Loading...
Larger font
Smaller font
Copy
Print
Contents

สงครามครั้งยิ่งใหญ่

 - Contents
  • Results
  • Related
  • Featured
No results found for: "".
  • Weighted Relevancy
  • Content Sequence
  • Relevancy
  • Earliest First
  • Latest First

    บทที่ 10 - การฟื้นคืนพระชนม์ของพระคริสต์

    เหล่าสาวกพักผ่อนในวันสะบาโต ยังคงโศกเศร้าต่อการสิ้นพระชนม์ของพระผู้เป็นเจ้าของพวกเขา ในขณะที่พระเยซูกษัตริย์ผู้ทรงสง่าราศีก็ทรงพักผ่อนในอุโมงค์ฝังศพ ค่ำคืนได้ผ่านไปอย่างเชื่องช้า และในขณะที่ยังมืดอยู่นั้น ทูตสวรรค์ต่างโบยบินอยู่เหนือุโมงค์นั่น ด้วยรู้ว่าเวลาแห่งการปลดปล่อยพระบุตรอันเป็นที่รักของพระเจ้าและเป็นผู้บัญชาการที่รักยิ่งของพวกท่านนั้นกำลังจะมาถึงแล้ว และในขณะที่เฝ้าคอยชั่วโมงแห่งชัยชนะของพระองค์ด้วยอารมณ์ที่เต็มเปี่ยมอย่างสุดซึ้งนั้น ทูตสวรรค์องค์หนึ่งร่างกำยำและทรงอานุภาพได้บินร่อนลงมาจากฟ้าสวรรค์อย่างว่องไว สัณฐานของทูตนั้นเหมือนแสงฟ้าแลบ และเสื้อขาวดังหิมะ ความสว่างของทูตนั้นได้ขับไล่กระจายความมืดออกไปจากทางของท่าน และทำให้ทูตชั่วร้ายผู้ที่อ้างสิทธิในพระศพของพระเยซูอย่างมีชัยชนะนั้นต้องหนีกระเจิงไปด้วยความหวาดกลัวจากความสุกสว่างและสง่าราศีของท่าน ทูตสวรรค์องค์หนึ่งในบรรดาพลโยธาทูตสวรรค์ผู้เป็นพยานในฉากแห่งความอัปยศอดสูของพระเยซู และเป็นผู้ที่เฝ้าดูอยู่ที่สถานที่พักสงบอันศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ ได้บินไปหาทูตที่มาจากฟ้าสวรรค์นั้น และทั้งคู่ก็ได้บินลงมาด้วยกันที่อุโมงค์ฝังศพ แผ่นดินโลกสั่นสะท้านในขณะที่พวกท่านได้บินเข้ามาใกล้และก็ได้เกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ยิ่งนัก ทูตสวรรค์แข็งแกร่งและทรงอานุภาพจับก้อนหินและเลื่อนออกไปจากปากอุโมงค์อย่างรวดเร็วและนั่งอยู่บนก้อนหินนั้นGCTh 29.1

    ความหวาดกลัวยิ่งได้ครอบงำทหารยาม ตอนนี้อำนาจของพวกเขาในการยึดเอาพระศพของพระเยซูอยู่ที่ไหนกัน พวกเขาไม่ได้คำนึงถึงหน้าที่ของพวกเขาหรือคิดถึงว่าพวกสาวกจะมาลักเอาพระศพไป พวกเขาพิศวงและตกใจกลัวยิ่งนัก ในขณะที่ความสุกสว่างของทูตสวรรค์นั้นได้ฉายรอบส่องสว่างยิ่งกว่าดวงอาทิตย์เสียอีก ทหารโรมันได้เห็นทูตสวรรค์และล้มลงที่พื้นเป็นเหมือนคนตาย ทูตองค์หนึ่งกลิ้งก้อนหินกลับอย่างมีชัยและร้องด้วยเสียงอันทรงพลังและชัดเจนว่า “ท่านผู้เป็นพระบุตรของพระเจ้า! พระบิดาของพระองค์ทรงเรียก! โปรดออกมาเถิด!” ความตายไม่สามารถปกครองพระองค์ได้อีกต่อไป พระเยซูทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย ทูตสวรรค์อีกองค์หนึ่งได้เข้าไปในอุโมงค์ และในขณะที่พระเยซูทรงเป็นขึ้นมาด้วยชัยชนะนั้น ทูตองค์นั้นได้แก้ผ้าที่พันพระเศียรของพระองค์อยู่ และพระเยซูทรงดำเนินออกมาอย่างผู้มีชัยชนะ พลโยธาทูตสวรรค์จ้องมองฉากเหตุการณ์นี้ด้วยเกรงขามอันน่าคร้ามกลัว และในขณะที่พระเยซูทรงดำเนินออกมาจากอุโมงค์ด้วยความสง่างามยิ่งใหญ่นั้น ทูตสวรรค์ที่ส่องประกายแสงหมอบกราบลงถึงพื้นและถวายสาธุการแด่พระองค์ และแซ่ซ้องสรรเสริญพระองค์ด้วยเสียงเพลงแห่งชัยชนะและความมีชัย ที่ความตายนั้นไม่สามารถกักขังเชลยผู้ที่มาจากพระเจ้านี้ได้อีกต่อไป ตอนนี้ซาตานไม่ได้มีชัยชนะ ทูตสมุนของมันได้หนีกระเจิงไปจากแสงสว่างอันโชติช่วงแทงทะลุของทูตแห่งฟ้าสวรรค์เหล่านั้น พวกมันได้บ่นคร่ำครวญอย่างขมขื่นต่อกษัตริย์ของมันว่า เหยื่อของพวกมันได้ถูกแย่งเอาไปจากพวกมันอย่างรุนแรง และพระองค์ผู้ที่มันเกลียดชังอย่างมากได้เป็นขึ้นมาจากความตายแล้วGCTh 29.2

