Loading...
Larger font
Smaller font
Copy
Print
Contents

อุทาหรณ์จากคำสอนของพระคริสต์

 - Contents
  • Results
  • Related
  • Featured
No results found for: "".
  • Weighted Relevancy
  • Content Sequence
  • Relevancy
  • Earliest First
  • Latest First

    บทที่ 6 - บทเรียนอื่นๆ จากการหว่านเมล็ด

    นับจากการหว่านเมล็ด และการเจริญเติบโตของต้นพืชจากเมล็ดพืช มีบทเรียนอันมีค่าที่นำมาใช้สอนในครอบครัวและในโรงเรียนได้ จงให้เด็กและเยาวชนเรียนรู้ที่จะสังเกตพระราชกิจของพระเจ้าในสิ่งต่างๆ ของธรรมชาติ และพวกเขาจะรับรู้สิ่งที่มีประโยชน์ที่ตาเปล่ามองไม่เห็นนั้นได้โดยความเชื่อ ขณะที่พวกเขาเริ่มเข้าใจพระหัตถกิจอันมหัศจรรย์ของพระเจ้าที่ทรงตอบสนองต่อความต้องการของสมาชิกในครอบครัวใหญ่ของพระองค์ และวิธีที่เราร่วมมือกับพระองค์ได้นั้น พวกเขาก็จะมีความเชื่อในพระเจ้ามากยิ่งขึ้นและรู้ถึงฤทธิ์อำนาจของพระองค์ในชีวิตประจำวันของเขาเอง {COL 80.1}COLTh 55.1

    พระเจ้าทรงสร้างเมล็ดเมื่อครั้นพระองค์ทรงเนรมิตสร้างโลก โดยพระดำรัส พระองค์ประทานอำนาจเพื่อการเจริญเติบใหญ่และเพิ่มทวีมากยิ่งขึ้น พระองค์ตรัสว่า “ แผ่นดินจงเกิดพืช คือธัญพืชที่ให้เมล็ด และต้นไม้ผลที่ออกผลตามชนิดของมันและมีเมล็ดในผลบนแผ่นดิน และก็เป็นดังนั้น…พระเจ้าทรงเห็นว่าดี ” ปฐมกาล 1:11, 12 พระดำรัสนี้ยังทำให้เมล็ดเจริญเติบโตขึ้น เมล็ดทุกเมล็ดที่ชูใบสีเขียวขึ้นรับแสงแดดประกาศถึงฤทธิ์อำนาจการประกอบกิจอย่างมหัศจรรย์ของพระดำรัสนั้น ซึ่งมาจากพระองค์เมื่อ “ ตรัส โลกก็เกิดขึ้นมา ” เมื่อ “ ทรงบัญชา มันก็ตั้งมั่นคง ” สดุดี 33:9 {COL 80.2}COLTh 56.1

    พระคริสต์ทรงสอนสาวกอธิษฐาน “ขอประทานอาหารประจำวันแก่ข้าพระองค์ในวันนี้” และทรงชี้ไปยังดอกไม้ พระองค์ทรงให้พวกเขามีความมั่นใจว่า “ ถ้าพระเจ้าทรงตกแต่งหญ้าที่ทุ่งนาอย่างนั้น…พระองค์จะไม่ทรงตกแต่งท่านมากยิ่งกว่านั้นหรือ ” มัทธิว 6:11, 30 พระคริสต์ทรงดำเนินการอยู่อย่างสม่ำเสมอเพื่อตอบคำอธิษฐานนี้ และเพื่อให้คำมั่นสัญญานี้เป็นจริง มีอำนาจที่มองด้วยตาเปล่าไม่เห็นทำงานอยู่อย่างสม่ำเสมอ เสมือนผู้รับใช้คอยให้อาหารและนุ่งห่มเขา พระเป็นเจ้าของเราทรงใช้วิธีการต่างๆ เพื่อทำให้เมล็ดที่ถูกหว่านออกไปกลายเป็นพืชที่มีชีวิตและพระองค์ประทานสิ่งจำเป็นทั้งหมดในสัดส่วนที่พอเหมาะเพื่อให้ได้การเก็บเกี่ยวที่สมบูรณ์ ผู้ประพันธ์สดุดีรจนาถ้อยคำอันงดงามว่าCOLTh 56.2

