ยอมทอดทิ้งพระองค์จนกว่าพวกหล่อนจะได้เห็นพระศพที่ศักดิ์สิทธิ์ได้ถูกวางไว้ในอุโมงค์ และหินก้อนใหญ่มหึมาถูกกลิ้งมาปิดปากอุโมงค์ไว้ด้วยเกรงว่าศัตรูของพระองค์จะพยายามมาเอาพระศพไป แต่ว่าพวกเขาไม่จำเป็นต้องกลัวเลย เพราะข้าพเจ้าได้เห็นพลโยธาทูตสวรรค์เฝ้าดูที่พักสงบของพระเยซูด้วยใส่ใจเหลือที่จะพรรณนาได้ พวกท่านได้เฝ้ายามอุโมงค์นั้นพร้อมทั้งคอยคำสั่งอย่างกระวนกระวายที่จะแสดงบทบาทของพวกท่านในการปลดปล่อยกษัตริย์ผู้ทรงสง่าราศีจากคุกมืดของพระองค์GCTh 28.1
ฆาตกรของพระคริสต์กลัวว่าพระองค์อาจจะเป็นขึ้นมาจากความตายและหลบหนีพวกเขาไปได้ พวกเขาจึงได้ขอปีลาดให้เฝ้ายามที่หน้าอุโมงค์ฝังศพจนถึงวันที่สาม ปีลาดได้อนุญาตให้พวกเขานำยามที่มีอาวุธครบมือไปเฝ้าที่อุโมงค์ ประทับตราไว้ที่หินหน้าประตู ด้วยเกรงว่าเหล่าสาวกจะมาลักเอาพระศพไปแล้วประกาศว่าพระองค์ทรงเป็นขึ้นมาจากความตายแล้วGCTh 28.2
ดูมัทธิว 21:1-11; 27:32-66; มันะโก 15:21-47; ลูกา 23:26-56; ยอห์น 19:17-42; วิวรณ์ 19:11-16GCTh 28.3