    ซาตานและทูตสมุนของมันได้เริงร่ากับชัยชนะแค่เพียงชั่วครู่ที่อำนาจเหนือมนุษย์ที่ล้มลงของมันได้ทำให้พระเจ้าแห่งชีวิตนั้นต้องลงไปนอนในหลุมฝังศพได้ แต่ชัยชนะแห่งนรกของพวกมันช่างสั้นเหลือเกิน เพราะในขณะที่พระเยซูทรงดำเนินออกมาจากคุกมืดดังผู้มีชัยยิ่งใหญ่นั้น ซาตานมันรู้ว่าหลังจากนั้นไม่นานมันจะต้องตาย และอาณาจักรของมันจะต้องถูกส่งผ่านไปให้พระองค์ผู้ที่เป็นเจ้าของที่แท้จริง มันคร่ำครวญและรู้สึกเดือดดาลที่ถึงแม้มันจะใช้ความพยายามและพลังอำนาจทั้งหมดของมันก็ตาม พระเยซูก็ไม่ได้พ่ายแพ้ต่อมัน แต่ยังได้เปิดหนทางแห่งความรอดให้แก่มนุษย์และใครก็ตามที่เดินผ่านเข้าไปนั้นก็จะรอดได้GCTh 29.3

    ช่วงเวลาหนึ่งซาตานดูเศร้าและแสดงความทุกข์โศกออกมา มันได้ปรึกษาหารือกับทูตสมุนทูตของมันว่า พวกมันควรจะทำอย่างไรต่อไปในการต่อต้านการปกครองของพระเจ้า ซาตานกล่าวขึ้นว่า “พวกเจ้าจะต้องรีบไปหาบรรดาปุโรหิตใหญ่และพวกผู้ใหญ่ พวกเราหลอกลวงพวกมันได้สำเร็จและทำให้พวกมันตาบอดและมีหัวใจที่แข็งกระด้างต่อพระเยซูได้แล้ว พวกเราได้ทำให้พวกมันเชื่อว่าพระองค์เป็นคนลวงโลก แล้วทหารโรมันนั่นมันจะต้องบอกข่าวอันน่าเกลียดนี้ไปทั่วว่าพระคริสต์ได้เป็นขึ้นมาแล้ว พวกเราได้นำพาให้พวกปุโรหิตและพวกผู้ใหญ่เหล่านั้นเกลียดชังพระเยซูและฆ่าพระองค์ได้แล้ว ทีนี้จงทำแสงสว่างให้กระจ่างจ้าต่อหน้าพวกมันว่าพวกมันคือฆาตกรที่ฆ่าพระองค์ ถ้ามันเป็นที่รู้กันทั่วว่าพระเยซูเป็นขึ้นมาแล้ว พวกมันจะต้องถูกหินขว้างตายจากประชาชน เหตุที่พวกมันได้ฆ่าคนบริสุทธิ์ตาย”GCTh 30.1