    “พระองค์ทรงเยี่ยมเยียนแผ่นดินโลก และทรงรดน้ำให้
    พระองค์ทรงทำให้แผ่นดินอุดมยิ่ง
    แม่น้ำของพระเจ้ามีน้ำเต็ม พระองค์ทรงจัดหาข้าวให้
    เพราะทรงจัดเตรียมโลกไว้เช่นนั้นแหละ
    พระองค์ทรงรดน้ำ ตามรอยไถของมันอย่างชุ่มโชก
    และทรงให้ขี้ไถราบลง
    ทรงให้ดินอ่อนนุ่มด้วยห่าฝน และทรงอวยพรผลิตผลของมัน
    พระองค์ทรงให้ปีเป็นปีทองด้วยความอุดมสมบูรณ์ของพระองค์
    รอยรถของพระองค์มีความไพบูลย์ย้อยหยด”
    COLTh 56.3

    สดุดี 65:9 — 11 {COL 81.1}

    วัตถุธาตุของโลกอยู่ภายใต้การควบคุมของพระเจ้า ธรรมชาติปฏิบัติตามกฎธรรมชาติ ทุกสิ่งเปล่งวาจาและปฏิบัติตามพระทัยของพระผู้สร้าง เมฆและแสงแดด น้ำค้างและหยาดฝน ลมและพายุ ทั้งหมดอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของพระเจ้า และทุกสิ่งเชื่อฟังพระบัญชาของพระองค์โดยปริยาย เป็นการเชื่อฟังต่อกฎเกณฑ์ของพระเจ้าที่ทำให้ยอดต้นข้าวเบ่งบานงอกผ่านพื้นดิน “ งอกงามโดยขึ้นเป็นลำต้นก่อน ภายหลังก็ออกรวง แล้วก็มีเมล็ดข้าวเต็มรวง” มาระโก 4:28 สิ่งเหล่านี้พระเจ้าทรงพัฒนาขึ้นตามฤดูกาลที่แน่นอน เพราะมันไม่ต่อต้านการกระทำของพระองค์ และเป็นไปได้หรือที่มนุษย์ผู้ได้รับการสร้างมาตามแบบพระฉายของพระเจ้าได้รับความคิดที่มีเหตุผล และพูดได้จะเป็นผู้เดียวที่ไม่ได้มีความรู้สึกซาบซึ้งในของประทานของพระองค์ และขัดขืนต่อน้ำพระทัยของพระองค์ จะให้สิ่งมีชีวิตที่มีเหตุผลเหล่านี้เป็นผู้เดียวที่นำความสับสนมาสู่โลกของเรากระนั้นหรือ {COL 81.2}COLTh 57.1

    ในทุกสิ่งที่เกื้อหนุนเพื่อการยังชีพของมนุษย์ จะพบความร่วมมืออย่างเป็นเอกภาพระหว่างความพยายามของพระเจ้าและของมนุษย์อยู่ในนั้น จะไม่มีการเก็บเกี่ยว หากมือมนุษย์ไม่เข้าร่วมในการหว่านเมล็ดพืช แต่หากไม่มีส่วนประกอบอื่นๆ ที่พระเจ้าประทานให้ ได้แก่ แสงแดดและสายฝน น้ำค้างและเมฆก็จะไม่มีการเพิ่มพูนขึ้น ด้วยประการฉะนี้ ในการดำเนินงานทุกด้านของธุรกิจ ในทุกแผนของการศึกษาและศาสตร์ต่างๆ เป็นเช่นนี้ในสิ่งที่เกี่ยวข้องกับเรื่องของฝ่ายจิตวิญญาณ ในการเสริมสร้างอุปนิสัยและในทุกๆ ด้านของภารกิจของคริสเตียน เรามีส่วนที่ต้องทำ แต่เราจะต้องได้รับอำนาจจากพระเจ้ามารวมเข้ากับของเรา หาไม่แล้วความพยายามของเราจะสูญเปล่า {COL 82.1} COLTh 57.2