    ในขณะที่พลโยธาทูตสวรรค์ได้ผ่านกลับไปยังฟ้าสวรรค์และแสงสว่างและสง่าราศีได้ผ่านพ้นไปแล้ว ข้าพเจ้าได้เห็นทหารโรมันลุกขึ้นเพื่อดูว่าปลอดภัยหรือยังที่พวกเขาจะมองไปรอบ ๆ ได้ พวกเขารู้สึกตะลึงงันในขณะที่เห็นหินขนาดใหญ่ถูกกลิ้งออกจากปากอุโมงค์และพระเยซูได้ทรงเป็นขึ้นมา พวกเขารีบไปบอกเหล่าปุโรหิตใหญ่และพวกผู้ใหญ่ถึงเรื่องราวอัศจรรย์ที่พวกเขาได้เห็น และในขณะที่พวกฆาตกรเหล่านั้นได้ยินรายงานอันน่าพิศวงนี้แล้ว ความซีดเผือดก็ประทับอยู่บนทุกใบหน้า ความหวาดกลัวครอบงำพวกเขาในสิ่งที่พวกเขาได้กระทำลงไป แล้วพวกเขาก็ได้ตระหนักว่าถ้าหากรายงานดังกล่าวนั้นถูกต้องล่ะก็ พวกเขาก็ได้พ่ายแพ้เสียแล้ว พวกเขารู้สึกตื้อมึนงงไปชั่วขณะหนึ่ง แล้วมองหน้ากันไปมาอยู่ในความเงียบโดยไม่รู้ว่าจะทำอะไรหรือพูดอะไร พวกเขาตกอยู่ในสถานที่ที่พวกเขาไม่อยากจะเชื่อเลย (ว่าพระเยซูได้เป็นขึ้นมา) เพราะถ้าพวกเขาเชื่อเช่นนั้น มันก็จะกลายเป็นการตัดสินโทษตัวเอง พวกเขาเลี่ยงไปเฉพาะพวกเขาเองอีกทางหนึ่งเพื่อปรึกษากันว่าจะทำอย่างไรต่อไป พวกเขาได้ตกลงกันว่าถ้าหากมีการแพร่กระจายออกไปว่าพระเยซูได้เป็นขึ้นมาแล้ว และรายงานเรื่องพระสง่าราศีอันน่าอัศจรรย์ใจที่ทำให้ทหารยามล้มลงราวกับคนตายนี้ได้ไปถึงประชาชนล่ะก็ เขาทั้งหลายจะต้องเดือดดาลเป็นแน่และจะมาเข่นฆ่าพวกเขา พวกเขาได้ตกลงกันจ้างทหารเหล่านั้นให้เก็บเรื่องนี้เป็นความลับ พวกเขาได้เสนอเงินเป็นอันมากให้แก่พวกทหารแล้วบอกว่า “พวกเจ้าจงพูดว่า ‘พวกสาวกของเขามาลักเอาศพไปในเวลากลางคืนเมื่อเรานอนหลับอยู่’” แล้วเมื่อทหารยามถามว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาโทษฐานหลับยามในหน้าที่ พวกปุโรหิตและพวกผู้ใหญ่จึงกล่าวว่า จะพูดแก้ไขต่อเจ้าเมืองและให้พวกเขาพ้นโทษ ด้วยเห็นแก่เงินทหารโรมันจึงได้ขายเกียรติยศของพวกเขา และยอมตกลงตามคำแนะนำของบรรดาปุโรหิตและพวกผู้ใหญ่GCTh 30.2

    เมื่อพระเยซูทรงถูกแขวนอยู่ที่กางเขนนั้น พระองค์ทรงร้องขึ้นว่า “สำเร็จแล้ว” ศิลาก็ได้แตกออกจากกัน แผ่นดินโลกก็สั่นสะท้าน และหลุมฝังศพบางหลุมก็สั่นไหวและเปิดออก เมื่อพระเยซูทรงฟื้นขึ้นจากความตายและทรงพิชิตความตายและหลุมฝังศพ พระองค์ทรงดำเนินออกมาจากคุกมืดดังผู้พิชิตชัย ในขณะที่แผ่นดินกำลังโงนเงนและสั่นไหว และสง่าราศีอันยิ่งใหญ่แห่งฟ้าสวรรค์ได้รวมกันเป็นกลุ่มอยู่รอบตำบลศักดิ์สิทธิ์นั้น ด้วยเชื่อฟังการทรงเรียกของพระองค์ ผู้ชอบธรรมหลายคนที่ได้ตายไปแล้วก็ได้ออกมาเพื่อเป็นพยานว่าพระองค์ทรงเป็นขึ้นมาแล้ว เหล่าวิสุทธิชนที่ฟื้นขึ้นจากความตายที่เป็นที่โปรดปรานได้ออกมาด้วยสง่าราศี พวกเขาคือผู้ที่ได้รับการเลือกสรรเพียงไม่กี่คนและเป็นผู้ที่บริสุทธิ์ที่ได้มีชีวิตอยู่ในทุกยุคสมัยตั้งแต่การทรงสร้างสรรพสิ่งลงมาจนถึงสมัยของพระคริสต์ และในขณะที่บรรดาปุโรหิตใหญ่และฟาริสีกำลังพยายามปกปิดเรื่องการฟื้นพระชนม์ของพระคริสต์นั้น พระเจ้าได้ทรงเลือกกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งให้ขึ้นมาจากหลุมฝังศพของพวกเขาเพื่อเป็นพยานยืนยันว่าพระเยซูได้ทรงเป็นขึ้นมาแล้วและเพื่อประกาศพระสง่าราศีของพระองค์GCTh 30.3