    เมื่อใดที่มนุษย์ทำสิ่งใดสำเร็จ ไม่ว่าจะเป็นทางฝ่ายจิตวิญญาณหรือทางฝ่ายโลก เขาต้องจดจำเสมอว่าเขากระทำไปโดยความร่วมมือกับพระผู้สร้างของเขา มีความจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับเราที่จะตระหนักเสมอว่าเราต้องพึ่งพาในพระเจ้า มนุษย์วางใจในมนุษย์ด้วยกันมากเกินไป พึ่งในผลงานประดิษฐ์ของมนุษย์มากเกินไป แต่วางใจในอำนาจของพระเจ้าผู้ทรงพร้อมที่จะประทานให้น้อยเกินไป “ เราร่วมกันทำงานเพื่อพระเจ้า” 1 โครินธ์ 3:9 สิ่งที่มนุษย์มีอยู่นั้นด้อยคุณค่าอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ แต่หากเขาเข้าเชื่อมโยงกับอำนาจของพระคริสต์ เขาก็จะทำทุกสิ่งด้วยกำลังที่พระคริสต์ประทานให้ {COL 82.2}COLTh 57.3

    การพัฒนาทีละเล็กทีละน้อยของต้นพืชจากเมล็ดเป็นบทเรียนที่มีจุดประสงค์เพื่อการฝึกฝนสั่งสอนเด็ก เริ่มจากการ “ขึ้นเป็นลำต้นก่อนภายหลังก็ออกรวง แล้วก็มีเมล็ดข้าวเต็มรวง” มาระโก 4:28 พระองค์ผู้ทรงเล่าอุปมานี้ทรงสร้างเมล็ดเล็กๆ ประทานคุณสมบัติแห่งชีวิตแก่มันและทรงบัญญัติกฎควบคุมการเจริญเติบโตของมัน และความจริงซึ่งอุปมานี้สอนนั้นทรงกระทำให้เป็นจริงในชีวิตของพระองค์เอง พระองค์ทรงปฏิบัติตามพระบัญชาของพระเจ้าในการเจริญทั้งในธรรมชาติฝ่ายจิตวิญญาณและฝ่ายกาย ดังที่เห็นจากต้นพืช พระองค์ทรงประสงค์ให้เยาวชนปฏิบัติเช่นนี้ด้วย ถึงแม้พระองค์ทรงเป็นพระราชาในสวรรค์ ทรงเป็นพระมหากษัตริย์แห่งสง่าราศี พระองค์เสด็จมาเป็นทารกในหมู่บ้านเบธเลเฮม และช่วงเวลาหนึ่งพระองค์ทรงเป็นทารกน้อยที่ช่วยตัวเองไม่ได้ ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของมารดา ในช่วงวัยเด็กพระองค์ทรงทำงานตามอย่างเด็กที่เชื่อฟัง พระองค์ทรงพูดและแสดงกิริยาด้วยสติปัญญาของเด็กไม่ใช่ของผู้ใหญ่ ทรงให้เกียรติแก่ผู้ปกครองของพระองค์และปฏิบัติตามความต้องการของท่านทั้งสองในการทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ตามความสามารถของเด็ก แต่ในแต่ละขั้นของการพัฒนาของพระองค์ทรงดีรอบคอบพร้อมทั้งชีวิตที่ไร้บาปที่เรียบง่ายและงดงามตามธรรมชาติ ถ้อยคำอันศักดิ์สิทธิ์บันทึกวัยทารกของพระองค์ไว้ว่า “พระกุมารนั้นก็เจริญวัยแข็งแรงขึ้น เต็มเปี่ยมด้วยสติปัญญา และพระคุณของพระเจ้าอยู่กับท่าน” และสำหรับช่วงวัยเด็กมีการบันทึกไว้ว่า “พระเยซูเจริญขึ้นในด้านสติปัญญาและด้านร่างกาย เป็นที่ชอบต่อพระพักตร์พระเจ้าและต่อหน้าคนทั้งหลายด้วย ” ลูกา 2:40, 52 {COL 82.3}COLTh 58.1

    ในที่นี้เสนอแนะงานให้แก่ผู้ปกครองและครู กล่าวคือพวกเขาควรมุ่งเป้าหมายเพื่อที่จะปลูกฝังแนวโน้มของเยาวชนให้ทราบว่าในแต่ละช่วงของชีวิตพวกเขาควรแสดงออกถึงความงดงามที่เหมาะสมกับแต่ละช่วงของวัย ให้เปิดเผยออกตามธรรมชาติเหมือนดั่งต้นพืชที่อยู่ในสวน {COL 83.1}COLTh 58.2

    เด็กๆ มีความงดงามน่ารักบริสุทธิ์ไร้มารยาตามธรรมชาติ จึงไม่เหมาะสมเลยที่จะเน้นความสุขใจบางอย่างเป็นพิเศษ และเอาคำพูดที่แสดงความเฉลียวฉลาดออกมากล่าวซ้ำบ่อยๆ ต่อหน้าเขา ไม่ควรสนับสนุนให้เขาหลงใหลในตัวเองโดยยกยอรูปร่างหน้าตา คำพูดหรือกิริยาของพวกเขา หรือให้สวมใส่เสื้อราคาแพงและเพื่อการโอ้อวด การทำเช่นนี้จะสนับสนุนความหยิ่งยโสในตัวเขาและเร้าให้เกิดความริษยาขึ้นในใจของเพื่อนๆ {COL 83.2}COLTh 59.1

    เด็กเล็กๆ ควรได้รับการอบรมด้วยความเรียบง่ายตามประสาเด็ก พวกเขาควรได้รับการอบรมให้มีความพอใจกับงานเล็กๆ น้อยๆ และมีประโยชน์ และมีความเพลิดเพลินและได้เรียนรู้ประสบการณ์ตามธรรมชาติที่เข้ากับอายุของเขา ช่วงวัยเด็กตรงกับช่วงของลำต้นในอุปมา และลำต้นมีความงดงามจำเพาะของมันเอง ไม่ควรบังคับให้เด็กเติบโตเกินอายุแต่ควรรักษาความสดชื่นและความงามช่วงแรกของชีวิตให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้ {COL 83.3}COLTh 59.2

    เด็กเล็กควรเป็นคริสเตียนตามประสบการณ์ตามอายุของพวกเขา ทั้งหมดนี่แหละคือสิ่งที่พระเจ้าทรงคาดหวังจากพวกเขา เด็กควรได้รับการอบรมในเรื่องของจิตวิญญาณและผู้ปกครองควรใช้ทุกโอกาสให้เป็นประโยชน์เพื่อการเสริมสร้างอุปนิสัยตามแบบอย่างพระลักษณะของพระคริสต์ {COL 84.1}COLTh 59.3

    ในกฎของพระเจ้าในธรรมชาติ เหตุจะติดตามด้วยผลอย่างแน่นอนอย่างไม่ผิดพลาด การเก็บเกี่ยวจะแสดงให้เห็นถึงชนิดของการหว่าน คนงานเกียจคร้านถูกตัดสินด้วยผลของเขา การเกี่ยวเก็บเป็นพยานต่อสู้เขา ในฝ่ายจิตวิญญาณก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน ความซื่อสัตย์ของคนงานทุกคนถูกวัดโดยผลของงานที่เขาทำ ลักษณะงานของเขาไม่ว่าขยันขันแข็งหรือเกียจคร้านจะเห็นได้ในวันเก็บเกี่ยว บั้นปลายของนิจนิรันดร์ของเขาจึงถูกกำหนดด้วยผลงานเหล่านี้ {COL 84.2}COLTh 59.4