    บรรดาผู้ที่เป็นขึ้นมานั้นมีขนาดและรูปร่างที่แตกต่างกันไป ข้าพเจ้าได้รับการบอกแจ้งว่าประชากรของโลกมนุษย์ได้ถูกทำให้ตกต่ำลง สูญเสียกำลังและความสวยงามของพวกเขาไป ซาตานมีอำนาจแห่งโรคภัยและความตาย และในทุกยุคสมัยนั้นคำสาปแช่งก็เป็นที่เห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้น และอำนาจของซาตานก็เห็นได้อย่างง่ายดายขึ้น ผู้ที่ถูกยกขึ้นมาบางคนนั้นมีหน้าตาและรูปร่างท่าทางสง่างามกว่าผู้อื่น ข้าพเจ้าได้รับการบอกแจ้งว่าคนเหล่านั้นที่ได้มีชีวิตอยู่ในสมัยของโนอาห์และอับราฮัมมีลักษณะที่คล้ายกับทูตสวรรค์มากกว่าทั้งด้านรูปทรง ความสวยงาม และพละกำลัง หากแต่ว่าในแต่ละยุคที่ผ่านมานั้นก็ค่อย ๆ อ่อนแอลงและเกิดโรคภัยมากขึ้นและมีช่วงชีวิตที่สั้นลง ซาตานมันได้เรียนรู้วิธีการที่จะก่อกวนมนุษย์และทำให้มนุษยชาติอ่อนแอลงGCTh 31.1

    บรรดาผู้บริสุทธิ์เหล่านั้นที่ได้ออกมาหลังจากที่การฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซูนั้นได้ไปปรากฏต่อหลายคน ได้บอกเขาทั้งหลายว่าการถวายเครื่องบูชาสำหรับมนุษย์นั้นได้สำเร็จบริบูรณ์แล้ว ว่าพระเยซูผู้ซึ่งชาวยิวตรึงที่กางเขนได้เป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว และกล่าวเสริมว่า “พวกเราก็ได้เป็นขึ้นมาพร้อมกับพระองค์ด้วย” พวกเขาได้เป็นพยานว่าโดยมหิทธิฤทธิ์ของพระองค์นั่นเองที่พวกเขาได้ถูกเรียกให้ออกมาจากหลุมฝังศพของพวกเขา แม้จะมีรายงานเท็จแพร่กระจายออกไปก็ตาม เรื่องราวก็ไม่อาจถูกปิดบังได้โดยซาตาน โดยทูตสมุนของมัน หรือโดยบรรดาปุโรหิตใหญ่ เพราะกลุ่มวิสุทธิชนที่ได้ถูกนำออกมาจากหลุมฝังศพของพวกเขานี้ได้กระจายข่าวที่น่ายินดีและน่าอัศจรรย์นี้ไปทั่ว อีกทั้งพระเยซูยังได้ทรงปรากฏพระองค์ต่อเหล่าสาวกของพระองค์ที่กำลังเศร้าโศกและหัวใจแตกสลายอีกด้วย ทำให้ความกลัวของพวกเขากระจัดกระจายไปและทำให้เขาทั้งหลายปีติและยินดีGCTh 31.2

    ในขณะที่ข่าวนี้ได้แพร่กระจายจากเมืองสู่เมืองและจากตำบลสู่ตำบลนั้น ก็ถึงคราวของพวกยิวที่เกิดความกลัวที่จะเสียชีวิตของตนและได้ปิดซ่อนความเกลียดชังที่พวกเขายึดมั่นที่มีต่อเหล่าสาวกไว้ ความหวังเดียวของพวกเขาก็คือการปล่อยข่าวอันเป็นเท็จของพวกเขา และพวกที่ปรารถนาให้ข่าวนี้เป็นความจริงก็ได้เชื่ออย่างนั้น ปีลาดตัวสั่นเทา เขาเชื่อในคำพยานที่แรงกล้านี้ว่าพระเยซูทรงเป็นขึ้นมาจากความตายและหลายคนที่พระองค์ทรงนำให้เป็นขึ้นมาพร้อมกับพระองค์ด้วย แล้วสันติสุขของเขาก็ได้ถูกพรากจากเขาไปชั่วนิรันดร์ เพื่อเกียรติยศทางโลก ด้วยกลัวว่าจะสูญเสียสิทธิอำนาจและชีวิตของตนเอง เขาจึงได้มอบพระเยซูให้ถึงแก่ความตาย ขณะนี้เขามั่นใจอย่างเต็มที่แล้วว่าเขาได้มีความผิดมิใช่เพียงแค่ต่อมนุษย์ธรรมดาที่บริสุทธิ์เท่านั้น แต่เป็นพระโลหิตของพระบุตรของพระเจ้า ชีวิตของปีลาดช่างน่าสังเวชเสียจริง... น่าสังเวชต่อจุดจบของมัน ความสิ้นหวังและความปวดร้าวได้บดขยี้ทุก ๆ ความรู้สึกที่เปี่ยมไปด้วยความหวังและความชื่นชมยินดี เขาปฏิเสธที่จะได้รับการปลอบประโลม และได้ตายอย่างน่าสังเวชที่สุดGCTh 31.3

    หัวใจของเฮโรดยังคงแข็งกระด้างยิ่งขึ้น และเมื่อเขาได้ยินว่าพระเยซูทรงเป็นขึ้นมาแล้วเขาก็มิได้รู้สึกหนักใจมากนัก เขาได้เอาชีวิตของยากอบ และเมื่อเขาเห็นว่าการนั้นเป็นที่ชอบใจของพวกยิว เขาก็จับเปโตรด้วยตั้งใจที่จะประหารชีวิตท่าน แต่ว่าพระเจ้าทรงมีภารกิจให้เปโตรทำ และได้ส่งทูตสวรรค์ของพระองค์และปลดปล่อยท่านไป การพิพากษาได้มาเยี่ยมเยียนเฮโรด พระเจ้าได้ทรงโบยตีเขาต่อสายตาประชาชนหมู่ใหญ่ในขณะที่เขากำลังยกย่องตัวเขาเองต่อหน้าประชาชนทั้งหลาย และเขาได้ตายอย่างน่าหวาดเสียวGCTh 31.4

    ในเวลารุ่งสางก่อนที่จะมีแสงสว่าง เหล่าผู้หญิงบริสุทธิ์ได้มาถึงที่อุโมงค์ฝังศพนำเครื่องหอมมาเพื่อที่จะชโลมพระศพของพระเยซู และนี่แน่ะ เขาเหล่านั้นได้พบว่าก้อนหินอันหนักถูกกลิ้งออกพ้นจากปากอุโมงค์แล้ว และพระศพของพระเยซูก็มิได้อยู่ที่นั่น หัวใจของพวกเธอหล่นวูบลงไปและพวกเธอก็กลัวว่าศัตรูของพวกเธอได้มาเอาพระศพไปเสียแล้ว และดูเถิด ทูตสวรรค์สององค์มีเครื่องนุ่งห่มสีขาวยืนอยู่ข้างพวกเธอเหล่านั้น ดวงหน้าของท่านโชติช่วงและเปล่งประกาย พวกท่านเข้าใจภารกิจของหญิงผู้บริสุทธิ์เหล่านั้น และในทันใดนั้นเองก็ได้กล่าวแก่พวกเธอว่าพวกเธอกำลังแสวงหาพระเยซู แต่พระองค์หาได้ประทับอยู่ที่นั่นไม่ พระองค์ทรงเป็นขึ้นมาแล้ว และพวกเธอสามารถมาดูที่ซึ่งพระองค์บรรทมได้ พวกท่านขอให้พวกเธอไปบอกเหล่าสาวกของพระองค์ว่าพระองค์ได้เสด็จไปที่แคว้นกาลิลีก่อนพวกเขาทั้งหลายแล้ว แต่หญิงเหล่านั้นต่างกลัวและประหลาดใจ พวกเธอได้รีบวิ่งไปหาพวกสาวกผู้กำลังคร่ำครวญร่ำไห้และไม่สามารถทำใจได้เนื่องจากพระผู้เป็นเจ้าของพวกเขาได้ถูกตรึงที่กางเขน พวกเธอรีบบอกพวกเขาถึงสิ่งต่าง ๆ ที่ได้เห็นและได้ยินมา เหล่าสาวกไม่อยากจะเชื่อว่าพระองค์ทรงเป็นขึ้นมาแล้ว แต่ก็ได้รีบวิ่งไปยังอุโมงค์ฝังศพพร้อมกับหญิงเหล่านั้นที่นำข่าวมา และพบว่าพระเยซูมิได้ทรงประทับอยู่ที่นั่นแล้วจริง ๆ มีแต่ผ้าลินินของพระองค์ แต่พวกเขาไม่อยากจะเชื่อในข่าวดีนี้เลยว่าพระเยซูได้เป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว พวกเขากลับมาที่บ้านของตนด้วยความพิศวงงงงวยถึงสิ่งที่ได้เห็น อีกทั้งจากรายงานที่หญิงเหล่านั้นได้นำมา แต่มารีย์เลือกที่จะยังอาลัยอาวรณ์อยู่ที่อุโมงค์คิดถึงสิ่งที่เธอได้เห็นและเป็นทุกข์อยู่กับความคิดที่ว่าเธออาจถูกหลอกลวง เธอรู้สึกว่าการทดลองใจใหม่นั้นได้รอเธออยู่ ความโทมนัสของเธอได้เริ่มขึ้นอีกครั้งและเธอก็ระเบิดร่ำไห้อย่างขมขื่น เธอก้มลงมองดูที่อุโมงค์อีกครั้งและได้เห็นทูตสวรรค์สององค์นุ่มห่มสีขาว ใบหน้าของพวกท่านสว่างโชติช่วงและเปล่งประกาย องค์หนึ่งกำลังนั่งอยู่เบื้องพระเศียร อีกองค์หนึ่งอยู่เบื้องพระบาทที่ซึ่งพระเยซูได้บรรทม พวกท่านได้กล่าวกับเธออย่างอ่อนโยนและถามเธอว่าเธอร้องไห้ทำไม เธอตอบว่า “เพราะเขาเอาองค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้าไปเสียแล้ว และข้าพเจ้าไม่ทราบว่าเขาเอาพระองค์ไปไว้ที่ไหน”GCTh 31.5