    เมล็ดทุกเม็ดที่หว่านลงไปจะนำไปสู่การเก็บเกี่ยวตามชนิดของมัน ชีวิตของมนุษย์ก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน เราทุกคนต้องหว่านเมล็ดแห่งความเมตตา ความเห็นอกเห็นใจ และความรักเพราะเราจะเก็บเกี่ยวในสิ่งที่เราหว่าน อุปนิสัยทุกอย่างของการเห็นแก่ตัว การรักตนเองและยกย่องตนเอง การกระทำตามความประสงค์ของตนเองทุกอย่าง จะนำมาซึ่งการเกี่ยวเก็บอย่างเดียวกัน ผู้ที่มีชีวิตอยู่เพื่อตนเองกำลังหว่านเพื่อเนื้อหนังและด้วยเนื้อหนังนี้เขาจะเก็บเกี่ยวความพินาศ {COL 84.3}COLTh 60.1

    พระเจ้าไม่ทรงเคยทำลายมนุษย์คนใด ทุกคนที่ถูกทำลายนั้นจะเป็นเพราะเขาทำลายตัวเขาเอง ทุกคนที่ละเลยการตักเตือนของจิตใต้สำนึกกำลังหว่านเมล็ดแห่งความไม่เชื่อและจะนำมาซึ่งการเก็บเกี่ยวที่แน่นอน ด้วยการปฏิเสธคำเตือนครั้งที่หนึ่งที่มาจากพระเจ้า กษัตริย์ฟาโรห์ในอดีตได้หว่านเมล็ดแห่งความดื้อดึงและพระองค์ทรงเก็บเกี่ยวผลของความดื้อดึงนั้น พระเจ้าไม่ได้ทรงบังคับให้พระองค์ไม่ทรงเชื่อ เมล็ดแห่งความไม่เชื่อที่ฟาโรห์หว่านไปก็ให้ผลผลิตตามชนิดของมัน ดังนั้นการต่อต้านของพระองค์จึงดำเนินต่อไป จนกระทั่งทอดพระเนตรเห็นแผ่นดินถูกทำลาย เห็นร่างที่เย็นชืดไม่มีชีวิตของราชบุตรหัวปีในราชวังของพระองค์และบุตรหัวปีของทุกครอบครัวในอาณาจักรของพระองค์จนกระทั่งน้ำทะเลไหลกลบท่วมม้า รถรบและนักรบทั้งหมดของพระองค์ เรื่องราวของฟาโรห์เป็นตัวอย่างที่น่ากลัวที่แสดงให้เห็นถึงความจริงของพระธรรมที่กล่าวว่า “ใครหว่านอะไรลงก็จะเก็บเกี่ยวสิ่งนั้น” กาลาเทีย 6 :7 หากมนุษย์เพียงแต่สำนึกในสิ่งเหล่านี้ พวกเขาก็จะระมัดระวังชนิดของเมล็ดที่พวกเขาจะนำไปหว่าน {COL 84.4}COLTh 60.2

    เมื่อหว่านเมล็ดออกไปก็จะนำมาซึ่งการเก็บเกี่ยว และเมื่อหว่านต่อไปการเก็บเกี่ยวก็ทวีมากยิ่งขึ้น กฎนี้เป็นจริงกับความสัมพันธ์ของเรากับผู้อื่น การกระทำทุกอย่าง คำพูดทุกคำเป็นเมล็ดที่จะเกิดผล การกระทำแห่งความเมตตา แห่งความเชื่อฟังหรือความเสียสละจะเกิดผลในผู้อื่นด้วย และขยายออกไปอีกเรื่อยๆ ดังนั้น การกระทำที่แสดงความอิจฉา การมุ่งร้ายและความร้าวฉานจะเป็นเมล็ดที่จะเจริญขึ้นด้วย “ รากขมขื่น” ฮีบรู 12:15 ซึ่งจะทำให้คนจำนวนมากด่างพร้อยไปด้วย และพิษร้ายจำนวนมากนี้จะไปทำลายคนอีกมากมายเพียงไร ดังนั้นการหว่านความดีและความชั่วจะมีผลต่อเนื่องทั้งในเวลานี้และตลอดนิรันดร์ {COL 85.1}COLTh 60.3

    ความมีใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ทั้งในฝ่ายจิตวิญญาณและในฝ่ายโลก เป็นบทเรียนที่ได้จากเรื่องของการหว่านเมล็ดพืช พระเป็นเจ้าตรัสว่า “ ความสุขจะมีกับพวกท่านที่หว่านอยู่ข้างห้วงน้ำทั้งปวง” อิสยาห์ 32:20 “ นี่แหละคนที่หว่านเพียงเล็กน้อยก็จะเก็บเกี่ยวได้เพียงเล็กน้อย คนที่หว่านมากก็จะเก็บเกี่ยวได้มาก” 2 โครินธ์ 9:6 การหว่านอยู่ข้างห้วงน้ำหมายถึงการแจกจ่ายของประทานของพระเจ้าอยู่เสมอ หมายถึงการให้เพื่อพระราชกิจของพระเจ้าหรือให้แก่เพื่อนมนุษย์ผู้ต้องการความช่วยเหลือของเรา การทำเช่นนี้จะไม่ทำให้เกิดความยากจน “ คนที่หว่านมากก็จะเก็บเกี่ยวได้มาก ” ผู้หว่านได้รับผลเพิ่มขึ้นก็เพราะเขาหว่านออกไป ผู้ที่สัตย์ซื่อในการแจกจ่ายของประทานของพระเจ้าก็จะเป็นเช่นนั้น ด้วยการแจกจ่ายไป ก็จะได้พระพรเพิ่มขึ้น พระเจ้าทรงสัญญาที่จะประทานความบริบูรณ์เพื่อเขาจะแจกจ่ายต่อไป “ จงให้เขา แล้วพวกท่านจะได้รับด้วยแบบยัดสั่นแน่นพูนล้นเต็มหน้าตักของท่าน” ลูกกา 6:38 {COL 85.2}COLTh 61.1

    การหว่านและการเก็บเกี่ยวมีความหมายมากยิ่งกว่านี้อีก ขณะที่เราแจกจ่ายพระพรทางฝ่ายโลก การแสดงออกซึ่งความรักและความเห็นใจของเราจะไปกระตุ้นผู้รับให้สำนึกในพระคุณและขอบคุณพระเจ้า ดินของจิตใจถูกเตรียมไว้เพื่อรับเมล็ดแห่งความจริงทางฝ่ายจิตวิญญาณ และพระองค์ผู้ประทานเมล็ดจะทรงเป็นผู้กระทำให้เมล็ดนั้นงอก และให้ผลสู่ชีวิตนิรันดร์ {COL 86.1}COLTh 61.2

    พระคริสต์ทรงแสดงให้เห็นถึงการเสียสละที่พระองค์ทรงมีต่อความรอดของเราด้วยการใช้เรื่องการหว่านเมล็ดข้าวลงบนพื้นดิน พระองค์ตรัสว่า “ถ้าเมล็ดข้าวไม่ได้ตกลงไปในดินและเปื่อยเน่าไป ก็จะคงอยู่เป็นเมล็ดเดียว แต่ถ้าเปื่อยเน่าไปแล้ว ก็จะงอกขึ้นเกิดผลมาก” ยอห์น 12:24 ดังนั้นการสิ้นพระชนม์ของพระคริสต์จะทำให้เกิดผลเพื่อแผ่นดินของพระเจ้า เช่นเดียวกับกฎของอาณาจักรพืช ชีวิตจะเกิดขึ้นเป็นผลเนื่องมาจากการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ {COL 86.2}COLTh 61.3