    และในขณะที่เธอหันไปจากอุโมงค์ เธอก็ได้เห็นพระเยซูทรงประทับยืนอยู่ข้าง ๆ แต่เธอไม่รู้ว่านั่นคือพระองค์ พระเยซูได้ตรัสกับมารีย์อย่างอ่อนโยนและถามถึงสาเหตุของความโศกเศร้าของเธอและถามอีกว่าเธอกำลังแสวงหาผู้ใด เธอนึกว่าพระองค์เป็นคนทำสวนจึงอ้อนวอนจากพระองค์ว่า ถ้าพระองค์ได้นำพระผู้เป็นเจ้าของเธอไปก็ขอให้บอกเธอว่าพระองค์ได้นำไปไว้ที่ใดและเธอจะไปนำพระองค์มา พระเยซูทรงตรัสกับเธอด้วยพระสุรเสียงแห่งฟ้าสวรรค์ของพระองค์เองและตรัสว่า “มารีย์เอ๋ย” เธอรู้สึกคุ้นเคยกับน้ำเสียงอันเป็นที่รักยิ่งนั้นและกล่าวตอบอย่างรวดเร็วว่า “พระอาจารย์” และด้วยความปีติและความยินดีเธอกำลังจะเข้าไปกอดพระองค์ แต่พระเยซูทรงถอยห่างและตรัสว่า “อย่าแตะต้องเรา เพราะเรายังมิได้ขึ้นไปหาพระบิดาของเรา แต่จงไปหาพวกพี่น้องของเรา และบอกเขาว่า เราจะขึ้นไปหาพระบิดาของเราและพระบิดาของท่านทั้งหลาย และไปหาพระเจ้าของเราและพระเจ้าของท่านทั้งหลาย” เธอรีบไปหาเหล่าสาวกด้วยความร่าเริงพร้อมด้วยข่าวประเสริฐนี้ พระเยซูทรงขึ้นไปหาพระบิดาอย่างรวดเร็วเพื่อที่พระองค์จะได้ยินจากพระโอษฐ์ของบิดาว่าพระบิดาทรงยอมรับเครื่องถวายบูชานี้และพระเยซูได้ทรงปฏิบัติพระราชกิจอย่างดีและเพื่อที่จะรับอำนาจทั้งปวงในฟ้าสวรรค์และบนแผ่นดินโลกจากพระบิดาของพระองค์GCTh 32.1

    ทูตสวรรค์ล้อมพระบุตรของพระเจ้าดังเมฆปกคลุม และสั่งให้ประตูเมืองนิรันดร์เปิดขึ้น เพื่อกษัตริย์ผู้ทรงสง่าราศีจะได้สเด็จเข้ามา ข้าพเจ้าได้เห็นว่าในขณะที่พระเยซูทรงประทับอยู่กับชาวสวรรค์พลโยธาผู้ฉายแสงโชติช่วงและต่อเบื้องพระพักตร์พระบิดาของพระองค์และพระสง่าราศีของพระเจ้าได้ล้อมพระองค์อยู่นั้น พระองค์ก็มิได้ทรงลืมบรรดาสาวกที่น่าสงสารของพระองค์บนแผ่นดินโลกนี้เลย แต่ได้ทรงรับฤทธานุภาพจากพระบิดาของพระองค์ เพื่อที่พระองค์จะทรงกลับมาหาเขาทั้งหลาย และในขณะที่ประทับอยู่กับเขาทั้งหลายนั้น ก็จะทรงประทานฤทธานุภาพนั้นให้แก่เขาทั้งหลาย ในวันเดียวกันนั้นเองที่พระองค์ทรงเสด็จกลับมา และสำแดงพระองค์ต่อบรรดาเหล่าสาวก แล้วพระองค์ก็ทรงยอมให้พวกเขาสัมผัสพระองค์ได้ เพราะว่าพระองค์ได้ทรงขึ้นไปหาพระบิดาของพระองค์และได้รับฤทธานุภาพแล้วGCTh 32.2

    แต่ในเวลานั้นโธมัสไม่ได้อยู่ที่นั่นด้วย เขาไม่ยอมรับรายงานข่าวของพวกเหล่าสาวกอย่างถ่อมใจ หากแต่ยืนยันอย่างแน่วแน่และอย่างมั่นใจในตัวเองว่าเขาจะไม่ยอมเชื่อ ถ้าหากเขาไม่ได้แหย่นิ้วของเขาไปที่รอยตะปูและมือของเขาไปที่สีข้างที่ซึ่งหอกอันโหดร้ายนั้นได้ทิ่มแทง สิ่งนี้เขาได้แสดงการขาดความมั่นใจในหมู่พี่น้องของเขา และถ้าหากทุกคนต้องการหลักฐานเช่นเดียวกัน ก็คงจะมีน้อยคนที่จะยอมรับพระเยซูและเชื่อในการฟื้นคืนพระชนม์ของพระองค์ แต่นี่เป็นน้ำพระทัยของพระเจ้าที่จะให้ข่าวนั้นถูกส่งจากสาวกคนหนึ่งไปสู่อีกคนหนึ่ง และหลายคนได้ยอมรับข่าวสารนี้จากปากของผู้ที่ได้เห็นและได้ยิน พระเจ้ามิทรงพอพระทัยกับการไม่มีความเชื่อเช่นนี้ และเมื่อพระเยซูทรงเสด็จมาพบกับเหล่าสาวกของพระองค์อีกครั้งหนึ่ง โธมัสก็ได้อยู่กับพวกเขาด้วย ชั่วขณะที่เขาได้มองดูพระเยซูนั้น เขาก็ได้เชื่อ แต่เขาได้ประกาศว่าเขาจะยังไม่พอใจโดยที่ไม่มีหลักฐานทางด้านความรู้สึกเพิ่มจากสายตาที่มองเห็น และพระเยซูได้ทรงมอบหลักฐานแก่เขาตามที่เขาปรารถนา โธมัสร้องออกมา “องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพระองค์ และพระเจ้าของข้าพระองค์” แต่พระเยซูได้ทรงตำหนิโธมัสในการขาดความเชื่อของเขา พระองค์ทรงตรัสกับเขาว่า “โธมัสเอ๋ย เพราะท่านได้เห็นเราท่านจึงเชื่อ ผู้ที่ไม่เห็นเราแต่เชื่อก็เป็นสุข”GCTh 32.3

    ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงได้เห็นว่าผู้ที่ไม่มีประสบการณ์เกี่ยวกับเรื่องข่าวของทูตสวรรค์องค์ที่หนึ่งและองค์ที่สอง1นั้น จะต้องได้รับข่าวนี้จากผู้ที่มีประสบการณ์ และติดตามข่าวสารเหล่านี้ไปโดยตลอด ในขณะที่พระเยซูทรงถูกตรึงที่กางเขนนั้น ข้าพเจ้าก็ได้เห็นว่าข่าวสารเหล่านี้ได้ถูกตรึงที่กางเขนไปด้วย และในขณะที่เหล่าสาวกได้ประกาศว่าความรอดไม่มีในนามของผู้อื่นในท่ามกลางมนุษย์ทั่วใต้ฟ้า เช่นเดียวกันบรรดาผู้รับใช้ของพระเจ้าก็ควรจะประกาศอย่างซื่อสัตย์และไม่เกรงกลัวว่าผู้ที่อ้าแขนรับเอาแต่ความจริงบางส่วนที่เชื่อมต่อกับข่าวทูตสวรรค์องค์ที่สาม2จะต้องยินดีอ้าแขนรับเอาข่าวของทูตสวรรค์องค์ที่หนึ่ง องค์ที่สองและองค์ที่สามด้วยว่าเป็นข่าวที่พระเจ้าทรงประทานให้แก่พวกเขา หรือมิฉะนั้นก็จะไม่มีเฉพาะบางส่วนหรือไม่มีส่วนทั้งหมดที่เกี่ยวกับเรื่องนี้เลยGCTh 32.4

    ข้าพเจ้าได้รับการสำแดงว่าขณะที่หญิงผู้บริสุทธิ์เหล่านั้นกำลังนำรายงานข่าวเรื่องพระเยซูทรงเป็นขึ้นมานั้น ทหารโรมันก็ได้กระจายข่าวเท็จที่ได้ถูกใส่ลงไปในปากของพวกเขาโดยบรรดาปุโรหิตใหญ่และพวกผู้ใหญ่ว่าเหล่าสาวกได้มาในเวลากลางคืนในขณะที่พวกเขาหลับและได้ขโมยพระศพของพระเยซูไป ซาตานได้ใส่คำโกหกนี้เข้าไปในหัวใจและปากของพวกมหาปุโรหิต และประชาชนก็พร้อมรับคำของพวกเขา แต่พระเจ้าได้ทรงกระทำให้เรื่องนี้เป็นเรื่องที่มั่นคงแน่นอน และทรงวางเหตุการณ์ที่สำคัญที่ความรอดได้ถูกแขวนอยู่นี้ไว้เหนือความสงสัยทั้งปวง และทรงวางไว้ในที่ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่พวกปุโรหิตและพวกผู้ใหญ่จะปิดบังได้ พยานต่าง ๆ ได้ถูกปลุกขึ้นมาจากความตายเพื่อเป็นพยานยืนยันถึงการฟื้นคืนพระชนม์ของพระคริสต์GCTh 33.1