    ทุกคนที่ต้องการเกิดผลจากการทำงานร่วมกันกับพระคริสต์ จำเป็นต้องตกลงสู่ดินและตายก่อน ชีวิตจะต้องทิ้งลงไปยังรอยไถแห่งความต้องการของโลก ความรักตัวเอง ความสนใจในตัวเองจะต้องถูกทำลาย แต่กฎแห่งการเสียสละตัวเองเป็นกฎแห่งการถนอมตัวเอง เมล็ดที่ฝังอยู่ในดินจะเกิดผลและจะนำไปปลูกต่อไป ดังนั้นการเก็บเกี่ยวจึงเพิ่มพูนขึ้น ผู้หว่านพืชเก็บรักษาเมล็ดข้าวโดยการหว่านออกไป ชีวิตของมนุษย์จึงเป็นเช่นเดียวกัน ด้วยว่าการให้คือการมีชีวิต ชีวิตที่จะได้รับการถนอมรักษาไว้ คือชีวิตที่ถวายอย่างไม่มีขอบเขตเพื่องานของพระเจ้าและเพื่อรับใช้ เพื่อนมนุษย์ ผู้ที่เสียสละชีวิตในโลกนี้เพื่อพระคริสต์ จะเก็บรักษาเพื่อชีวิตนิรันดร์ {COL 86.3} COLTh 62.1

    เมล็ดตายไปเพื่อจะเกิดเป็นชีวิตใหม่ จากตัวอย่างนี้เราได้รับการสอนถึงบทเรียนแห่งการกลับเป็นขึ้นจากตาย ทุกคนที่รักพระเจ้าจะมีชีวิตอีกครั้งในสวนเอเดนเบื้องบน สำหรับร่างกายของมนุษย์ที่ถูกฝังให้เปื่อยเน่าในหลุมฝังศพ พระเจ้าตรัสไว้ดังนี้ว่า “ ร่างกายที่ถูกหว่านลงนั้นเสื่อมสลายได้ ร่างกายที่เป็นขึ้นมาใหม่นั้นไม่เสื่อมสลาย สิ่งที่ถูกหว่านลงนั้นไร้เกียรติ สิ่งที่เป็นขึ้นมานั้นมีศักดิ์ศรี สิ่งที่ถูกหว่านลงนั้นอ่อนกำลัง สิ่งที่เป็นขึ้นมานั้นมีพลัง ” 1โครินธ์ 15: 42, 43 {COL 87.1}COLTh 62.2

    ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้เป็นเพียงบทเรียนไม่กี่บทจากอุปมาเกี่ยวกับธรรมชาติที่มีชีวิตของเรื่องผู้หว่านและเมล็ด ขณะที่ผู้ปกครองและครูใช้ความพยายามในการสอนบทเรียนเหล่านี้ พวกเขาควรสอนเพื่อที่จะนำไปปฏิบัติได้ ควรให้เด็กเตรียมดินและหว่านเมล็ดเอง ในขณะที่พวกเขาทำงานอยู่นั้น ผู้ปกครองและครูอธิบายถึงการหว่านเมล็ดที่ดีและไม่ดีลงในสวนของจิตใจได้ และการที่สวนต้องได้รับการตระเตรียมเพื่อการหว่านเมล็ดอย่างไร สวนแห่งจิตใจก็ควรได้รับการตระเตรียมเพื่อเมล็ดแห่งความจริงอย่างนั้นเหมือนกัน ในขณะที่หว่านเมล็ดลงสู่ดินก็สามารถสอนบทเรียนเรื่องของการวายพระชนม์ของพระคริสต์ได้ ขณะที่ใบโผล่พ้นพื้นดิน พวกเขาก็สอนบทเรียนแห่งความจริงของการกลับเป็นขึ้นจากตาย ขณะที่ต้นพืชเจริญขึ้น พวกเขายังสอนเรื่องการเปรียบเทียบระหว่างการหว่านเมล็ดฝ่ายธรรมชาติและเมล็ดฝ่ายจิตวิญญาณต่อไปอีกได้ {COL 87.2}COLTh 62.3

    เยาวชนควรได้รับการสั่งสอนในแนวทางที่คล้ายคลึงกัน ควรสอนพวกเขาให้รู้จักพรวนดิน จะเป็นการดีหากโรงเรียนทุกโรงเรียนมีที่ดินสำหรับการเพราะปลูก ควรถือว่าที่ดินเพื่อการนี้เป็นโรงเรียนของพระเจ้า สิ่งที่มีอยู่ในธรรมชาติเป็นบทเรียนที่ลูกหลานของพระองค์ต้องศึกษา เพื่อพวกเขาจะได้รับความรู้ในสิ่งที่เกี่ยวข้องกับจิตวิญญาณ {COL 87.3} COLTh 63.1

    เราจะได้รับบทเรียนอย่างสม่ำเสมอจากการพรวนดินและจัดเตรียมดินให้เหมาะกับการเพาะปลูก ไม่มีใครคิดว่าเมื่อจับจองที่ดินผืนหนึ่งก็จะเก็บเกี่ยวได้ทันที ก่อนที่จะหว่านเมล็ดจะต้องมีการเตรียมดินด้วยการทำงานอย่างจริงจัง ขยันขันแข็งและบากบั่น งานฝ่ายจิตวิญญาณของจิตใจมนุษย์ก็เป็นเช่นนั้นเหมือนกัน ผู้ที่จะได้รับประโยชน์จากการพรวนดิน จะต้องออกไปด้วยการมีพระธรรมของพระเจ้าในใจของเขา พวกเขาจะได้พบรอยไถของจิตใจซึ่งแตกสลายโดยอำนาจชักนำอันอ่อนโยนของพระวิญญาณบริสุทธิ์ หากไม่มีการลงแรงเพื่อพรวนดินจะไม่มีการเก็บเกี่ยว ในดินของหัวใจก็เช่นกัน พระวิญญาณของพระเจ้าจะต้องทำงานเพื่อชำระให้บริสุทธิ์ และสั่งสอนก่อนที่จะเกิดผลเพื่อถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า {COL 88.1}COLTh 63.2

    ดินจะไม่ให้ผลที่มีคุณค่า หากไม่ได้ดูแลอย่างจริงจัง จึงต้องดูแลดินด้วยความเอาใส่ใจและทำเป็นประจำทุกวัน ควรไถบ่อยๆ และไถให้ลึก ถอนวัชพืชที่คอยแย่งชิงอาหารของเมล็ดดีที่ปลูกไว้ ดังนั้นผู้ที่ไถและหว่านก็ได้เตรียมเพื่อการเก็บเกี่ยว ไม่มีใครจะยืนอยู่กลางทุ่งด้วยใจที่แตกสลายด้วยเกรงว่าสิ่งที่หวังเอาไว้จะไม่เกิดผล {COL 88.2} COLTh 63.3

    พระพรของพระเป็นเจ้าจะอยู่กับผู้ที่ทำงานอยู่กับผืนดิน เพื่อเรียนรู้บทเรียนทางฝ่ายจิตวิญญาณจากธรรมชาติ ในการเพาะปลูกพรวนดิน คนงานไม่ทราบว่าจะมีสมบัติใดเปิดเผยให้แก่เขา ขณะเดียวกันเขาไม่ควรดูหมิ่นบทเรียนที่รวบรวมจากสมองของผู้มีประสบการณ์และข้อมูลของผู้มีความรู้เฉลียวฉลาดที่เคยมีส่วนร่วมในงานนั้น เขาควรจะเก็บรวบรวมบทเรียนเหล่านี้เพื่อตัวเอง นี่เป็นส่วนหนึ่งของการฝึกฝนของเขา การเพาะปลูกพรวนดินเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงการศึกษาในเรื่องของฝ่ายจิตวิญญาณ {COL 88.3}COLTh 63.4

    พระผู้ทรงสร้างเราคือผู้ทรงทำให้เมล็ดเจริญขึ้น พระองค์ทรงคอยดูแลทั้งกลางวันและกลางคืน ประทานอำนาจให้เจริญเติบโต พระองค์ทรงเป็นจอมกษัตริย์แห่งสวรรค์ พระองค์ทรงดูแลและทรงสนพระทัยบุตรทั้งหลายมากยิ่งกว่านี้อีก ในขณะที่มนุษย์เพาะปลูกเพื่อให้ชีวิตในโลกอยู่รอดได้นั้น พระเจ้าผู้หว่านจะทรงปลูกเมล็ดในจิตวิญญาณเพื่อจะเกิดผลจนนำไปถึงชีวิตนิรันดร์ {COL 89.1}COLTh 64.1

    *****