    พระเยซูทรงประทับอยู่กับสาวกของพระองค์สี่สิบวันทำให้พวกเขามีความปีติและความยินดีในหัวใจ และทรงเปิดเผยให้แก่พวกเขาอย่างเต็มที่มากยิ่งขึ้นเกี่ยวกับความเป็นจริงของราชอาณาจักรของพระเจ้า พระองค์ทรงบัญชาให้พวกเขาแบกคำพยานถึงสิ่งต่าง ๆ ที่พวกเขาได้เห็นและได้ยินเกี่ยวกับการทุกข์ทรมาน เกี่ยวกับการสิ้นพระชนม์ และเกี่ยวกับการฟื้นคืนพระชนม์ของพระองค์ ว่าพระองค์ทรงกระทำเป็นเครื่องถวายบูชาไถ่บาป ซึ่งใครก็ตามที่ต้องการสามารถเข้ามาหาพระองค์และจะพบชีวิต พระองค์ทรงตรัสแก่พวกเขาด้วยความอ่อนโยนอย่างซื่อสัตย์ว่า เขาทั้งหลายจะถูกข่มเหงและได้รับความทุกข์ยากลำบาก แต่เขาทั้งหลายจะพบกับความบรรเทาเมื่อระลึกถึงประสบการณ์ของเขาทั้งหลาย และในการจดจำพระคำที่พระองค์ทรงตรัสกับเขาทั้งหลายพระองค์ทรงตรัสแก่พวกเขาอีกว่า พระองค์ทรงพิชิตการทดลองทั้งหลายของพญามาร และดำรงชัยชนะผ่านทางการทดลองและความทุกข์ยาก ซึ่งซาตานจะไม่สามารถมีอำนาจเหนือพระองค์ได้อีก แต่จะนำการทดลองและอำนาจของมันให้มาลงกับพวกเขาโดยตรงยิ่งขึ้น และลงกับทุกคนที่เชื่อในพระนามของพระองค์ พระองค์ทรงตรัสแก่พวกเขาว่าพวกเขาจะสามารถชนะได้เหมือนดังที่พระองค์ทรงชนะมาแล้ว พระเยซูทรงประทานอำนาจให้เหล่าสาวกของพระองค์ในการสำแดงการอัศจรรย์ต่าง ๆ และพระองค์ทรงตรัสว่าถึงแม้ว่าคนชั่วร้ายจะมีอำนาจเหนือร่างกายของพวกเขา พระองค์จะทรงส่งทูตสวรรค์ของพระองค์มาในเวลาที่เหมาะสมเพื่อปลดปล่อยพวกเขา เพื่อว่าชีวิตของพวกเขาจะยังไม่ถูกรับไปจากพวกเขาจนกว่าภารกิจของพวกเขาจะสำเร็จลง และเมื่อการเป็นพยานของพวกเขาสำเร็จแล้ว ชีวิตของพวกเขาก็อาจจะต้องได้รับการตราประทับคำพยานที่พวกเขาได้แบกรับมา เหล่าผู้ติดตามที่ร้อนรนได้ฟังคำสั่งสอนของพระองค์ด้วยใจยินดี พวกเขาได้ฟังพระคำทุกคำที่ออกมาจากพระโอษฐ์อันศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ด้วยความดูดดื่ม แล้วพวกเขาก็รู้แน่นอนว่าพระองค์ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของโลก พระคำทุกคำได้จมฝังลึกลงไปในหัวใจของพวกเขา และพวกเขาเป็นทุกข์ใจที่จะต้องแยกจากพระอาจารย์ผู้เปี่ยมไปด้วยพระพรจากฟ้าสวรรค์ของพวกเขา และไม่นานหลังจากนั้นพวกเขาจะไม่ได้ยินคำปลอบประโลมอันเปี่ยมด้วยพระกรุณาจากพระโอษฐ์ของพระองค์อีกต่อไป แต่อีกครั้งหนึ่งที่หัวใจของพวกเขาอบอุ่นด้วยความรักและความปีติยินดีอันล้มหลาม เมื่อพระเยซูทรงตรัสแก่พวกเขาว่าพระองค์จะเสด็จไปเตรียมคฤหาสน์ให้แก่พวกเขา และจะทรงกลับมาอีกครั้งและรับพวกเขาไป เพื่อที่พวกเขาจะได้อยู่กับพระองค์ตลอดไป พระองค์ทรงตรัสแก่พวกเขาว่าพระองค์จะทรงส่งผู้ปลอบประโลมคือพระวิญญาณบริสุทธิ์มา เพื่อที่จะทรงชี้แนะ ทรงอวยพระพร และทรงนำพวกเขาไปสู่ความจริงทุกประการ และพระองค์ทรงยกมือขึ้นและอวยพระพรให้แก่พวกเขาGCTh 33.2

    1 ดูวิวรณ์ 14:6-8 ได้อธิบายในบทที่ 23 และ 24 ของหนังสือเล่มนี้GCTh 33.3

    2 ดูวิวรณ์ 14:9-12 ได้อธิบายในบทที่ 28 ของหนังสือเล่มนี้GCTh 33.4

    ดูมัทธิว 27:52-53, บทที่ 28; มาระโก 16:1-18; ลูกา 24:1-50; ยอห์น บทที่ 20; กิจการ บทที่ 12GCTh 33.5